บทที่ 367 วิชาปราณอ่านใจ
หากมีนักวรยุทธ์ขั้นสี่เข้ามาใกล้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะสังหารผู้อื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ในพริบตา และยังสามารถทำให้เรื่องนี้สัมฤทธิ์ผลได้
ความสามารถของนักวรยุทธ์ขั้นสี่จะมีความแข็งแกร่งได้นั้นขึ้นอยู่กับสองเงื่อนไขคือฮว่าจิ้นและเจตจำนงของพวกเขา
นักวรยุทธ์ที่สามารถใช้ฮว่าจิ้นได้ นับว่าเป็นผู้ที่มีทักษะทางกายภาพยอดเยี่ยม ไม่ต้องเอ่ยถึงหลี่เมี่ยวเจิน แม้กระทั่งสวี่ชีอัน หากต้องพบเจอกับนักวรยุทธ์ที่ใช้ฮว่าจิ้นได้จริง เกรงว่าก็คงพ่ายแพ้ให้พวกเขาเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพื้นฐาน ‘เจตจำนง’ ของขั้นสี่เลยเช่นกัน
แน่นอนว่า ผู้หนึ่งคือนักบุญหญิงแห่งนิกายสวรรค์ ส่วนอีกผู้หนึ่งคือฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง ทั้งสองย่อมมีกลอุบายในการรับมือกับอีกฝ่าย เพียงแต่ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะต่อสู้กันจนตัวตาย
นักวรยุทธ์ขั้นสี่ ใช่ว่าจะสามารถสังหารได้ภายในชั่วอึดใจ แค่เพียงพริบตาที่พวกเขาถูกปิดล้อม ทั้งสามก็จะไร้หนทางรอด บรรดาสายลับ เจ้าหน้าที่ และทหารคนอื่นๆ จะรีบปราดเข้ามาจนไร้หนทางหลบหนี
สวี่ชีอันไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาได้ เขาม้วนหนังสือขงจื๊อและกายสีทองซ่อนไว้ พยายามหลบเลี่ยงพวกนักวรยุทธ์ขั้นสี่
‘ชิ้ง!’
หลี่เมี่ยวเจินชักกระบี่ออกมา พุ่งตรงเข้าไปกลางท้องนภา หลบเลี่ยงลูกศรที่พุ่งเข้าใส่
ที่ด้านล่าง ร่างหนึ่งรีบพุ่งกายวิ่งไปตามขอบสันของหลังคาเรือน เขาเกาะกระโดด ปีนป่ายรวดเร็วยิ่งพร้อมสะพายคันธนูสายหนึ่งไว้ที่ด้านหลัง และตอนนั้นเองชายผู้สวมชุดคลุมดำนี้ก็ยกคันศรขึ้น แล้วเหนี่ยวสายธนูออกไป
หลี่เมี่ยวเจินทะยานร่างอยู่กลางอากาศถูกศรสองดอกโฉบเฉี่ยวผิวกายเล็กน้อย และหลังจากที่เพิ่งจะหลบลูกศรที่พุ่งเข้ามายังศีรษะได้ ฉับพลันก็ได้ยินเสียงลมแหวกอากาศ ลูกศรห่าใหญ่กำลังพุ่งเข้ามา
ชายชุดดำผู้นั้นยิงศรออกมาทั้งสิ้นสิบสามดอก ปลายศรแหลมคมเหล่านี้เปรียบเสมือนกระบี่บินที่พุ่งเข้าหาพวกสวี่ชีอันจากทุกทิศทาง บ่งบอกถึงความตั้งใจจริงที่จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสามารถสังหารพวกเขา
หลี่เมี่ยวเจินยามนี้ประหนึ่งกำลังร่ายรำ นางขี่กระบี่บินท่าทางแช่มช้า พลิกกายตลบ…หลบหลีกลูกศรที่พุ่งเข้ามาทีละดอกด้วยท่วงท่าสง่างาม
แต่เมื่อชายชุดดำผู้นั้นยังคงเหนี่ยวสายธนู ยิงศรออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสามก็คล้ายกับติดอยู่ในกลางสมรภูมิศรห่าใหญ่
‘ฟิ้ววว…ฉับ’
สวี่ชีอันปรบมือชื่นชมให้กับทักษะการขี่กระบี่บินอันน่าทึ่งของหลี่เมี่ยวเจิน ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดว่าจะหาทางหลบหนีสถานการณ์ที่ด้านล่างนั้นอย่างไร
หนังสือเวทมนตร์ขงจื๊อก็ใช้การไม่ได้ ไต้ซือเสินซูก็มาช่วยไม่ได้อีก ด้วยไม่รู้ว่าที่ด้านล่างนั่นมีสายตามากน้อยเท่าไรคอยจับจ้องอยู่…
พลังเทพวชิระยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง หากนำมาใช้จริงคงได้เผยตัวตนเป็นแน่ ดาบเดียวตัดฟ้าดินก็คงไม่ได้เช่นกัน…
สวี่ชีอันเพิ่งจะค้นพบตอนนั้นเองว่า สิ่งที่ตนร่ำเรียนมานั้นยังน้อยมากเหลือเกิน ใช้การไม่ได้สักอย่าง
“ช้าก่อน แม้หนังสือเวทมนตร์ขงจื๊อจะใช้การไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเวทมนตร์อื่นจะใช้ไม่ได้นี่…” ดวงตาของสวี่ชีอันพลันสว่างวาบ
เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นมา เขาก็เห็นอาคารที่เท้าของชายชุดดำนั้นพังทลายลงไป อีกฝ่ายทะยานตัวขึ้นไปบนท้อง นภาม้วนกายหนึ่งตลบ และตอนนั้นเองลูกศรดอกหนึ่งก็พุ่งไปที่ปลายเท้าของเขา
เขาย่ำลงไปบนศรที่พุ่งเข้ามาหาดอกแล้วดอกเล่า ระหว่างนั้นก็ยังคงเหนี่ยวสายยิงศรออกไป ไม่ปล่อยให้หลี่เมี่ยวเจินได้หยุดพักหายใจเลยแม้แต่อึดใจเดียว
เกรงว่านี่คงจะเป็นทักษะชั้นยอดของนักวรยุทธ์ขั้นสี่แล้ว…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
ตอนนั้นเอง หลี่เมี่ยวเจินก็หยิบยันต์อักขระแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ปากบริกรรมคาถาบางอย่าง ก่อนจะสะบัดยันต์แผ่นนั้นออกไป
‘ฉ่า’ เสียงอักขระยันต์มอดไหม้กลางอากาศ จากนั้นเปลวเพลิงก็ขยายวงกว้างขึ้น ก่อตัวรวมกันเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ สว่างเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์
เปลวไฟสว่างไสวสาดแสงส่องสะท้อนไปยังเมืองเบื้องล่าง ทำให้คนพาลเข้าใจผิดว่ารุ่งอรุณใกล้จะมาเยือนแล้ว
กลิ่นเหม็นไหม้ลอยแตะปลายจมูกสวี่ชีอัน เขาหันหน้ามองก็เห็นว่ายามนี้ขนตาของจ้าวจิ้นหายไปแล้ว ผมของอีกฝ่ายเริ่มหยิกและกลายเป็นสีน้ำตาล
เกรงว่าขนตาและผมของข้าก็ไม่น่าจะอยู่แล้วเช่นกัน…ให้ตายเถอะ ผมของข้าผิดอะไรด้วย ใต้หล้านี้มีตั้งหลายสิ่งอย่าง แล้วเหตุใดถึงได้พุ่งเป้ามาที่ข้าเล่า… เมื่อนึกถึงผมบนศีรษะของตนตอนนี้ และขนตาที่ไม่น่าจะเหลือแล้ว สวี่ชีอันก็อดเศร้าใจไม่ได้
ผมของหลี่เมี่ยวเจินเองก็ชี้ตั้ง นางรีบเอามือมาลูบมันให้เรียบดังเดิม
ลูกไฟกลุ่มนี้ดุจดั่งอุกกาบาต มันพุ่งเข้าใส่ชายชุดดำ
ชายชุดดำทะยานกายเข้าไปกลางอากาศ เข้าเหยียบลงบนลูกธนูดอกหนึ่งเพื่อเบี่ยงกายหลบลูกไฟที่พุ่งเข้ามา แล้วปล่อยให้ลูกไฟผ่านร่างของตนไปตกลงสู่ชาวเมืองเบื้องล่าง ไม่สนใจจะหยุดมันแม้แต่น้อย
หลี่เมี่ยวเจินคิ้วขมวดมุ่น นางยืดมือออกไปก่อนจะกำหมัดแน่น
‘เปรี้ยง!’
เปลวไฟพลันส่งเสียงระเบิดกึกก้องกลางอากาศ ฉากนี้คล้ายกับดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ จากนั้นกลุ่มไฟก็ขยายวงกว้าง และก่อนที่เพลิงทมิฬนั่นจะตกลงสู่พื้น พวกมันก็มอดดับลงแล้ว
ชายชุดดำสบโอกาส กระโจนเข้าไปกลางอากาศแล้วย่ำลงบนธนูอีกดอกหนึ่ง ระยะห่างระหว่างทั้งสองพลันลดลงอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวเขาก็ขยับเข้ามาใกล้แล้ว ชายผู้นั้นคาดว่าตนจะสามารถจัดการกับหลี่เมียวเจิน ทำให้นางตกลงไปได้ทันที และอย่างมากที่สุดที่หลี่เมี่ยวเจินจะทำได้ก็คือปล่อยให้สหายทั้งสองหนีเอาตัวรอดไปก่อน หรือไม่ทั้งหมดก็ต้องสู้อย่างจนตรอกอยู่ที่นี่
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายชุดดำที่กำลังโจมตีอย่างดุดันในยามนี้ หลี่เมี่ยวเจินกลับไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางสงบราบเรียบราวภูผาแกร่ง ตวัดกระบี่ขึ้นฟ้า แล้วกดเสียงต่ำ
“เข้ามา!”
‘ครืน!’
เมฆพลันปกคลุมทั่วท้องนภา เสียงอสนีบาตสั่นสะเทือนลั่น กลุ่มเมฆดำก่อตัวรวมกัน จากนั้นสายฟ้าพร่างพรายก็ฟาดฟันลงมา
สายฟ้าฟาดลงมารวดเร็วยิ่ง กลางอากาศเช่นนี้ไม่ใช่สถานที่สู้รบที่นักวรยุทธ์เช่นเขาคุ้นชินแม้แต่น้อย ครั้งนี้ชายชุดดำไม่ได้หลบหลีก มันจึงฟาดลงบนศีรษะของเขาเต็มๆ
‘เปรี้ยง เปรี้ยง!’
หากแต่ตอนนั้นเอง สายฟ้าก็พลันถูกบดบังด้วยบางอย่างที่มองไม่เห็น ส่วนโค้งละเอียดอ่อนกำลังเคลื่อนไหวไปมา
‘เขาสูบพลังปราณเพื่อสกัดกั้นอสนีบาตสายนี้ที่ฟาดเข้ามา’
จ้าวจิ้นหน้าเปลี่ยนสีทันที สายฟ้ารุนแรงเช่นนี้ก็ยังไม่อาจหยุดอีกฝ่ายได้ ด้วยระยะห่างอันน้อยนิดในยามนี้ เพียงชั่วอึดใจชายชุดดำก็เข้ามาประชิดพวกเขาแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว ในเมื่อไร้ทางเลือก เช่นนั้นก็ทำได้เพียงสู้จนตัวตาย ความสามารถในการต่อสู้ของนางและสวี่ชีอันอาจมากพอที่จะจัดการกับศัตรูตรงหน้ายามนี้ได้
ตอนนั้นเอง นางก็ได้ยินสวี่ชีอันเอ่ยขึ้น “บินต่อไป!”
หลี่เมี่ยวเจินไม่ลังเล สลัดความคิดที่จะต่อสู้ทิ้งไปทันที ขี่กระบี่บินมุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง
ยามนี้ ชายชุดดำอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่จั้งแล้ว เขารวบรวมพลังปราณ ท่าทางพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
‘แกรก!’
นิ้วสั่นเทาของสวี่ชีอันฉีกกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งแล้วเผามัน เขาใช้กายปิดกั้นการเผาไหม้ของกระดาษไว้ แล้วเอ่ยเสียงดัง “หากไม่ฝืนลิขิตแห่งฟ้า สวรรค์ย่อมเมตตาต่อสรรพชีวิต!”
ชายชุดดำที่กำลังจะปราดเข้ามาร่างกายพลันแข็งค้าง รูม่านตาของเขาหดแคบ ความตั้งใจในการต่อสู้หายวับ ความสำนึกผิดได้ก่อเกิดขึ้นในจิตใจของเขา
สำนึกถึงผิดบาปที่ไล่ตามสังหารคนทั้งสามเบื้องหน้า และสำนึกในบาปที่กระทำเอาไว้ก่อนหน้านี้
ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวเพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่เจตจำนงอันแข็งแกร่งในจิตใจของเขาจะหายไป
หากแต่ทุกอย่างกลับสายไปแล้ว ลูกศรทั้งหมดเสียการควบคุมและตกลงมา เขาเห็นเพียงเงาร่างของหลี่เมี่ยวเจินและสหายของนางห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จากนั้นทั้งหมดก็หายลับไปในกลีบเมฆด้วยความเร็ว
“สำนักพุทธอย่างนั้นหรือ?”
ชายชุดดำเค้นเสียงลอดไรฟันด้วยความเคียดแค้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
…
หลี่เมี่ยวเจินบินข้ามทะเลหมอกอยู่นานหลายเค่อ นางหันกลับไปมองทางด้านหลังอีกครา ก่อนจะบินต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ในท้ายที่สุดทั้งหมดก็ฝ่าทะเลหมอกออกมาแล้วกลับคืนสู่โลกเช่นเดิม
“เมื่อครู่คือสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือใช่หรือไม่” นางเอ่ยถาม
“คาดว่าคงเป็นสายลับระดับสวรรค์” จ้าวจิ้นตอบกลับ “ผู้ที่มีการบ่มเพาะเช่นนี้ย่อมเป็นสายลับระดับสวรรค์อย่างแน่นอน ฆ้องเงินพูดถูกแล้ว พวกเราถูกสะกดรอยตาม”
เขาเอ่ยต่อด้วยความโล่งอก “โชคดีที่มีท่านทั้งสอง มิเช่นนั้นจ้าวโหม่วคงหามีชีวิตรอดไม่”
เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินและฆ้องเงินเป็นประจักษ์แก่สายตาแล้ว เขาก็มั่นใจในการกระทำต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ตราบใดที่พวกเขาทั้งสองเต็มใจช่วยเหลือ พวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะแจ้งเรื่องกลับไปยังเมืองหลวงได้ แล้วให้ราชสำนักเป็นผู้ลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือ
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น จากคำชี้แนะของจ้าวจิ้น หลี่เมี่ยวเจินก็ร่อนกายลงยังด้านนอกหุบเขาแห่งหนึ่ง หากแต่เท้าเพิ่งจะแตะพื้นเท่านั้น สวี่ชีอันก็สังเกตได้ถึงสายตาของศัตรูที่กำลังจดจ้องมาทางตน
นี่คือสัญชาตญาณของนักวรยุทธ์ที่มีความสามารถหลอมวิญญาณ สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาและความคิดของศัตรูที่อยู่ใกล้ๆ ได้
หากแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดจากสัมผัสนี้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายยังไม่มีความตั้งใจที่จะลงมือ… สวี่ชีอันมองไปทางด้านข้างเงียบๆ เขาเหลือบมองจ้าวจิ้น
อีกฝ่ายพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย แล้วออกเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นจึงเลียนเสียงของนกฮูก
รอไม่นาน เสียงร้องแบบเดียวกันก็ดังมาจากทางด้านในหุบเขาด้วย
ไม่กี่อึดใจ เงาร่างสูงใหญ่กำยำก็เดินออกมาจากในป่าทึบพร้อมกับมีดยาวที่เอว ด้านหลังของเขายังสะพายคันธนูสายหนึ่งเอาไว้ นี่เป็นแบบฉบับของนักวรยุทธ์ทางแดนเหนือ
“พี่จ้าว ในที่สุดท่านก็กลับมา”
ผู้ที่มาเป็นบุรุษไว้หนวดเคราผู้หนึ่ง สูงราวเจ็ดฉื่อ มัดกล้ามของเขากำยำรัดแน่นเสื้อผ้า รูปลักษณ์หยาบกร้าน ท่าทางแข็งแรงองอาจเยี่ยงคนจากทางเหนือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง