บทที่ 338 เยี่ยมเยือนสำนักโหราจารย์
“ใช่ขอรับ ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เหลือเพียงพระมเหสี”
ฉู่เซียงหลงลดเสียงลงและพูดด้วยเสียงที่มีเพียงเขากับจักรพรรดิหยวนจิ่งสามารถได้ยินเท่านั้น
ใบหน้าอันไม่ยินดียินร้ายของจักรพรรดิเฒ่าเผยสีหน้ามีความสุขที่ยากจะควบคุมออกมา เขาหายใจเข้าลึกๆ ระงับเสียงหัวเราะที่พุ่งมายังลำคอและพยักหน้าช้าๆ
“ดีมาก ไหวอ๋องไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ดีมาก ดีมาก!”
ฉู่เซียงหลงกล่าวต่อ “ข้าน้อยยังมีอีกหนึ่งคำขอ ข้าน้อยเกิดความผิดพลาดตอนกำลังฝึกฝน จึงไม่อาจสู้ศึกระยะยาวและสู้อย่างเต็มกำลังได้ ขอฝ่าบาทโปรดส่งคนไปคุ้มกันพระมเหสีไปทางเหนือด้วยเถิด”
จักรพรรดิเฒ่ามองพินิจเขา สายตาเฉียบคมเล็กน้อยและถามอย่างสงสัย “เกิดความผิดพลาดระหว่างฝึกฝนในเวลานี้หรือ”
ฉู่เซียงหลงรีบก้มศีรษะลง ประสานมือและเอ่ยอย่างเกรงกลัว “ฝ่าบาทโปรดอภัย ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย…”
เขารู้ว่าจักรพรรดิเฒ่าขี้สงสัย หากไม่อธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน แม้ว่าเขาจะเป็นคนสนิทของอ๋องสยบแดนเหนือ จักรพรรดิเฒ่าก็ย่อมต้องสงสัย
ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองสมคบคิดกับสวี่ชีอันเพื่อพลังเทพวชิระและร่วมมือกับเฉากั๋วกงเพื่อใช้คดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการบีบบังคับออกมาอย่างละเอียด
“ไอ้สารเลว!”
เมื่อจักรพรรดิหยวนจิ่งฟังจนจบก็โกรธจัด เท้าข้างหนึ่งเตะฉู่เซียงหลงจนกระเด็นออกไป ผมและเคราเปิดออก เขาลดเสียงลงและตะโกนด้วยความโกรธ “หากไม่ใช่เพราะข้ายังมุ่งหวังจะให้เจ้าทำเรื่องต่างๆ ข้าคงตัดหัวเจ้าทิ้งบัดเดี๋ยวนี้”
ฉู่เซียงหลงหมอบกราบ
จักรพรรดิหยวนจิ่งเดินไปมาในห้องทรงพระอักษรและครุ่นคิด “หากส่งทหารรักษาวังไปคุ้มกันจะสะดุดตาเกินไป ไม่เหมาะสม การขนย้ายเสบียงก็ช้าและยังไม่เตรียมพร้อม หากไปพร้อมกับเสบียง กว่าจะถึงทางเหนือก็เกือบปลายฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูใบไม้ร่วง พรรคต่างๆ ในท้องพระโรงก็จะยื่นหนังสืออีกครั้งและส่งคนไปตรวจสอบเรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อย่างละเอียด…เช่นนั้นก็ให้พระมเหสีร่วมทางกับทีมที่จะขึ้นเหนือเพื่อไปสืบสวนคดี ทั้งสามารถหลอกผู้คนได้และยังมียอดฝีมือคุ้มกันอีกด้วย”
เมื่อพูดจบ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ส่ายหน้า “ยังคงไม่เหมาะสม พระมเหสีมีรูปลักษณ์งดงาม แม้ว่าจะมีวรยุทธ์ปิดบังกลิ่นอายปกปิด แต่รูปลักษณ์ของนาง…”
ดวงตาของฉู่เซียงหลงเป็นประกายและพูดว่า “เรื่องนี้ง่ายยิ่ง ฝ่าบาท พระมเหสีมีของวิเศษอยู่กับตัว ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ แต่ยังสามารถปกปิดกลิ่นอายและกลายเป็นหญิงสาวธรรมดาได้อีกด้วย”
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว “นางไปเอาของวิเศษมาจากไหน”
ฉู่เซียงหลงกล่าวว่า “พระมเหสีบอกว่าราชครูมอบให้ นางเคยใช้ของชิ้นนี้แอบหนีออกจากจวนไปหลายครั้ง”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “เรื่องนี้จะกำหนดไว้ชั่วคราว ส่วนรายละเอียดค่อยว่ากันในภายหลัง”
…
สวี่ชีอันเดินเท้ามายังหอดูดาว ด้านซ้ายเป็นจงหลี ด้านขวาเป็นหลี่เมี่ยวเจิน และยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งตามมาข้างหลังคือ เหิงหย่วน ฉู่หยวนเจิ่น ลี่น่า ซูซู และคนอื่นๆ
หยางเชียนฮ่วนไม่อยู่ในกลุ่ม เขาล่วงหน้ากลับไปที่สำนักโหราจารย์ก่อน หากเขาอยู่ในกลุ่ม เขาคงรับมือได้ยาก
หากเขาวิ่งอยู่ด้านหน้าทุกคน เหล่าศิษย์น้องในหอดูดาวจะเห็นใบหน้าของเขาได้ หากเขาวิ่งอยู่ด้านหลังทุกคน ฝูงชนบนถนนก็จะเห็นใบหน้าด้านข้างของเขาได้
หยางเชียนฮ่วนสังเกตเว่ยเยวียนกับท่านโหราจารย์มาหลายปีและหาเหตุผลที่คนใหญ่คนโตไม่ออกไปไหนได้ ตัวอย่างเช่น ตาเฒ่าโหราจารย์ เขาเอาแต่นั่งเหม่อลอยและดื่มเหล้าที่แท่นแปดทิศ
คนใหญ่คนโตเดินทางด้วยการนั่งรถม้า ซึ่งปิดกั้นโอกาสที่ฝูงชนจะได้ชมรูปโฉม
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าสวี่ชีอันและคนอื่นๆ จะมาที่สำนักโหราจารย์ หยางเชียนฮ่วนก็เปล่งประกายออกไปก่อน
“นายท่าน ประเดี๋ยวข้าจะได้รับกายเนื้อแล้วใช่หรือไม่” ใบหน้ากระดาษอันตื่นเต้นของซูซูแดงขึ้น
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ตอบ แต่ในดวงตามีความคาดหวัง หากสามารถสร้างกายเนื้อใหม่ให้กับซูซูได้ก็ถือว่าทำความปรารถนาอันยาวนานหลายปีของสาวใช้คนนี้สำเร็จ
ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ ต่างก็สนใจงานของซ่งชิงอย่างหมดจด
ซ่งชิงแห่งสำนักโหราจารย์ เลื่องลือกันว่าเป็นรองท่านโหราจารย์และเป็นอันดับหนึ่งด้านการเล่นแร่แปรธาตุ เขามีชื่อเสียงโด่งดังและพวกเขาก็ชื่นชมเขามานานแล้ว
และสาเหตุที่เขาถูกจัดให้เป็นรองท่านโหราจารย์ก็เพราะท่านโหราจารย์พึ่งพิงโหรระดับหนึ่งบังคับกดข่มเอาไว้ หากพิจารณาเพียงแค่ความเว่อร์วังและพัฒนาการของการเล่นแร่แปรธาตุ เกรงว่าท่านโหราจารย์อาจจะด้อยกว่าซ่งชิง
เมื่อก่อนไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสำนักโหราจารย์ แต่ตอนนี้มีสวี่ชีอันนำทาง โอกาสหายากเช่นนี้ ย่อมต้องมาเยี่ยมเยือน ชมการเล่นแร่แปรธาตุของซ่งชิงและหอดูดาว
เมื่อเข้ามาใกล้หอดูดาว จู่ๆ ก็มีเงาร่างในชุดกระโปรงสีเหลืองพุ่งออกมาจากในห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ฉู่ไฉ่เวยที่มีดวงตากลมโต ใบหน้ารูปไข่และรอยยิ้มหวานชวนให้ลุ่มหลงออกมาต้อนรับ
ลี่น่าทักทายอย่างมีความสุข
“ข้าห่ออาหารหนึ่งโต๊ะที่หอคอยกุ้ยเยว่รอให้เจ้ามา” ฉู่ไฉ่เวยกระโดด
“มีขาหมู ไข่เป็ดเยี่ยวม้า ซุปไข่ปลาที่ข้าชอบกินหรือไม่…” ลี่น่ากระโดดอย่างมีความสุข
“มีสิ เอ๋ หลิงอินไม่ได้มาหรือ”
“นางถูกแม่ของนางกักตัวไว้ในจวน ร้องไห้เสียงดัง”
“น่าเสียดายจริงๆ นางไม่ได้มา อาหารทั้งหมดก็เป็นของพวกเรา ฮ่าๆๆ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน คิกๆๆ”
สองสาวจูงมือกัน ทิ้งทุกคนไว้และเดินจากไป
สวี่ชีอันเปิดปากและหันกลับมาพูดกับทุกคน “ข้าค่อนข้างคุ้นเคยกับสำนักโหราจารย์ ข้าพาพวกเจ้าเยี่ยมชมก็เหมือนกัน”
เขาไหว้วานหยางเชียนฮ่วนกลับมาส่งข่าวและบอกซ่งชิงว่า เขาจะพาเพื่อนมาเยี่ยมชมสำนักโหราจารย์
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ กลิ่นของส่วนผสมยาก็โชยมาเตะจมูก เหล่าโหรที่สวมชุดขาวต่างก้มศีรษะยุ่งอยู่กับการหั่นส่วนผสมยา ต้มยาหรือพลิกอ่านตำราแพทย์…
ในเวลานี้เอง โหรทุกคนก็หยุดงานในมืออย่างพร้อมเพรียง สายตามองไปที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่และทักทายเสียงดัง “คุณชายสวี่!”
ทุกคนไม่รู้สึกแปลกใจกับท่าทางเคารพนับถือของเหล่าโหรระดับเก้า ก่อนหน้านี้ตอนหมายเลขหนึ่งเล่าถึงข้อมูลของฆ้องทองแดงสวี่ชีอันในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขาเคยกล่าวว่าชายคนนี้เชี่ยวชาญการเล่นแร่แปรธาตุและมีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับซ่งชิงแห่งสำนักโหราจารย์
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าโหรจะเป็นพวกหยิ่งยโสและมีตำแหน่งของผู้สืบทอดลัทธิขงจื๊อจางๆ แต่ระดับเก้าก็คือระดับเก้า ความแตกต่างของระดับไม่อาจชดเชยด้วยความแตกต่างของระบบได้
‘สวี่หนิงเยี่ยนเป็นหมากของท่านโหราจารย์ บางทีเขาอาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญการเล่นแร่แปรธาตุ ทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงตาที่ท่านโหราจารย์สร้างขึ้นเพื่อทำให้เขาใกล้ชิดกับสำนักโหราจารย์อย่างสมเหตุสมผลและตบตาผู้คน…’ ฉู่หยวนเจิ่นคิดลึกไปอีกขั้น
สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย “ศิษย์น้องทุกคนลำบากแล้ว ศิษย์น้องทำงานต่อเถิด”
หลังจากกล่าวทักทายเสร็จ เขาก็พาฉู่หยวนเจิ่นกับคนอื่นๆ เดินขึ้นบันไดและพูดจาฉะฉาน
“สำนักโหราจารย์มีเก้าชั้น ห้องโถงใหญ่ชั้นแรกเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมของโหรระดับเก้า ชั้นสองเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมของนักพยากรณ์ระดับแปดเป็นต้น ชั้นที่เก้าเรียกอีกชื่อว่าแท่นแปดทิศ เป็นเขตของท่านโหราจารย์”
“ข้าได้ยินมาว่า ท่านโหราจารย์เหมือนจะนั่งที่แท่นแปดทิศมาหลายปีแล้ว” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว
ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่า ท่านโหราจารย์เขาไม่ขับถ่ายหรือ…สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจ แต่ภายนอกแสดงท่าทางเคารพนอบน้อม
“ว่ากันว่า ท่านโหราจารย์ต้องเพ่งสมาธิเฝ้าดูโลกมนุษย์”
‘เพ่งสมาธิเฝ้าดูโลกมนุษย์…’ ทุกคนต่างเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของท่านโหราจารย์สูงส่งขึ้นไร้ใดเทียบในระหว่างที่ไม่รู้ตัว
มีสไตล์ขึ้นมาทันที
ท่านโหราจารย์ควรได้ยินที่ข้าเยินยอเขา สวี่ชีอันคิดในใจ
พวกเขาเดินขึ้นไปข้างบนต่อ ระหว่างทาง โหรชุดขาวที่พบสวี่ชีอันทุกคนต่างก็ทักทายเขาด้วยความเคารพ ราวกับว่ารุ่นน้องพบกับอาจารย์หลังเลิกเรียน
นี่ทำให้ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ ตระหนักได้อย่างช้าๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ หากเพียงแค่มีความสัมพันธ์อันดี เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง