บทที่ 366 ถูกซุ่มโจมตี
“ก่อนอื่น พวกเราต้องวิเคราะห์เหตุจูงใจในการก่อเหตุโจมตีก่อน อืม…ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือเป้าหมายของอีกฝ่าย”
เมื่อพูดถึงขอบเขตเนื้อหาของวิชาเอก สวี่ชีอันก็พูดจาอย่างฉะฉาน “บุคคลผู้นั้นที่อ้างตัวว่าเป็นบุคคลของสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจว หลังจากที่เขาหนีออกจากเมืองฉู่โจว ก็ยังคงแอบร่วมมือกับคนอื่นๆ เพื่อพยายามทำให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไป
“หลังจากที่การส่งข่าวล้มเหลว เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งเจ้าปรากฏตัวออกมา ทำให้เขาคิดว่าจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินเป็นบุคคลที่สามารถไว้ใจได้ เป็นหญิงที่กล้าหาญคุณธรรมสูงส่งและทรงเกียรติภูมิ ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนมาติดต่อเจ้า”
หลี่เมี่ยวเจินพูดออกมา “ก็พูดเกินไป ประจบสรรเสริญเยินยอข้าเกินไป”
สวี่ชีอันส่ายหัว แสดงออกถึงความจริงใจอย่างยิ่ง “ข้าไม่ได้ประจบท่าน จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินเป็นคนที่กล้าหาญที่ข้าเลื่อมใสที่สุด”
หลี่เมี่ยวเจินทำเสียงฮึดฮัดออกจมูก
ซูซูที่อยู่ข้างๆ เหลือบไปที่สวี่ชีอัน คิดในใจว่า ‘ผู้ชายคนนี้ช่างเก่งในการเกลี้ยกล่อมหลอกล่อสาวๆ เสียจริง’ ตั้งแต่อาจารย์ลงเขามาเพื่อฝึกฝน สิ่งที่นางภาคภูมิใจมากที่สุดก็คือฉายา ‘จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน’ ของตนเอง
แม้ว่านางจะแสร้งทำเป็นหยิ่งยโส แต่ซูซูก็รู้ว่าคำพูดของสวี่ชีอันนั้นเข้าไปถึงส่วนลึกของหัวใจของอาจารย์
สวี่ชีอันกล่าวต่อ “เจ้าเป็นคนนอก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะวางแผนการที่ไม่ดีต่อเจ้า กลับยังคงตามหาเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเจตนาของเขานั้นคือเพื่อที่จะเปิดเผยเรื่องราวการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือ
“เขาไม่ได้เปิดเผยให้แก่พวกเผ่าอนารยชนรู้ นี่ก็แฝงความหมายว่าเขาไม่รู้ว่าเผ่าอนารยชนยังคงโลภมากและกระหายเลือดอยู่ พร้อมทั้งยังกำลังขัดขวางการเลื่อนตำแหน่งของอ๋องสยบแดนเหนือ เช่นนี้ก็สามารถรู้ได้ว่าเขานั้นเป็นเหยื่อที่ถูกลากให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้เล่นเกมกระดานนี้”
“นอกจากนี้ ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปของคนเหล่านี้ยังมีอย่างแรงกล้า ยิ่งเขาระมัดระวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าเขายิ่งอยากมีชีวิตอยู่มากเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็คงจะแพร่กระจายข่าวออกไปอย่างไม่สนใจเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ราคาที่ต้องแลกก็คือการถูกสายลับสอดแนมของอ๋องสยบแดนเหนือตามหาเพื่อฆ่าปิดปาก”
‘ถูกต้องเลย เป็นการวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผล’ หลี่เมี่ยวเจินฟังไปพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย
“ดังนั้น เขาจึงคิดว่าข้าจะสามารถช่วยส่งข่าวให้ได้ เขาน่าจะเคยลองอยู่ครั้งหนึ่ง แต่เหล่าคนในยุทธภพที่ช่วยส่งข่าวให้เขา ล้วนถูกฆ่าตัดตอนในเขตชานเมืองชั้นนอกของเมืองหลวงและนั่นก็คือร่างศพไร้วิญญาณที่ข้าพบอยู่ที่ข้างถนน”
รายละเอียดถูกต้องแล้ว นี่ทำให้หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกสบายใจราวกับเห็นแสงของดวงจันทร์ออกมาจากความมืดมิด
สมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจวหนีรอดพ้นจากหายนะการสังหารหมู่ จากนั้นก็ซ่อนตัวพลางแอบส่งคนในยุทธภพออกไปเพื่อส่งข่าวและนำข่าวกลับมายังเมืองหลวง
แต่คนในยุทธภพเคราะห์ร้ายถูกไล่ล่าสังหารตายอยู่นอกเมืองหลวง และถูกตนเองพบเข้าอย่างไม่ตั้งใจ
สวี่ชีอันที่เอียงศีรษะเอามือเท้าคางอยู่ก็พูดขึ้น
“เจิ้งซิ่งไหวไม่กล้าเขียนเอกสารราชการก็เข้าใจได้ เพราะจะถูกสกัดไว้ได้…ที่ไม่กล้าเผยแพร่ในฉู่โจว นี่ก็สามารถเป็นที่เข้าใจได้เช่นกัน ฉู่โจวเป็นอาณาบริเวณของอ๋องสยบแดนเหนือ ง่ายต่อการหาเรื่องตายให้กับตัวเอง
“สิ่งที่ข้าคิดไม่ออกก็คือชายที่ตายอยู่ข้างถนนผู้นั้น ใกล้จะเข้ามาถึงเมืองหลวงอยู่แล้ว พูดกันตามหลักการที่ว่าในเมื่อเขาสามารถหลบหนีไปยังเขตเมืองหลวงได้สำเร็จแล้ว ก็ไม่ยากที่จะเข้าเมืองนี่นา อำนาจในเมืองหลวงนั้นซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไม่เหมือนกับที่ฉู่โจวที่ไม่ว่าที่ไหนก็เต็มไปด้วยสายลับและผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องสยบแดนเหนือ”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าว “นอกจากนี้ก็ยังเป็นไปได้ที่พวกเขาคิดแต่จะนั่งเฝ้าข้างโคนต้นไม้เพื่อรอจับกระต่ายที่จะมาวิ่งชนต้นไม้ตาย จึงดักซุ่มล่วงหน้าอยู่แถวรอบๆ เมืองหลวงเพื่อรอซุ่มโจมตี”
สวี่ชีอันพยักหน้า เขารีบร้อนจะพักผ่อน ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับประเด็นนี้นัก เขาลุกขึ้นและเดินพุ่งตรงไปที่เตียงของหลี่เมี่ยวเจิน
“ข้าจะนอนสักพัก ฟ้ามืดแล้วจึงค่อยเรียกข้า”
“เจ้า…” หลี่เมี่ยวเจินอ้าปากค้าง อยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้เท่านั้น
‘เจ้าคนนี้เป็นอะไรไปนะ นี่เตียงของหญิงสาว คิดบอกอยากจะนอนก็นอนได้เลยอย่างนั้นหรือ?’
‘ช่างเถอะ เด็กสาวในยุทธภพไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเช่นนี้ เดี๋ยวค่อยเรียกให้เสี่ยวเอ้อมาเปลี่ยนเครื่องนอนและผ้าคลุมเตียงให้ก็แล้วกัน’ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางปลอบใจตนเอง
เอนหลังนอนนี่มันสบายอย่างที่คิดไว้จริงๆ และด้วยสภาพร่างกายของข้าตอนนี้ อาการปวดเอวปวดหลังนี่ก็ควรที่จะฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว…ผลกระทบของวรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อนั้นช่างน่ากลัวเสียจริง
อืม กลิ่นหอมเลือนๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หลี่เมี่ยวเจินดูไม่เหมือนผู้หญิงที่ใช้น้ำหอมที่มีส่วนผสมของชาดสีแดงก่ำ หรือว่ามันคือกลิ่นแตงหอมของสาวน้อยที่เป็นตำนานที่เขาเล่าขานกันงั้นหรือ?
หลังจากแตงเติบโต ก็เรียกได้เพียงว่ากลิ่นกายเท่านั้น
สวี่ชีอันรีบดึงสติกลับมา พร้อมกับให้ตนเองรีบๆนอนหลับไป
…
ระเบียงทางเดียวกันนั้น ซึ่งแยกมาจากห้องที่ยาวกว่าสิบเมตร จ้าวจิ้นกำลังกังวลอย่างหนักมาตลอดทั้งวัน
ติดตามสังเกตเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงเวลานี้ ตลอดจนรวบรวมข้อมูลข่าวสาร เขาเชื่อว่าจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินท่านนี้ที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้าเป็นตัวปลอมที่มาแทน ซึ่งนี่สามารถใช้หลักสองประการมายืนยันได้
ประการแรก คือการปล้นสะดมของเผ่าอนารยชนแดนเหนืออย่างกำเริบเสิบสาน เหล่าจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพก็ทยอยแห่ตามกันมา พวกเขาบางคนเคยเจอจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินมาแล้ว หรือไม่ก็เคยได้ยินเรื่องกระบี่บินอันขึ้นชื่อของนาง
ประการที่สอง คือเกิดขึ้นในการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ของเมืองหลวง ถึงแม่ว่าเพิ่งจะสิ้นสุดลงได้ไม่นาน แต่ก็เตรียมการต่อสู้ล่วงหน้ามามากกว่าหนึ่งเดือน สำหรับตัวตนที่แท้จริงของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินนั้นได้รับการตัดสินจากยุทธภพมาตั้งนานแล้ว
แต่เขาก็ยังซ่อนความประหม่าและวิตกกังวลไว้ไม่ได้ ตนเองเป็นคนเปิดเผยความลับใหญ่ออกไปเอง แต่ตลอดมากลับไม่เคยได้รับคำตอบที่ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่รอคอยอย่างขมขื่นนั้นคือความทรมานที่สุด
เวลานี้เขาเหลือบเห็นแก้วชาบนโต๊ะที่ถูกเททิ้งไว้อย่างกะทันหัน นั่นทำให้เขาตกใจกลัว
เมื่อหันไปมองร่องรอยน้ำที่ไหลออกมา มันกลายเป็นคำ ‘มาที่ห้องข้า’ สี่คำปรากฏขึ้น
จ้าวจิ้นแสดงสีหน้าประหลาดใจ เขารีบลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู พร้อมหยุดพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบความกังวลใจและระงับจิตใจที่เต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง
พยายามทำตนเองให้ดูเหมือนสงบที่สุด
จากนั้นเขาก็ก้าวเดินโดยไม่หยุดฝีเท้าแต่ก็ไม่ให้ดูเหมือนว่ารีบร้อน เดินไปที่ห้องของหลี่เมี่ยวเจินอย่างธรรมชาติ พร้อมกับเคาะประตูเบาๆ
ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ
ในห้องที่กว้างขวางและสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินและสาวใช้ที่สวยมีเสน่ห์ของนางก็นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ แสงเทียนได้สาดย้อมไปที่ใบหน้าที่สวยงามของพวกนางจนเป็นสีส้มนวลดูอบอุ่น
จ้าวจิ้นคุ้นชินกับเสน่ห์ของสาวสวยทั้งสองมานานแล้ว เขามองข้ามมันไปโดยอัตโนมัติ พลางกวาดสายตาไปที่ชายคนหนึ่งที่นอนราบอยู่เตียงที่อยู่ด้านหลังนางสองคน
‘นี่…เขาก็คือสหายร่วมทางของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินที่บอกหรือ? คาดไม่ถึงว่าจะสามารถนอนบนเตียงของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินได้ ดูแล้วเหมือนกับว่าความสัมพันธ์คงจะไม่ใช่แค่ผิวเผิน’ จ้าวจิ้นตกตะลึง หลังจากนั้นก็เห็นว่าหลี่เมี่ยวเจินตื่นขึ้นมาแล้ว เขาก็ร้องตะโกนไปทางเตียง
“เจ้าลุกขึ้นมาหาข้า มีคนมาหาแล้ว”
ชายที่อยู่บนเตียงขยับตัว ดูเหมือนกับว่าจะตื่นแล้ว ทันใดนั้นก็พลิกตัวและลุกขึ้นนั่ง พลางมองไปที่จ้าวจิ้น
‘ตึง ตึง ตึง’
จ้าวจิ้นก้าวถอยหลังอีกครั้งด้วยความตกใจ ชายคนนั้นเอียงศีรษะ หรี่ตา และมองเขาอย่างเย็นชา
‘หรี่ตามองก็ยังพอช่างมันได้ แต่นี่ยังเอียงศีรษะเพื่อมองหน้าอีก เจ้าคนนี้นี่มันคนพาลประเภทไหนกัน’
“เจ้าคือจ้าวจิ้น?” ชายคอคดเอ่ยขึ้น
“ใช่…ข้านี่แหละ”
เวลานี้ จ้าวจิ้นอาศัยแสงเทียนเพื่อดูใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจน ใบหน้ารูปหล่อไร้ที่ติราวกับเจ้าชายรูปงามที่สุดในกลียุค
ดูแบบนี้แล้ว กลับเหมาะสมกับจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินราวกับกิ่งทองใบหยกอย่างเกินความคาดหมาย
“ข้ามีหนึ่งคำถามอยากจะถามเจ้า” ชายคอคดกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
จ้าวจิ้นพยักหน้า
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคอคดผู้นั้นจ้องมาที่เขาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เจ้าตัดสินหรือมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจิ้งซิ่งไหวพูดเป็นความจริง?”
หัวใจของหลี่เมี่ยวเจินสั่นระรัว เนื่องจากจ้าวจิ้นไม่เคยมีประสบการณ์กับการสังหารหมู่ในเมือง เขาจะตัดสินได้อย่างไรว่าที่เจิ้งซิ่งไหวพูดเป็นจริงหรือเท็จ? ถ้าหากเขาเพียงแค่ฟังคำพูดของเจิ้งซิ่งไหวเพียงแค่ฝ่ายเดียว เช่นนั้นเรื่องในวันนี้ก็คงจะถูกเลื่อนพิจารณาไป
จ้าวจิ้นพูดเสียงต่ำ “ข้ามีน้องชายร่วมสาบานอยู่คนหนึ่ง เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยอยู่ในจวนของสมุหเทศาภิบาลเจิ้ง เป็นเขาและแขกอีกมากมายที่คุ้มกันส่งสมุหเทศาภิบาลเจิ้งให้หนีออกจากเมืองฉู่โจว”
ต้าฟ่งแบ่งอาณาเขตออกเป็นสิบสามทวีป โดยภายใต้ทวีปจะถูกจัดการให้เป็นรัฐ เขต และอำเภอ แต่เดิมชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของฉู่โจวคือ ‘ทวีปฉู่’ และต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นฉู่โจว
ทวีปอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง