ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 368

บทที่ 368 การเคลื่อนไหวทั้งสี่ทิศทาง (1)

พลบค่ำ พระอาทิตย์ยามอัสดงทอแสงแดงฉานดั่งโลหิต

สวี่ชีอันมองเห็นอาหารอันโอชะมากมายอยู่เบื้องหน้า ผู้ร่วมโต๊ะของเขายามนี้มีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีผู้หนึ่ง บุรุษผู้หนึ่งและสตรีหน้าตาหมดจดที่คาดว่าคงจะเป็นสามีภรรยากัน

พวกเขาคือครอบครัวของเจิ้งซิ่งไหว…ตอนนี้ข้ากำลังมองภาพพวกนี้ผ่านสายตาของเจิ้งซิ่งไหวสินะ มองย้อนกลับไปในความทรงจำของเขา…สวี่ชีอันผู้เคยมีประสบการณ์ผ่านวิชาปราณอ่านใจมาครั้งหนึ่ง ตระหนักรู้ได้ในทันที

เขานิ่งเงียบนั่งฟังเจิ้งซิ่งไหวตำหนิบุตรชาย

เจิ้งซิ่งไหวมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตมีหน้าที่การงานแล้ว ด้วยการบ่มสอนอย่างดีของเจิ้งซิ่งไหว ชื่อเสียงในแวดวงราชการของเขาจึงดีมาก อนาคตรุ่งเรือง

หากแต่บุตรชายคนรองกลับเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ สำมะเลเทเมาไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรเลย

แต่ด้วยกฎระเบียบอันเข้มงวดของเจิ้งซิ่งไหว บุตรชายคนรองจึงไม่กล้าก่อเรื่องกลั่นแกล้งผู้อื่น

เขากลายเป็นคนไร้ค่าที่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

วันนี้คุณชายรองเจิ้งไปดื่มสุราที่หอนางโลม เขามีเรื่องขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ทางการ จึงถูกทุบตีอย่างรุนแรงกลับมา

เจิ้งซิ่งไหวตำหนิบุตรชาย ใบหน้าฉายชัดถึงความโกรธจัด

คุณชายรองเจิ้งไม่ได้สำนึก เขาเอ่ยเสียงขมขื่น “ท่านพ่อ ข้าเพียงไปแค่หอนางโลมเท่านั้น จะกล้าหาเรื่องใครได้เล่า ข้าไม่ได้เป็นคนเริ่มเสียหน่อย ข้าผิดอะไรกัน”

ใช่ การไปเที่ยวเล่นหอนางโลมจะผิดได้อย่างไร สวี่ชีอันแอบเห็นด้วยกับคุณชายรองเจิ้งอยู่ในใจ

ตอนนั้นเองสะใภ้ก็เอ่ยปากออกมา “ท่านพ่อ ข้าอยากกลับเรือนของตน เดือนหน้านี้ก็จะถึงวันเกิดครบรอบหกสิบปีของท่านพ่อข้าแล้วเจ้าค่ะ”

เจิ้งซิ่งไหวยังไม่ทันได้อ้าปากตอบกลับ บุตรชายคนรองของเขาก็รีบโบกไม้โบกมือ เอ่ย “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ยามนี้พวกป่าเถื่อนด้านนอกนั่นอยู่ใกล้กับประตูชายแดนฉู่โจวยิ่งนัก สถานการณ์นอกเมืองวุ่นวาย จะทำอย่างไรหากต้องเจอกับพวกเผ่าอนารยชนระหว่างเดินทางกัน”

ใบหน้าของเขาฉายความหวาดหวั่น เอ่ยตำหนิภรรยาที่ไม่รู้จักรักชีวิตกลัวตาย

เจิ้งซิ่งไหวเอ่ยเสียงขุ่น “ขี้ขลาดตาขาวนัก ข้าให้กำเนิดขยะเช่นเจ้าออกมาได้อย่างไร”

แม้สวี่ชีอันจะมองไม่เห็นใบหน้าของเจิ้งซิ่งไหวในยามนี้ แต่เมื่ออยู่ในสภาวะวิชาปราณอ่านใจ เขาก็สัมผัสได้ถึงความโกรธของเจิ้งซิ่งไหว

เขาผิดหวังในตัวบุตรชายคนรองอย่างยิ่ง รู้สึกว่าบุตรชายตรงหน้าช่างไร้ค่า เทียบไม่ได้กับบุตรชายคนโตเลยแม้แต่น้อย

ในตอนนั้นเอง บุรุษสวมชุดเกราะผู้หนึ่งก็ปราดเข้ามาภายในห้อง เขาสะพายคันธนูสายหนึ่งไว้ที่หลัง พร้อมกับมีดยาวคาดเอว คนผู้นี้คือหลี่ฮั่นนั่นเอง

หลี่ฮั่นรีบรายงาน “ใต้เท้า ทหารยามรักษาชายแดนบุกเข้ามาในเมืองโดยไม่ทราบสาเหตุ รวบรวมชาวเมืองจำนวนมากไม่รู้ว่าต้องการจะทำสิ่งใดขอรับ”

เจิ้งซิ่งไหวตื่นตกใจ ลนลานซักถามทันที “ทหารพวกนั้นเกณฑ์ชาวเมืองงั้นรึ ทำอย่างไรกัน เป็นคำสั่งของใคร”

รวบรวมผู้คน เพื่อการสังหารหมู่ครั้งใหญ่หรือ สวี่ชีอันคิดในใจ เขาตื่นตัวยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นก็ฟังสิ่งที่หลี่ฮั่นกล่าวต่อ

“ราษฎรถูกเกณฑ์มาทั้งสี่ทิศทาง เหนือ ใต้ ออก ตก ครั้งนี้เป็นคำสั่งของผู้บัญชาการเชวียหย่งซิว ตอนนี้เขาควรจะประจำอยู่ที่เมืองทางใต้”

เจิ้งซิ่งไหววางตะเกียบ หยัดกายลุก “เตรียมม้า ข้าจะไปดูกับตาตนเองสักหน่อย แล้วรายงานใต้เท้าจูให้มากับข้าด้วย”

เจิ้งซิ่วไหวควบม้ามุ่งตรงไปยังเมืองทางใต้ โดยมีเค่อชิงแซ่จูติดตามไปด้วย ระหว่างทางก็เห็นว่าเหล่าทหารกำลังรวบรวมชาวเมืองกลุ่มใหญ่จริงๆ ไม่รู้ว่าจะพาพวกเขาไปที่ไหน

“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทำอะไรกัน” เจิ้งซิ่งไหวตวาดลั่น

ทหารพวกนั้นปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่เอ่ยอะไร

เจิ้งซิ่งไหวถามย้ำออกไปอีกครั้ง แต่ก็ยังคงได้คำตอบเป็นความเงียบเช่นเดิม

ลางสังหรณ์บางอย่างคืบคลานเข้ามาในใจ เจิ้งซิ่งไหวไม่รอช้าเลิกสนใจทหารตรงหน้า ก่อนจะสะบัดแส้ในมือลงบนอานม้า รีบห้อตะบึงไปยังเมืองทางใต้ด้วยความรวดเร็ว

เขาไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย เจิ้งซิ่งไหวไปถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว ก็เห็นศีรษะดำๆ ของคนจำนวนมาก ผู้คนพลุกพล่านแออัดกันมากราวแสนคน

ในบรรดากลุ่มคนนั้นมีทั้งชาวบ้านธรรมดา พ่อค้าแม่ขาย จวบจนไปถึงเจ้าหน้าที่ของที่ทำการปกครอง ยามนี้พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่รกร้างแห่งหนึ่งตรงเมืองทางใต้ด้วยสภาพเบียดเสียดแออัด

ทหารหลายพันนายติดอาวุธธนูและหน้าไม้ที่แข็งแรง พวกเขากำลังล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้

เจิ้งซิ่งไหวกวาดสายตามอง สุดท้ายสายตาของเขาก็หยุดลงที่ผู้บัญชาการเชวียหย่งซิวที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าท่าทางองอาจ ด้านข้างของเขายังมีสายลับสวมชุดคลุมดำมากกว่าสิบคนอยู่ด้วย

‘สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือ…’ เจิ้งซิ่งไหวหรี่ตา “เจ้าอารักขา ท่านกำลังทำอะไรกัน”

“ใต้เท้าเจิ้ง ทันมาได้ทันเวลานัก” เชวียหย่งซิวปรายตามอง นัยน์ตาข้างเดียวของเขาฉายแววเย็นชา ก่อนจะกล่าวออกมา “ใต้เท้าเจิ้ง พวกเผ่าอนารยชนบุกโจมตีประตูชายแดนนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเผา สังหาร และปล้นสะดม ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”

เจิ้งซิ่วไหวไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงถามคำถามนี้ เขาขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเกณฑ์ชาวเมืองให้มารวมตัวกัน”

เชวียหย่งซิวชี้หอกไปทางชาวเมืองหลายแสนคน พลันระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมา

“ย่อมเกี่ยวกันแน่นอน ในฐานะราษฎรของต้าฟ่ง ข้าพยายามทำอย่างดีที่สุดอุทิศตนเองเพื่อความมั่นคงของพรมแดน ผ่านหยาดเลือดเพื่อให้ต้าฟ่งรุ่งเรือง ใต้เท้าเจิ้งคิดว่า ที่ข้าพูดนั้นมีเหตุผลหรือไม่”

“น่าแปลกนัก…”

เจิ้งซิ่งไหวกำลังจะอ้าปากว่าบางอย่าง ฉับพลันก็เห็นว่าเชวียหย่งซิวควบม้าพุ่งไปข้างหน้าพร้อมหันหอกที่อยู่ในมือไปทางชาวเมือง

“อ๊ากกก!”

เขาเสือกหอกยาวเข้าใส่อกของคนผู้หนึ่ง จากนั้นยกหอยลอยขึ้นสูง เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ หลังจากดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างนั้นก็แน่นิ่งไม่ไหวติง

ฉากตรงหน้าพลันวุ่นวายในพริบตา ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มพากันกรีดร้อง หากแต่คนที่อยู่ไกลออกไปยังไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเริ่มมึนงง

ดวงตาของเจิ้งซิ่งไหวเบิกกว้าง “เชวียหย่งซิว เจ้ากล้าสังหารผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร เจ้าเสียสติไปแล้วรึ”

การสังหารหมู่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว…สวี่ชีอันรับรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ด้วยวิชาปราณอ่านใจ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเดือดดาลและความหวาดกลัวของเจิ้งซิ่งไหวในยามนี้ได้อย่างลึกซึ้ง

“ใต้เท้าเจิ้งอย่าเพิ่งวู่วาม ถึงคราวของท่านแล้ว” เชวียหย่งซิวเขย่ามือให้ศพที่อยู่ปลายหอกสั่น แผดเสียงลั่น “ยิง!”

ทหารสวมเกราะหลายพันนายเหนี่ยวคันธนู เล็งเป้าไปยังกลุ่มผู้บริสุทธิ์ที่รวมตัวกัน

‘ฟิ้ว ฟิ้ว ฉึบ…’

ลูกธนูห่าใหญ่พุ่งออกไป ราวกับฝูงตั๊กแตนที่รวมตัวกันเหมือนพายุฝน

ทุกดอกพรากชีวิตแล้วชีวิตเล่าให้ล้มลง เหล่าผู้บริสุทธิ์ต่างร้องไห้โหยหวนด้วยความสิ้นหวัง หลายชีวิตล้มตายราวกับต้นหญ้า ในนี้ยังมีผู้อาวุโสและเด็กจำนวนมากอีกด้วย

กลุ่มคนผู้โชคดีที่หนีรอดมาจาศรห่าใหญ่ลนลานวิ่งเข้ามา หากแต่สิ่งรอพวกเขาอยู่คือคมดาบของเหล่าทหาร ในฐานะทหารของต้าฟ่งนั้น พวกเขาไม่มีความปรานีในการเข่นฆ่าเลยแม้แต่น้อย

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย…”

“อย่าฆ่าข้าเลย อย่าฆ่าข้าเลย”

ผู้คนตื่นตระหนก ต่างคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา ไม่เข้าใจว่าทำไมกองทัพของต้าฟ่งถึงต้องสังหารพวกเขา เหตุใดทหารผู้มีหน้าที่รักษาชายแดนของเมืองจึงไม่สังหารพวกอนารยชน แต่กลับหันคมดาบเข้าใส่พวกเขา

‘ฉับ…’

เสียงดาบฟันฉับ ใครคนหนึ่งล้มลงกับพื้น เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง