บทที่ 368 การเคลื่อนไหวทั้งสี่ทิศทาง (2)
เสียงร้องไห้เริ่มจากเสียงหวีดแหลมสูง จากนั้นจึงค่อยๆ กลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เจิ้งซิ่งไหวจึงยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตา เบ้าตาของเขาแดงก่ำ ก่อนจะประสานมือคำนับ
“ข้าน้อยเสียมารยาทนัก
“โปรดอภัยให้ด้วย”
สวี่ชีอันกอบหมัดคำนับตอบกลับ แล้วพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาพลางเอ่ยถาม “แล้วเรื่องหลังจากนั้นเล่า”
หลี่ฮั่นเอ่ยเสียงแข็งกร้าวกลับมา “เราต้องเสียสละนักสู้ขั้นสองและขั้นสี่ไปเพื่อหลบหนีออกจากเมือง จากนั้นเราก็ซ่อนตัวอยู่ทางทิศตะวันตก แอบติดต่อกับคนภายนอกบ้าง และพยายามเปิดโปงแผนการชั่วร้ายของอ๋องสยบแดนเหนือ”
ถ้าอย่างนั้น นอกจากเจิ้งซิ่งไหวแล้ว ก็มีแต่ครอบครัวของเขาเท่านั้นที่เสียชีวิตในเมืองฉู่โจวสินะ…สวี่ชีอันกวาดสายตามองทุกคนตรงหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย”
อากาศด้านในนี้แปลกประหลาดและน่าอึดอัดยิ่ง คล้ายกับหมอกควันที่เกิดจากการก่อไฟทำให้ไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม สวี่ชีอันรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออก
เขาไม่สนใจสีหน้างงงันของทุกคนที่มองตามมา เพียงหยัดกายลุกแล้วหันหลังเดินมาจนถึงปากถ้ำ ผลักกิ่งไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขามากีดขวางทางเดินออกไปเบาๆ แล้วเดินออกไป
สวี่ชีอันยืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาเงียบสงบ เขาสูดลมหายใจลึกเข้าปอด แต่ก็พบว่าสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกจนทำให้ตนอึดอัดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับอากาศ หากแต่เกิดจากความเศร้าสลดที่ยากจะทำใจให้สงบได้
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วมาจากด้านหลัง
“ข้าอยากจะไปที่ฉู่โจว” หลี่เมี่ยวเจินกดเสียงต่ำ
ความเคียดแค้นนั้นปราศจากสุ้มเสียง ใบหน้าของนางราบเรียบไร้อารมณ์ทุกข์สุข มีเพียงแววตาเท่านั้นที่ฉายชัดถึงความมุ่งมั่น
“ข้าอยากจะไปดูที่ฉู่โจวสักหน่อย ความโกรธครอบงำจิตใต้สำนึกของเรา ก่อนไปที่นั่น พวกเรามาทำความเข้าใจมันอีกสักคราเถอะ คิดพิจารณาเรื่องคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้กันอีกรอบให้ถี่ถ้วนก่อน”
สวี่ชีอันมือหักกิ่งไม้แห้ง แล้วเค้นเสียงลอดไรฟันกล่าวออกไป
“อ๋องสยบแดนเหนือสังหารคนทั้งเมืองเพื่อปรับแต่งแก่นโลหิต แต่การปรับแก่นแท้โลหิตจำต้องใช้เวลา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะสังหารชาวเมืองฉู่โจว เพื่อปกปิดความคิดของตนเอาไว้ไม่ให้ทุกคนได้รู้
“ข้าเคยสังหารสายลับของอ๋องสยบแดนเหนือมาก่อน และเคยเรียกวิญญาณมาถามไถ่สถานการณ์ หากแต่สายลับนั่นกลับไม่รู้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือใช้สถานที่ใดสังหารผู้คน เมื่อดูจากความทรงจำของสมุหเทศาภิบาลเจิ้งแล้ว พบว่ามีทหารและสายลับจำนวนมากที่เข้าร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนั้น”
หลี่เมี่ยวเจินคิ้วขมวด “เจ้าหมายความว่า ทั้งทหารและสายลับพวกนั้น อาจโดนปรับเปลี่ยนความทรงจำ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “มีความเป็นไปได้ พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองทำเรื่องใดลงไป และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ย่อมไม่มีทางที่ทหารจะทำมัน เพราะฉะนั้น ต้องมีใครบางคนคอยช่วยเหลืออ๋องสยบแดนเหนืออยู่อีกแน่นอน ย่อมมีขุมพลังระดับใหญ่ที่คอยหยิบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
“คนผู้นั้นแข็งแกร่งนัก เขายังมีความสามารถในการฟื้นฟูเมืองฉู่โจวให้กลับมาเป็น ‘ดังที่เป็นอยู่’ ได้ แต่ข้าไม่มั่นใจนักว่าเขาใช้วิธีใด ด้านชายแดนทางเหนือก็ถูกพวกเผ่าอนารยชนรุกรานเข้ามามากมาย พวกเขาทั้งหมดกำลังสืบสวนเรื่องนี้ อ๋องสยบแดนเหนือต้องทราบเรื่องแน่นอน ตราบใดที่เขาสามารถปรับแต่งแก่นแท้โลหิตได้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว และด้วยวิธีนี้ จากความสามารถของพวกเราก็ยากเหลือเกินที่จะสร้างความแตกต่าง…
“เมี่ยวเจิน ข้าอยากให้เจ้าช่วยส่งสาส์นออกไป แจ้งแก่เผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจ”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้ารับคำ นางสามารถขี่กระบี่บินไปได้ และนี่เป็นวิธีที่สะดวกมากสำหรับการส่งสาส์น
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นสบตานาง พลางเอ่ยต่อ “ข้าจะอยู่ที่นี่คอยดูแลใต้เท้าเจิ้ง รอจนเจ้ากลับมาแล้วค่อยไปยังฉู่โจวด้วยกัน”
หลี่เมี่ยวเจินถอนหายใจ “เจ้าต้องรอข้าด้วยล่ะ”
“เวลาไม่ค่อยท่า รีบไปเถอะ”
“ได้”
หลี่เมี่ยวเจินเรียกกระบี่บินเข้ามา แล้วกระโดดร่างขึ้นไปอยู่บนด้ามกระบี่ ออกบินสู่กลางอากาศ
สวี่ชีอันเดินกลับไปที่ถ้ำ แล้วหันมองสมุหเทศาภิบาลเจิ้งและคนอื่นๆ ทีละคน เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ใต้เท้าเจิ้ง ทุกท่านจงอยู่ที่นี่เพื่อรอข่าวจากข้า”
ดูเหมือนสมุหเทศาภิบาลเจิ้งจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ลนลานถาม “เจ้าจะทำอะไรหรือ”
“ไปที่ฉู่โจว เพื่อสืบสวนคดีนี้”
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ สมุหเทศาภิบาลเจิ้งและคนอื่นๆ ต่างพยักหน้าเล็กน้อยรับคำ
สวี่ชีอันกวาดสายตามองพวกเขา เอ่ยต่อ “ทุกท่านปกป้องใต้เท้าเจิ้งเป็นอย่างดียิ่ง ซื่อสัตย์ ไม่หวาดหวั่น ข้าน้อยขอชื่นชมจากใจจริง ใต้หล้ามีนักสู้เช่นพวกท่านจึงทำให้ผู้คนมีความหวังกับชีวิต
“สวี่โหม่วสัญญาว่าผู้กระทำเรื่องนี้จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงถึงขั้นสุด และจะมอบความยุติธรรมให้กับผู้คนในฉู่โจวให้ได้”
เจิ้งซิ่งไหวหยัดกายลุก กอบหมัดคำนับ “เช่นนั้น ข้าน้อยถึงตายก็ไม่เสียใจ”
หลี่ฮั่นและคนอื่นๆ ก็กอบหมัดคำนับเช่นกัน พร้อมเอ่ยเป็นเสียงเดียว “ถึงตายก็ไม่เสียใจ”
…
เช้าตรู่ สวี่ชีอันก็มาถึงเมืองเล็กๆ เขามองหาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในละแวกนั้น
หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขอให้เสี่ยวเอ้อช่วยนำถังน้ำมาให้ใบหนึ่ง สวี่ชีอันปิดประตู หยิบเศษซากของหนังสือปฐพีออกมา เขาสะบัดมือทีหนึ่ง ร่างของพระมเหสีที่กำลังนอนหลับอยู่ก็ปรากฏขึ้นบนเตียงนุ่ม
“ตื่นได้แล้ว…”
สวี่ชีอันตบแก้มของนางเบาๆ ฉับพลันเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีเพียงกลิ่นอาหารเท่านั้นที่จะทำให้นางตื่นขึ้นมา สวี่ชีอันจึงจงใจส่งพลังปราณกลิ่นหอมหวานคล้ายอาหาร เพื่อบังคับให้นางรีบตื่นขึ้นทันที
พระมเหสีพึมพำเล็กน้อยก่อนลืมตาตื่น รูม่านตาของนางค่อยๆ ขยายออกทีละนิด แต่เมื่อเห็นว่าเป็นสวี่ชีอันที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าก็พลันแข็งค้าง รีบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงคล้ายกระต่ายน้อยที่กำลังตื่นตูม
นางก้มลงสำรวจตนเอง ก่อนจะหันมองรอบๆ เอ่ยเสียงดัง “เจ้า เจ้า นี่เจ้า…ทำอะไรข้า!”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง พยายามทำท่าทางดุร้ายให้คนที่กำลังมองอยู่รู้สึกหวาดกลัว
หากแต่สวี่ชีอันที่เห็นท่าทางของนางในยามนี้กลับอยากจะหัวเราะออกมา ในใจอยากจะแกล้งต่ออีกสักนิดแต่เขาก็แค่ยักไหล่ให้นางเท่านั้น แล้วเอ่ยตอบ “ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า ข้าก็แค่ปล่อยให้เจ้าหลับเฉยๆ เท่านั้น”
“ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าตีข้าจนหมดสติ เพราะฉะนั้นต้องวางแผนทำอะไรไม่ดีกับข้าแน่นอน” นางตอบเสียงแข็ง
เจ้าจะไปรู้อะไรกัน หากอยู่ในห้องนอนบางทีอาจมีคนพังประตูเข้ามาง่ายๆ ก็ได้…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ จากนั้นจึงเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าจะคิดอะไรก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
เขารออยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง จนกระทั่งเสียงหวานของพระมเหสีดังออกมาจากข้างใน “ผู้แซ่สวี่”
สวี่ชีอันผลักบานประตูเข้ามาอีกรอบ
พระมเหสีนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งกำลังแปรงผม ศีรษะของนางหันไปทางด้านข้าง ใช้หางตามองเขาเล็กน้อย “เจ้าคงไม่ได้ตีข้าจนหมดสติจริงๆ สินะ”
นางจ้องมองร่างของตนในกระจก ยังคงจดจ่อกับการแปรงผม
ดูเหมือนว่านางจะเชื่อมั่นได้แล้วว่าเข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เช่นนั้นความกรุ่นโกรธในใจจึงลดลงไปหลายส่วน
สวี่ชีอันยกถังไม้เข้ามา เทน้ำลงไปข้างในนั้น จากนั้นจึงเทโอสถบางอย่างจากขวดสีแดงลงไป เขาจุ่มใบหน้าของตนลงไปในนั้นเป็นเวลานาน
กระทั่งผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ใบหน้าของสวี่ชีอันก็เริ่มเห่อร้อน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นผู้อื่นแล้ว
บุรุษผู้นี้รูปงามมากจนแม้แต่กู่เทียนเล่อยังต้องอับอาย เขางดงามเสียยิ่งกว่าใครในใต้หล้านี้…อย่างน้อยสวี่ชีอันก็คิดเช่นนั้น
เขาผลักพระมเหสีออกไปให้พ้นทาง แล้วส่องกระจกมองใบหน้าที่คุ้นเคยด้วยความตะลึงงัน
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็บ่นพึมพำเบาๆ “นานมากแล้วสินะ…”
พระมเหสีมองมาที่เขา แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าปลอมกายเป็นใครกัน ด้วยภาพลักษณ์อันไม่ธรรมดาเช่นนี้ เหมาะหรือสำหรับการไม่เป็นที่ดึงดูดสายตา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง