ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 419

สรุปบท บทที่ 419 คลื่นใต้น้ำได้ซัดสาดอย่างรุนแรง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 419 คลื่นใต้น้ำได้ซัดสาดอย่างรุนแรง – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 419 คลื่นใต้น้ำได้ซัดสาดอย่างรุนแรง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 419 คลื่นใต้น้ำได้ซัดสาดอย่างรุนแรง

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของบันทึกประจำวันก็คือลายมือของเจ้าช่างเขียนได้หวัดเลอะเทอะอะไรขนาดนี้ละเนี่ย…ถามจบ สวี่ชีอันก็วิจารณ์อยู่ในใจ

สวี่เอ้อร์หลางจิบชาให้ชุ่มคอ พลางพูดอธิบาย “อาลักษณ์มักจะรับหน้าที่โดยบัณฑิตขั้นสูงอันดับหนึ่ง เป็นขุนนางโอรสแห่งสวรรค์ที่แท้จริง มาจากครอบครัวชนชั้นสูง

“การสอบขุนนางจัดขึ้นทุกๆ สามปี ดังนั้น อย่างมากที่สุดอาลักษณ์จะถูกแทนที่ภายในสามปีและบางคนก็ทำได้ไม่ถึงหนึ่งปี ข้าเปิดดูบันทึกชีวิตประจำวันเหล่านี้ที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ก็พบเรื่องประหลาดมากๆ อยู่เรื่องหนึ่ง”

เขาจงใจขายจุดตื่นเต้นออกมาให้เห็น เมื่อเห็นพี่ใหญ่หรี่ตามองมาที่ตน เขาก็กระแอมไอและรีบปฏิเสธความคิดที่จะขายความลับนี้ พลางพูด

“หยวนจิ่งปีที่สิบและหยวนจิ่งปีที่สิบเอ็ดของบันทึกชีวิตประจำวัน ไม่มีบันทึกที่เอ่ยถึงชื่อของอาลักษณ์ ซึ่งนี่ผิดปกติเป็นอย่างมาก”

สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เป็นไปได้หรือไม่ว่าในบันทึกจะมีความผิดพลาดที่เกิดจากความสะเพร่า ลืมลงนาม?”

สวี่เอ้อร์หลางส่ายหัว “ฝ่ายอาลักษณ์เป็นของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน หากพวกเราต้องรวบรวมหนังสือและชื่อสกุล จะเกิดความผิดพลาดสะเพร่าเช่นนี้ได้อย่างไร? พี่ใหญ่อาจจะดูถูกสำนักบัณฑิตฮั่นหลินของพวกเรามากเกินไปหน่อย”

“นอกจากนี้ คนที่ครองตำแหน่งอาลักษณ์ทั้งหมดได้ลงนามในชื่อของพวกเขา แตกต่างจากหยวนจิ่งปีที่สิบและปีที่สิบเอ็ดที่ไม่มี? นี่มันแปลกเกินไป ข้าคาดว่า ปีที่สิบและปีที่สิบเอ็ดเป็นคนคนเดียวกัน”

บันทึกประจำวันของหยวนจิ่งปีที่สิบและปีที่สิบเอ็ดล้วนไม่มีการลงนามในบันทึก ไม่รู้ว่าคนที่สัมพันธ์กับอาลักษณ์นั้นคือใคร…ถ้าหากว่านี่ไม่ใช่ความผิดพลาดจากความสะเพร่า เช่นนั้นทำไมจึงต้องลบชื่อคนออกไปล่ะ?

ถ้าหากบันทึกประจำวันมีปัญหา เช่นนั้นก็ควรแก้ไขบันทึกประจำวันส่วนนี้ แทนที่จะลบชื่อของอาลักษณ์

สวี่ชีอันคิดวนไปมา แล้วพูดวิเคราะห์ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าบันทึกประจำวันมีปัญหา สำเนาที่เจ้าคัดลอกมาได้ถูกแก้ไขหลังจากนั้น และเป็นเพราะอาลักษณ์ท่านนั้นบันทึกเนื้อหาส่วนนี้และได้รู้ข้อมูลบางอย่าง ดังนั้นจึงถูกฆ่าปิดปาก และลบชื่อของเขาออกไป”

สวี่เอ้อร์หลางส่ายหัว “ไม่ใช่ ตามการคาดเดาของพี่ใหญ่ ถ้านับว่าเป็นการฆ่าปิดปาก ก็ไม่มีความจำเป็นต้องลบชื่อออกหรอกใช่หรือไม่ ปัญหาที่แท้จริงคือบันทึกประจำวัน ไม่ใช่การลงนามของอาลักษณ์ สิ่งที่ต้องทำคือจำเป็นต้องแก้ไขบันทึกชีวิตประจำวันเท่านั้น”

“เจ้าพูดถูก”

สวี่ชีอันพยักหน้า ความสัมพันธ์หลักและรองไม่ค่อยจะสอดคล้องกัน สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือบันทึกชีวิตประจำวัน เพียงแค่ต้องแก้ไขเนื้อหาเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าอาลักษณ์ในเวลานั้นจะถูกไล่ออกหรือฆ่าปิดปาก ก็ไม่จำเป็นต้องลบชื่อของเขา

“ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นตัวของอาลักษณ์เองที่มีปัญหา” สวี่ชีอันได้ข้อสรุป

“อาลักษณ์ผู้นี้กับจักรพรรดิหยวนจิ่งมีความสัมพันธ์ที่เป็นความลับกัน?”

สวี่เอ้อร์หลางลดเสียงเบาลง เวลาดึกแล้ว แต่ดวงตาของเขากลับยังสว่างไสวและเฉียบคม ทั้งยังดูฮึกเหิมอย่างชัดเจน

“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขากับจักรพรรดิหยวนจิ่งมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่ แต่ข้าคิดออกอยู่เรื่องหนึ่ง…”

สวี่ชีอันกดคลึงระหว่างคิ้ว เขาค้นพบอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโหรโดยไม่ได้ตั้งใจ

หากปัญหาอยู่ที่ตัวของอาลักษณ์เอง และเขาสมัครใจลบชื่อของเขาเอง การกระทำที่คุ้นเคยขนาดนี้ เหมือนกับกรณีของคดีบิดาของซูซูทุกประการ และเหมือนกับกระทำของโหรเพื่อปกป้องความลับของสวรรค์

ในคดีของซูหัง เบื้องหลังนั้นมีร่องรอยการควบคุมโดยโหร และชื่อของอาลักษณ์ท่านนี้ก็ถูกลบไปด้วยเช่นเดียวกัน…ระหว่างสองคนนี้ต้องยังคงมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อกันแน่นอน

ในท้องพระโรงปีนั้น ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นและมันเป็นเรื่องที่สะเทือนลั่นไปทั่วพื้นปฐพีไม่ผิดแน่

“ทำไมข้าจึงรู้สึกเหมือนมองข้ามอะไรไป? ถูกแล้วล่ะ เมื่อตอนที่ออกจากเจี้ยนโจว ข้าเคยอาศัยเลขาธิการศาลต้าหลี่และหัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญาให้ช่วยตรวจสอบค้นหาสำนวนคดีของซูหัง”

สวี่ชีอันตะลึงตกใจ ถ้าไม่ใช่เพราะบันทึกประจำวันส่วนนี้ของเอ้อร์หลาง ทำให้เขาต้องเริ่มตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้งและเขาเกือบจะลืมเกี่ยวกับสำนวนคดีของซูหังไปแล้ว

ด้วยการฝึกฝนสลายแรงขั้นห้าของเขา ความทรงจำของเขาก็ไม่ควรจะแย่ขนาดนี้

ดูเหมือนว่าข้าต้องเขียนบันทึกประจำวันไว้ทุกเวลาเสียแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่ลืมพวกเบาะแสที่กว่าจะได้มาแบบไม่ใช่ง่ายๆ เหล่านี้…สวี่ชีอันพูดในใจ

“จะตรวจสอบอาลักษณ์คนนี้ได้อย่างไร? วิธีที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด” สวี่ชีอันถาม

“เป็นธรรมดาที่ต้องสืบถามจากข้าราชการอาวุโส” สวี่ฉือจิ้วไม่แม้แต่จะคิด

ถ้าหากเป็นการป้องกันความลับของสวรรค์ละก็ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสามารถจำได้

สวี่ชีอันส่ายหัว “ยังมีวิธีที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่?”

“ไปตรวจสอบที่กรมปกครอง คลังเอกสารของกรมปกครองนั้นเก็บสำนวนคดีของขุนนางไว้ทั้งหมดตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมา ข้อมูลทั้งหมดของขุนนางเมืองหลวงเป็นเวลาหกร้อยปี” สวี่เอ้อร์หลางกล่าว

เขาส่ายหัวทันที “ทั้งหมดนี้เป็นความลับ พี่ใหญ่ ตัวตนของท่านในตอนนี้อ่อนไหวมาก กรมปกครองไม่สามารถและไม่กล้าที่จะให้เจ้าเข้าไปในเขตอำนาจได้”

เว้นเสียแต่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว

ถ้าต้องการให้จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้ และเมตตาที่จะไสหัวออกไปให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ บางทีอาจจะต้องแต่งเรื่องกล่าวหาให้ติดคุก

“เจ้ากรมกรมปกครองดูเหมือนว่าจะเป็นคนของพรรคหวาง พ่อตาในอนาคตของเจ้าคงจะช่วยข้าได้นะ” สวี่ชีอันพูดติดตลก

“พี่ใหญ่หยุดพูดเรื่องเพ้อเจ้อได้แล้ว ข้ากับคุณหนูหวางบริสุทธิ์ใจต่อกัน จะว่าไป แม้ว่าข้ากับคุณหนูหวางจะสนิทสนมกัน สมุหราชเลขาธิการหวางก็คงไม่ยอมรับข้า ถึงขนาดที่คงจะไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของข้า”

สวี่เอ้อร์หลางโบกมือ ปฏิเสธคำขอที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของพี่ใหญ่

“งั้นเจ้าจะใช้อะไร” สวี่ชีอันวิจารณ์น้องชาย

“ถ้าเจ้ารีบพาคุณหนูหวางเข้าเรือนหอไปเร็วกว่านี้ละก็ ก็คงจะไม่ยุ่งยากมากกว่านี้ และคงไม่มีทางจะแก้ไขอะไรได้อีก พรุ่งนี้ข้าก็คงจะสามารถเข้าไปในกรมปกครองเพื่อตรวจสำนวนคดี เอ้อร์หลางเอ๋ย จุดนี้เจ้ายังทำได้ไม่เก่งเท่าพี่ใหญ่ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นพี่ใหญ่ คุณหนูตระกูลหวางก็คงเป็นนางสนมไปแล้ว”

สวี่เอ้อร์หลางร้อง ‘โอ้โฮ’ ออกมา พลางพูดอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “พี่ใหญ่นอกจากจะนอนกับคณิกาของสำนักสังคีตแล้ว ยังเคยนอนกับบุตรีขุุนนางด้วยหรือ?”

สีหน้าของสวี่ชีอันเฉยชาขึ้นทันที

พี่ใหญ่หัวเราะเยาะพี่สอง และพี่สองก็เหน็บแนมพี่ใหญ่ การต่อสู้นั้นตีคู่เสมอกันมา

บรรยากาศนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน และพี่น้องยังคงพูดคุยกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สวี่ชีอันไตร่ตรอง “ต้องหาทางที่จะเข้าไปในกรมปกครองให้ได้สักครั้ง…นี่สำคัญมาก เอ้อร์หลาง…เจ้าไปช่วยพี่ใหญ่ตรวจสอบบันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อน”

บันทึกประจำวันของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ในอดีตเป็นหลักฐานที่สำคัญสำหรับการเขียนบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ และสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการเรียบเรียงและรวบรวม สวี่เอ้อร์หลางต้องการที่จะตรวจสอบบันทึกประจำวัน ก็ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

สวี่ฉือจิ้วพยักหน้าโดยไม่ถามหาเหตุผล

จะเข้ากรมปกครองได้อย่างไร? เรื่องนี้แม้แต่เว่ยกงก็ไม่สามารถทำได้ เว้นแต่เขาจะเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ไม่เช่นนั้นเว่ยกงเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปกรมปกครองเพื่อตรวจสอบสำนวนคดีเช่นกัน…และข้าก็ไม่มีเส้นสายใดๆ ในกรมปกครอง เอ่อ…เหมือนกับจะมีอยู่คนหนึ่งที่พอถูๆ ไถๆ ได้ แต่หลานชายของคนคนนั้นถูกข้าเนรเทศไปแล้ว หมดวิธีที่จะบีบบังคับเขาอีก

สวี่ชีอันนวดคลึงหว่างคิ้ว คิ้วขมวดไม่คลาย

“ใช่แล้ว ฉือจิ้วรู้จักสวี่โจวหรือไม่?”

สวี่ชีอันสงบสติอารมณ์และเปลี่ยนหัวข้อโดยไม่ลืมเส้นทางแรกของท่านโหราจารย์ และสืบถามข่าวจากน้องชายคนเล็กที่มีความรู้มากมาย

สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว หวนนึกย้อนไปเมื่อนานมาแล้ว พลางส่ายหัว “ไม่เคยได้ยินมาก่อน รอเมื่อมีเวลาว่าง จะไปช่วยพี่ใหญ่สืบหาอีกรอบ ทุกราชวงศ์จะต้องมีเหตุการณ์ให้เปลี่ยนชื่อเขตปกครองตลอด

“นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปยังมีวิธีเรียกชื่อรัฐต่างกันไป ตัวอย่างเช่นเจี้ยนโจว ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าอู่โจว เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีอิทธิพลมากในเจี้ยนโจว ควบคุมขุนนางในเมือง ดังนั้น ในตอนแรกจึงเรียกกันแบบติดตลกว่าอู่โจว จากนั้นชื่อนี้ก็ค่อยๆ แพร่หลายต่อๆ กันไป”

“ทวีปใหญ่นั้นยังพอจะใช้ได้ การเปลี่ยนชื่อไปๆ มาๆ ล้วนง่ายต่อการตรวจสอบ แต่รัฐขนาดเล็กและขนาดกลาง มีจำนวนต่างกันไป ต้องใช้เวลานานเพื่อตรวจสอบ”

เจี้ยนโจวมีอีกชื่อว่าอู่โจว ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าสวี่โจวเองก็ยังมีชื่ออื่นๆ อีกเช่นกัน? สวี่ชีอันคิดไตร่ตรองขึ้นมา พลางพูด “ต้องรบกวนเอ้อร์หลางแล้วล่ะ”

วันต่อมา สวี่เอ้อร์หลางขี่ม้ามาที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน

พูดถึงความเข้มงวดของซู่จี๋ซื่อ ไม่ใช่ตำแหน่งขุนนาง แต่เป็นช่วงหนึ่งของการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน

หลังจากเป็นซู่จี๋ซื่อแล้ว สวี่เอ้อร์หลางต้องศึกษาต่อและได้รับการอบรมสอนโดยปราชญ์สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ในช่วงเวลานั้นเขาได้ร่วมทำงานซ่อมแซมหนังสือ ช่วยปราชญ์ในการจดบันทึกหนังสือ ร่างพระราชโองการแทนจักรพรรดิ เพื่ออธิบายหนังสือคัมภีร์และอื่นๆ ให้แก่จักรพรรดิ พระราชโอรส และพระราชธิดา

เพราะเหตุผลของสวี่ชีอัน อนาคตของสวี่เอ้อร์หลางจะได้รับผลกระทบอย่างมาก เขาจะพลาดงานร่างพระราชโองการแทนจักรพรรดิ และพลาดการอธิบายหนังสือคัมภีร์และอื่นๆ ให้แก่จักรพรรดิ

และก็เป็นเพราะเหตุผลของสวี่ชีอันอีก ที่เขาอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็เหมือนกับปลาได้น้ำ ได้รับการปฏิบัติตอบรับเป็นอย่างดี

ขุนนางของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเป็นคนที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูง มีความหยิ่งยโสในตนเอง พวกเขาชื่นชมสวี่ชีอันเป็นอย่างมาก และรวมไปถึงปฏิบัติต่อสวี่เอ้อร์หลางอย่างสุภาพเช่นกัน

หลังจากฟังการบรรยายของปราชญ์มหาสำนักหม่าซิวเหวินแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน สวี่ซินเหนียนก็เข้าไปในคลังเอกสารและเริ่มตรวจสอบบันทึกประจำวันของจักรพรรดิรุ่นก่อน

บันทึกประจำวันของจักรพรรดิไม่ได้เป็นความลับ นับเป็นข้อมูลประเภทหนึ่งและใครก็ตามในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินล้วนสามารถตรวจสอบได้ ถึงอย่างไรบันทึกชีวิตประจำวันก็จะต้องเขียนลงในหนังสือประวัติศาสตร์

และหนังสือประวัติศาสตร์ก็ต้องให้คนได้อ่าน

“ใต้เท้าสวี่ได้โปรดตามข้ามา”

สวี่เอ้อร์หลางถูกเชิญพาไปที่ห้องรับแขก และได้พบกับคุณหนูตระกูลหวางที่สวยเพียบพร้อม อ่อนโยน และนุ่มนวล

เธอยังคงสวยสง่าและว่องไวเหมือนอย่างเคย แต่มีความรู้สึกเศร้าลึกๆ ปรากฏอยู่ระหว่างคิ้วของเธอ

หลังจากที่หวางซือมู่โบกมือให้คนรับใช้ออกไปจากห้องโถง สวี่เอ้อร์หลางก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “สองวันมานี้ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับท้องพระโรงแล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่การตีแบบง่ายๆ ฝ่าบาททรงลงมืออย่างเอาจริงเอาจังแล้ว”

‘เอ้อร์หลางนี่เฉลียวฉลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ’ หวางซือมู่ฝืนใจยิ้มและพูด

“เมื่อวานนี้ท่านพ่อครุ่นคิดอย่างหนักทั้งคืนในห้องหนังสือ และข้าก็รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ดูท่าจะไม่ดี”

“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการนั้นจัดการเรื่องนี้ได้อย่างช่ำชองและชั่วร้าย มีประสบการณ์เปี่ยมล้น จะต้องมีแผนรับมือแน่” สวี่เอ้อร์หลางพูดปลอบโยน

หวางซือมู่ฝืนยิ้มพลางส่ายหัว “วิกฤตครั้งนี้พุ่งมาอย่างน่ากลัวและโหดร้าย เกรงว่าจะไม่มีเวลาให้เตรียมตัว วันนี้มีขุนนางกลุ่มหนึ่งเข้าคุก พรุ่งนี้อาจเป็นท่านพ่อของข้าแล้วก็ได้ ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยโอกาสให้ท่านพ่อได้ตอบโต้…ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า วันก่อนฝ่าบาททรงเรียกให้รองเจ้ากรมกรมทหารฉินหยวนเต้าและเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงเข้าพบ พวกเขามีอุปกรณ์เตรียมพร้อมมาด้วย ในคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว ท่านพ่อและเว่ยเยวียนได้ร่วมมือกับขุนนางหลายร้อยคน เพื่อบีบคั้นฝ่าบาทให้ทรงออกกฤษฎีกาต้องโทษ ตอนนี้ฝ่าบาททรงตอบโต้กลับหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว”

สวี่เอ้อร์หลางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด “เหตุใดใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการไม่ร่วมมือกับเว่ยกงเล่า?”

หวางซือมู่ส่ายหัว “ความคิดเห็นทางการเมืองของเว่ยกงและท่านพ่อไม่ลงรอยกัน พวกเขาเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาไม่คอยตีซ้ำเติมก็ต้องขอบคุณฟ้าดินมากๆ แล้วล่ะ”

สวี่เอ้อร์หลางไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง นี่ไม่ใช่สถานการณ์ในคดีฉู่โจวเมื่อสมัยนั้น ที่ขุนนางร้อยคนทั้งหมดจะอยู่ในแนวรบเดียวกัน ต่อสู้กับอำนาจของจักรพรรดิ

สำหรับขุนนางคนอื่นๆ รวมถึงเว่ยเยวียน การล่มสลายของพรรคหวางถือเป็นข่าวดีเรื่องหนึ่ง ซึ่งนี่หมายถึงว่าจะมีตำแหน่งว่างเพิ่มขึ้นมาอีก

ทั้งหมดนี้เป็นผลประโยชน์ที่มองเห็นได้และเป็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้

ฉวยโอกาสจากการล่มสลายของพรรคหวางเพื่อเสริมความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งให้ตัวเอง จึงจะมีอำนาจในคำพูดและทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น

“เว้นเสียแต่ว่าท่านพ่อจะรวมพรรคพวกได้ในช่วงเวลาสั้นๆ จึงจะมีโอกาสมีหนทางรอด แต่สำหรับพรรคต่างๆ การนั่งรอให้ฝ่าบาทจัดการควบคุมท่านพ่อ เป็นประโยชน์และเป็นการดีที่สุด” หวางซือมู่ถอนหายใจอีกครั้ง พลางพูดอย่างอ่อนโยน

“เอ้อร์หลาง นี่ควรจะทำอย่างไรจึงจะดี?”

สวี่เอ้อร์หลางอ้าปาก แต่ไร้คำพูดใดออกมา

หอเฮ่าชี่

หนานกงเชี่ยนโหรวนั่งเป็นเพื่อนพ่อบุญธรรมอยู่ข้างโต๊ะชา บุคลิกที่ดูเย็นชาเป็นนิจของคนรูปงาม เวลานี้กลับนำพาซึ่งรอยยิ้มเยาะ

“ท่านพ่อบุญธรรม ต่อให้ครั้งนี้พรรคหวางไม่ล้ม ก็ต้องพ่ายแพ้สงครามจนเสียกำลังทหารไป ตั้งแต่นี้ไป ไม่มีใครขวางทางท่านได้แล้ว”

หวางเจินเหวินและท่านพ่อบุญธรรมความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน อีกฝ่ายคอยขัดขวางท่านพ่อบุญธรรมของเขาไม่ให้เผยแพร่นโยบายใหม่ไปทุกที่ หลังจากต่อสู้กันมานานหลายปี หินที่ขัดขวางเท้าก้อนนี้ก็หายไปในที่สุด

“คนที่ขัดขวางข้ามาตลอดนั้นไม่ใช่หวางเจินเหวิน” เว่ยเยวียนก้มหน้าลง จ้องดูส่วนหนึ่งของแผนที่ พร้อมกับพูด

“แต่ล้มลงก็ดีเหมือนกัน พรรคหวางล่มลงแล้ว ข้าก็มีเวลาอย่างน้อยห้าปี”

เขาหยุดพูดอย่างกะทันหัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ถอนหายใจเบาๆ

“อีกสองเดือนก็จะถึงการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สนามรบของข้าไม่ได้อยู่บนท้องพระโรงแล้ว แล้วแต่พวกเขาเถอะ”

‘ท่านพ่อบุญธรรมกำลังคิดที่จะเข้าควบคุมอำนาจการทหารหรือนี่…’ หนานกงเชี่ยนโหรวรู้สึกจิตใจสั่นคลอนขึ้นมา

เขารู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ถูกต้อง การจู่โจมสำนักพ่อมดหลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เป็นแผนที่ท่านพ่อบุญธรรมวางแผนไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว แต่ความหมายในคำพูดครั้งนี้ของเขาก็คือ ในอนาคตจากนี้ไปอีกเป็นเวลานาน เขาจะไม่อยู่ในท้องพระโรงอีก

‘นี่หมายความว่า การจู่โจมกับสำนักพ่อมดนั้นไม่ใช่การต่อสู้เล็กๆ ท่านพ่อบุญธรรมตั้งใจจะปล่อยให้การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อออกไปเป็นเวลานานอย่างนั้นหรือ?’

ความสงสัยผุดขึ้นในใจของหนานกงเชี่ยนโหรว

แล้วเหตุผลล่ะ?

…………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง