ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 429

บทที่ 429 ความลับของเหิงหย่วน

หมายเลขสอง ‘ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีก แหกปากอะไรของเจ้า’

แม้จะดูผ่าน ‘หน้าจอ’ ของหนังสือปฐพีแต่ก็สัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน ตอนนี้นางคงจะอยู่ในชุดคลุม นั่งอยู่ข้างโต๊ะ พร้อมทั้งอ่านข้อความด้วยความเกียจคร้าน และรำคาญใจปะปนกัน

ฉู่หยวนเจิ่นที่อยู่อีกฝั่ง รู้สึกว่าท่าทีของหลี่เมี่ยวเจินค่อนข้างจะไม่เหมาะสม อย่างไรเสียหมายเลขสามสวี่ฉือจิ้วและหลี่เมี่ยวเจินก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่สามารถชื่นชมหรือด่าทอกันได้ตามอำเภอใจ

นอกจากนี้หลี่เมี่ยวเจินยังอาศัยชายคาจวนสกุลสวี่อยู่ ทว่าหลี่เมี่ยวเจินมีนิสัยของชาวยุทธภพสูง ทำอะไรตามใจตนเอง เวลาเข้าสังคมจึงขาดการควบคุมอารมณ์

หมายเลขสี่ ‘เอ๊ะ ไต้ซือเหิงหย่วนไม่ตอบ…’

ผ่านไปสักครู่หมายเลขหกเหิงหย่วนก็ยังไม่ตอบกลับมา ประกอบกับก่อนหน้านี้ที่เขาเคยบอกว่ามีคนซุ่มโจมตีรอบสถานรับเลี้ยงเด็ก ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

สวี่ชีอันส่งข้อความไปว่า ‘เกิดเรื่องกับเหิงหย่วนแล้ว เขามีส่วนพัวพันในคดีใหญ่คดีหนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งคนมาตามล่าเขา ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้แค้น แต่อาจจะถึงขั้นฆ่าปิดปากได้’

พัวพันกับคดีใหญ่ ฆ่าปิดปาก เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง?!

ทุกคนในพรรคฟ้าดินต่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าหมายเลขสามได้ข้อสรุปนี้ออกมาได้อย่างไร ถึงได้พูดออกมาแบบนี้

ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความ ‘หมายเลขสาม เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเหิงหย่วนกันแน่ เจ้าค้นพบอะไรบางอย่างใช่หรือไม่’

เขาถามในสิ่งที่พรรคฟ้าดินทุกคนสงสัย แต่ไม่มีใครพูดขึ้นมา ทั้งจอมยุทธ์หญิงผู้ใจร้อน นักกินสาวน้อยผิวคล้ำ หมายเลขหนึ่งผู้สูงศักดิ์ รวมถึงนักบวชเต๋าจินเหลียนที่เฝ้าหน้าจอเงียบๆ ต่างก็รอคอยให้หมายเลขสามเอ่ยปากอธิบาย

หมายเลขสาม ‘อธิบายรวบรัดตัดตอนไม่ได้ สิ่งที่ต้องรีบทำในตอนนี้คือไปดูลาดเลาที่สถานรับเลี้ยงเด็กในเมืองชั้นนอกก่อน’

หมายเลขสอง ‘ได้!’

ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็วางหนังสือปฐพีลง คว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวม แล้วพูดว่า “ข้าจะออกไปข้างนอก เจ้าก็ไปกับข้าสิ”

จงหลีพยักหน้า ลุกขึ้นจากเตียงเล็ก สวมรองเท้าปักลายต่างรองเท้าแตะ และเดินตามเขาออกไป

เสียงฝนตกลงมาบนกระเบื้องมุงหลังคา หยดลงมาตามมุมชายคา และเมื่อฟ้าแลบวาบก็เหมือนม่านมุกที่แกว่งไกว มันถูกสายลมหนาวเหน็บพัดปลิวไป ตกกระทบลงมาราวกับกลีบดอกไม้ลอยละล่องและเศษหยกที่แตกหัก

บริเวณลานบ้านมีแอ่งน้ำตื้นๆ ยามเม็ดฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบผิวน้ำ ก็เกิดละอองน้ำขุ่นมัวสาดกระเซ็น

สวี่ชีอันหันหน้าไปทางละอองน้ำที่ชื้นแฉะ เห็นหลี่เมี่ยวเจินสวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋า และยืนอยู่ใต้ชายคาอีกด้านหนึ่งของลานบ้าน

สายตาของทั้งสองสบประสาน ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้มากความ หลี่เมี่ยวเจินโยนกระบี่บินขึ้นไปลอยคว้างกลางลานบ้าน ทั้งสามกระโดดขึ้นไปเหยียบบนกระบี่บินทันที

เทพธิดานิกายสวรรค์บีบมือข้างหนึ่ง กระบี่บินก็ส่งเสียง ‘ฟิ้ว’ ตัดผ่านม่านพิรุณ ทะยานไปสู่ท้องนภา

ตราบใดที่ท่านโหราจารย์อนุญาต การบินข้ามเมืองหลวงก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา

ในไม่ช้าพวกเขาก็บินข้ามเมืองชั้นใน มาถึงเมืองชั้นนอก หลี่เมี่ยวเจินออกแรงกดปลายเท้าของนาง ปลายดาบพุ่งลงเบื้องล่าง เบี่ยงเส้นทางไปยังทิศใต้ของเมือง

หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ผลีผลามลงจอด แต่บินโฉบลงระดับความสูงต่ำครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”

“ตอนนี้ยังปลอดภัยดี”

สวี่ชีอันตอบกลับ

ขณะนี้เขาจับสังเกตศัตรูไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะคนที่ซุ่มโจมตีควบคุมตัวเองได้ดี ไม่เงยหน้าขึ้นมอง ก็ต้องเป็นเพราะพวกเขาจากไปหมดแล้ว

หลี่เมี่ยวเจินวิเคราะห์อย่างจริงจัง “พวกมันน่าจะซ่อนตัวอยู่ และอาจวางกับดักไว้รอให้เรามาถึง”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ความเป็นไปได้นี้ยังตัดออกไปไม่ได้ จักรพรรดิหยวนจิ่งรู้ว่าเราเป็นพวกกับเหิงหย่วน ย่อมต้องวางกลยุทธ์ปิดล้อมสมรภูมิอย่างเลี่ยงไม่ได้”

“ปิดล้อมสมรภูมิ?”

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยความรู้สึกทึ่ง “บรรยายได้ดีสมกับเป็นเจ้า เช่นนั้นก็ยกให้เจ้าเป็นคนนำก็แล้วกัน เจ้าเป็นถึงระดับเพชรไร้พ่าย อีกทั้ง จิตขั้นสี่ยังแตกสลายได้ยาก”

สวี่ชีอันพยักหน้าเป็นเชิงตกลง “เจ้าขึ้นไปบนฟ้าและช่วยดูแนวรบให้ข้าหน่อย”

ทั้งสองวิเคราะห์สถานการณ์และส่งยิ้มให้แก่กัน

ตอนนี้เอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบจากจงหลี “ข้างล่างไม่มีการซุ่มโจมตี ไม่มีทหารอยู่…”

สีหน้าของสวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินอึ้งเหวอ

เกือบลืมไปแล้ว่าจงหลีเป็นโหร เชี่ยวชาญวิชามองปราณ เฮ้อ เป็นเพราะภาพลักษณ์อ่อนแอในยามปกติของนางนี่แหละที่ติดตรึงในหัวของข้า…สวี่ชีอันคิดในใจ

หลี่เมี่ยวเจินก็คิดเช่นนั้น นางหยุดบินวน แล้วลงจอดท่ามกลางม่านฝน ทางเดินขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ไร้การดูแลซ่อมแซมมานาน บ้านเตี้ยๆ ที่ตั้งอยู่สองข้างทางดูรกร้างและทรุดโทรมกว่าปกติเมื่ออยู่ท่ามกลางสายฝน

ประตูหน้าสถานรับเลี้ยงเด็กปิดสนิท

สวี่ชีอันกวาดสายตามองไปรอบๆ ขณะที่กำลังจะพูดว่า ‘ไม่มีร่องรอยการต่อสู้’ ก็ได้ยินเสียงของจงหลีและหลี่เมี่ยวเจินพูดขึ้นพร้อมกัน “มีคนตาย”

หัวใจของเขาหล่นวูบ

ทั้งสามกระโดดข้ามรั้วและเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็ก

ลานบ้านที่เต็มไปด้วยวัชพืชรกชัฏมืดสนิท ขณะที่เม็ดฝนโปรยปรายลงมา ในห้องทางทิศตะวันออก มีแสงสลัวเล็ดลอดออกมาจากบานหน้าต่าง

ทั้งสามคนเดินเข้าไปและเห็นเตียงไม้ซอมซ่อกลางห้อง บนเตียงมีศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว สภาพศพผ่ายผอม

สวี่ชีอันมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่เหิงหย่วน แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาเลย

เจ้าพนักงานเฒ่าสองรายนั่งอยู่ข้างศพ ก้มหน้ามองพื้นด้วยความสิ้นหวัง ดวงหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความโศกตรม และหมดสิ้นหนทาง

สวี่ชีอันมาที่สถานรับเลี้ยงเด็กหลายครั้ง และรู้จักเขาดี เจ้าพนักงานเฒ่าผู้นี้แซ่หลี่ เขาเป็นชายชราผู้โดดเดี่ยว แต่ร่างกายยังแข็งแรงดี ถูกส่งมาทำงานในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้

“เฒ่าหลี่ เกิดอะไรขึ้น”

สวี่ชีอันจงใจทำเสียงฝีเท้าดังๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของเฒ่าหลี่ แต่เขากลับสะดุ้งสุดตัว ร่างกายสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชวนขวัญผวามา

“ฆ้อง ฆ้องเงินสวี่…”

เมื่อเห็นสวี่ชีอัน แววตาที่หม่นหมองของเจ้าพนักงานเฒ่าก็เปี่ยมล้นด้วยความหวัง

เขาประหลาดใจระคนยินดี ลุกขึ้นยืนตัวสั่นงันงก และกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ฆ้องเงินสวี่มาได้อย่างไร”

สวี่ชีอันจับมืออีกฝ่าย แล้วถามซ้ำ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้าพนักงานเฒ่าก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “เมื่อช่วงบ่าย มีเพื่อนบ้านวิ่งเข้ามาบอกพวกข้า ว่าข้างนอกมีคนตามหาไต้ซือเหิงหย่วนอยู่ แล้วก็ให้รูปเหมือนของท่านมา

“ข้าขอให้ไต้ซือเหิงหย่วนรีบหลบหนีออกไป พอตกค่ำก็มีกลุ่มคนลึกลับบุกเข้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็ก พอจับตัวไต้ซือเหิงหย่วนไม่ได้ ก็ถามพวกข้าเกี่ยวกับท่าน แล้วก็จากไปทันที

“ใครเลยจะรู้ว่าพอตกดึก พวกมันกลับมาอีกครั้ง ต้อนเด็กๆ และคนแก่ไปรวมตัวกันที่หน้าประตู แล้วขู่ว่าหากไต้ซือเหิงหย่วนไม่กลับมา พวกมันจะสังหารพวกข้าทีละคน ทุกๆ หนึ่งเค่อ…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฒ่าหลี่ก็ปล่อยโฮออกมา “เฒ่าจางผู้โชคร้ายถูกพวกนั้นเชือดเข้าที่คอ เขาตายอยากทุกข์ทรมาน ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นไม่หยุด เลือดไหลเจิ่งนองไปทั่ว”

“พอไต้ซือเหิงหย่วนกลับมา พวกมันก็จับตัวท่านไป ไม่รู้ว่าจับตัวไปที่ไหน ไต้ซือเหิงหย่วนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าก็ไม่รู้…”

ใบหน้าของหลี่เมี่ยวเจินซีดเผือด

“เจ้าเห็นลักษณะของคนพวกนั้นชัดเจนหรือไม่” สวี่ชีอันถาม

“พวกมันสวมชุดคลุมและหน้ากากสีดำ มองไม่เห็นใบหน้า” เจ้าพนักงานเฒ่าคร่ำครวญ

สายลับของไหวอ๋อง!

สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินมองหน้ากัน เพราะพวกเขาเดาได้ตั้งแต่แรก จึงไม่รู้สึกแปลกใจ แต่กลับเดือดดาลมากกว่า

หากเหิงหย่วนไม่ปรากฏตัวละก็ ทุกคนในสถานรับเลี้ยงเด็กต้องถูกฆ่าตายจนเกลี้ยงอย่างไม่ต้องสงสัย

“เราทุกคนประเมินความโหดเหี้ยมของสายลับไหวอ๋องต่ำเกินไป” สวี่ชีอันกดเสียงต่ำ

ฝูงสัตว์เลือดเย็น

ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตมนุษย์ก็ไม่ใช่ผักปลาที่นึกอยากจะฆ่าก็ฆ่า ซ้ำร้ายยังเป็นเพียงชายชราตัวคนเดียว

“ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมด”

หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงลอดไรฟันที่ขบแน่น “ท่านอาจารย์ของข้าเคยกล่าวว่า คนที่ไม่เคารพชีวิตของผู้อื่น ชีวิตของมันไม่สมควรถูกเคารพเช่นกัน”

สวี่ชีอันเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปาก “คนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง เอ่อ เด็กน้อยหลังสำนักพวกนั้นล่ะ”

เจ้าพนักงานเฒ่าพยักหน้า “ก็ตกใจกลัวกันนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมากนัก นอนหลับสักตื่นเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”

เด็กพวกนั้นต้องเกิดความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจตามมาอย่างแน่นอน เพียงแค่ไม่มีใครสนใจความรู้สึกของเหล่าผู้ที่ถูกทิ้งขว้าง เปลี่ยวเดียวดายเหล่านี้ก็เท่านั้น

“คืนนี้พวกข้าจะพักที่นี่ เจ้าแก่แล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

สวี่ชีอันส่งเจ้าพนักงานเฒ่ากลับไปที่ห้อง และกลับไปที่โถงฝั่งตะวันออก จงหลีและหลี่เมี่ยวเจินยืนอยู่กลางห้องโถงไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย

สถานการณ์ปัจจุบันเลวร้ายมาก

เหิงหย่วนถูกสายลับของไหวอ๋องจับตัวไป และดูสถานการณ์จะดิ่งลงเหว

สมบัตินิกายปฐพี ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตกไปอยู่ในมือของจักรพรรดิหยวนจิ่ง และจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เข้าพวกกับเต๋ามารนิกายปฐพี…

พวกมันอาจถึงขั้นรีดข้อมูลภายในพรรคฟ้าดินจากปากของเหิงหย่วนออกมาก็เป็นได้ แน่นอนว่าเหิงหย่วนไม่มีทางปริปากสารภาพ แต่นิกายปฐพีย่อมมีวิธีทำให้เขาสารภาพออกมา เช่นฆ่าแล้วเรียกวิญญาณมาสอบถาม เป็นต้น

เมื่อตัวตนของสวี่ชีอันในฐานะผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีถูกเปิดเผย ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็จะตอบโต้กลับมา ผู้แข็งแกร่งลึกลับที่ปรากฏตัวในฉู่โจวแท้จริงแล้วคือสวี่ชีอัน

จักรพรรดิหยวนจิ่งน่าจะเดาออกประมาณแปดในสิบส่วนว่าสิ่งที่ผนึกอยู่ใต้ซังผออยู่ในร่างของสวี่ชีอัน

ทันใดนั้น ความกดดันก็ถาโถมเข้ามา

สวี่ชีอันเช็ดใบหน้า แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เมี่ยวเจิน บอกพวกเขาว่าเหิงหย่วนถูกจับตัวไปแล้ว เป็นตายไม่ทราบได้ ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ตกไปอยุ่ในมือของจักรพรรดิหยวนจิ่งเช่นกัน”

หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา และแจ้งข่าวแก่สมาชิกพรรคฟ้าดิน

หมายเลขสี่ ‘สถานการณ์ดำเนินไปในทางที่ย่ำแย่ที่สุดตามที่คาด’

ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความอย่างทอดถอนใจ

หมายเลขห้า ‘ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง