บทที่ 432 คณะทูตปีศาจ
เพื่อปกปิดตัวตนของตนเอง สวี่ชีอันจึงไม่ได้ขี่แม่ม้าน้อย อย่างไรเสียสาวงามในหมู่ม้าฝีเท้าดีเฉกเช่นแม่ม้าน้อยก็ถูกคนจำได้ง่ายอยู่แล้ว
ฝนเทลงมาปานฟ้ารั่ว เขานั่งรถม้าของจวนสกุลสวี่ ล้อรถหมุนขับเคลื่อนไปยังเขตพระราชฐาน
รถม้าถูกขวางอยู่ที่นอกประตูเขตพระราชฐาน เมื่อพลทหารรักษาเมืองเห็นอักษร ‘สวี่’ เขียนอยู่บนตัวรถก็ไม่กล้าชะล่าใจ จึงเข้าไปตรวจสอบ
กวาดสายตามองเมืองหลวง บ้านสกุลสวี่ที่เข้าเขตพระราชฐานได้มีเพียงหนึ่งเดียว และใครสักคนในบ้านสกุลสวี่นี้สังหารกั๋วกง ล่วงเกินราชสำนัก ราชวงศ์และกลุ่มขุนนางคุณูปการ
จะปล่อยเขาเข้าเขตพระราชฐานไม่ได้เด็ดขาด
สวี่ชีอันเลิกม่านออกและยื่นป้ายขุนนางให้
หลังจากพลทหารตรวจสอบ ยังคงไม่ปล่อยให้ผ่านเข้าไปและแจ้งหัวหน้ากองร้อยหน่วยองครักษ์ราชวัลลภ
หัวหน้ากองร้อยหน่วยองครักษ์ราชวัลลภฝ่าฝนรีบร้อนเข้ามา แล้วรับป้ายขุนนางมาพิจารณา จากนั้นมองชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่ในตัวรถ มองสำรวจใบหน้าเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ย
“วันนี้ใต้เท้าสวี่หยุดพักหรือ”
สวี่ชีอันไม่ได้ใส่ชุดขุนนางของเอ้อร์หลาง ออกมาด้วยชุดลำลอง
สวี่ซินเหนียนคือซู่จี๋ซื่อของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ที่ทำการปกครองของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินอยู่ภายในเขตพระราชฐาน เขามีคุณสมบัติที่จะเข้าเขตพระราชฐาน ทว่าเพราะวันนี้หยุดพัก ดังนั้นหัวหน้ากองร้อยหน่วยองครักษ์ราชวัลลภจึงสอบถามอีกครั้ง
ทหารยามเขตพระราชฐานระแวงระวังตระกูลพวกเรามาก ข้ากล้ายืนยันว่าหากเป็นข้าคนนี้ เกรงว่าต่อให้ฮว๋ายชิ่งหรือหลินอันพามาก็มิอาจเข้าพระราชวังได้ นี่คือผลที่ตามมาของเรื่องที่ด่ากราดที่ประตูอู่และลักพาตัวสองกั๋วกง…เขาดัดเป็นเสียงของสวี่เอ้อร์หลาง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านสมุหราชเลขาธิการ”
เยี่ยมเยียนท่านสมุหราชเลขาธิการ…หัวหน้ากองร้อยหน่วยองครักษ์ราชวัลลภมองสำรวจเขาอีกครั้งและพยักหน้าในท้ายที่สุด “ให้ใต้เท้าสวี่เข้าไป”
รถม้าทะลุผ่านประตูอุโมงค์ของประตูเมือง เคลื่อนตัวสู่เขตพระราชฐานวิ่งไปทางตำหนักของสมุหราชเลขาธิการหวาง
หน่วยองครักษ์ราชวัลลภบนกำแพงเมืองมองตามหลังรถม้าที่ไกลออกไป ทิศทางถูกต้อง
วิ่งไปสักพักสวี่ชีอันก็เอ่ย “ไปทางซ้าย”
คนขับรถม้าเปลี่ยนทิศทางตามคำสั่ง รถม้าขับออกจากเส้นทางเดิม คนขับรถที่ไม่เคยมาเขตพระราชฐานอาศัยทักษะการขับที่ยอดเยี่ยมภายใต้คำบัญชาของสวี่ชีอัน พาสวี่ต้าหลางไปส่งหน้าอารามรัตนะได้สำเร็จ
สวี่ชีอันกางร่มลงรถ หลังจากแจ้งข่าวผ่านนักพรตน้อยที่เฝ้าประตูก็เข้าสู่อารามรัตนะได้อย่างราบรื่นตามคาด
เขาไม่ลืมที่จะให้รถม้าเข้าอารามรัตนะจากประตูข้าง ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ปากประตูกวนให้สะดุดตา
หากจักรพรรดิหยวนจิ่งหัวโบราณนั่นมาบำเพ็ญธรรมพอดีและเห็นรถม้าสถานการณ์คงจะแย่
ทะลุผ่านโถงบูชาและลานเล็กที่อุทิศให้กับปรมาจารย์ของนิกายมนุษย์มายังส่วนลึกของอารามรัตนะ ภายในห้องสงบใจในลานเล็กอันเปล่าเปลี่ยวก็พบกับราชครูหญิงที่งามเลิศที่สุดในปฐพี
นางแสดงท่าทีไม่แยแส ในท่าทางเย็นชาเผยให้เห็นความงามไร้มลทินราวกับเทพธิดาบนสวรรค์
ฮว๋ายชิ่งเป็นสาวงามที่หยิ่งผยองและเยือกเย็น ทว่านิสัยของฮว๋ายชิ่งโอนเอนไปทางผู้ดีและหยิ่งยโส ส่วนความเยือกเย็นของลั่วอวี้เหิงเข้ากับชุดและชาดสีแดงบนหว่างคิ้วของนาง สิ่งที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนก็คือความน่าเลื่อมใสและไอเทพ
บัดนี้เมื่อได้เห็นใบหน้างามล่มเมืองของราชครูอีกครั้ง จิตใจของสวี่ชีอันก็ผันเปลี่ยนเล็กน้อย สิ่งที่คิดคือ นางเป็นหญิงสาวที่ข้าอดย่ำยีไม่ได้ยามอยู่บนเตียง
ความคิดต่อมาก็คือ โชคดีที่ราชครูไม่เข้าเจโตปริยญาณ[1]ของสำนักพุทธ มิเช่นนั้นข้าอาจตายตรงนี้ได้
ลั่วอวี้เหิงนั่งขัดสมาธิที่โต๊ะพร้อมด้วยชาร้อนสองถ้วยวางอยู่บนโต๊ะตั้งแต่แรกแล้ว
สวี่ชีอันเข้าที่นั่งอย่างรู้กัน ประคองชาขึ้นดื่ม ดวงตาเป็นประกายขึ้นในทันใด “ชาดี! ”
แรกรสขมฝาดเล็กน้อย อมไปได้สามวินาที รสหวานก็ตามขึ้นมาทันที เมื่อกลืนลงท้องรสชาติที่หลงเหลือติดอยู่ที่ปากไม่จางหาย
“น่าเสียดาย”
ลั่วอวี้เหิงส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ
“เสียดายอะไร”
สวี่ชีอันเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว
“สหายของข้าเป็นคนปลูกชานี่ หนึ่งปีจะผลิตออกมาเพียง 1 จิน (0.5 กิโลกรัม) แบ่งมาที่ข้าก็แค่สามสี่ตำลึงเท่านั้น น่าเสียดายที่นางหายสาบสูญไปเนิ่นนาน ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด” ลั่วอวี้เหิงกล่าว
ท่านน้า เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดของท่าน
อ้อ ชานี่พระมเหสีเป็นคนปลูก…ข้าค้นพบความมหัศจรรย์ของพระมเหสีอีกแล้ว จากนี้จะขังนางไว้ในห้องมืดเล็กๆ ปลูกชาไม่ได้ก็ไม่ให้กินข้าว…
สวี่ชีอันถอนใจด้วยใบหน้าเรียบเฉย “น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละ”
ลั่วอวี้เหิงเหลือบมองเขาน้อยๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ไร้อารมณ์ “มีเรื่องอะไร”
“ข้าน้อยอยากถามเรื่องเกี่ยวกับผู้นำเต๋านิกายมนุษย์รุ่นก่อนกับจักรพรรดิองค์ก่อน” สวี่ชีอันเอ่ย
“พ่อของข้ากับจักรพรรดิองค์ก่อนรึ”
ลั่วอวี้เหิงถามกลับด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเคยตรวจสอบบันทึกชีวิตความเป็นอยู่ของจักรพรรดิองค์ก่อน แม้พระองค์จะไม่เคยบำเพ็ญธรรม ทว่าก็สนใจในวิถีแห่งชีวิตอมตะอย่างยิ่ง ข้าอยากรู้ว่าเขาได้บำเพ็ญธรรมหรือไม่” สวี่ชีอันเอ่ยปากถามตรงๆ
ลั่วอวี้เหิงลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “พ่อของข้าตายด้วยทัณฑ์สวรรค์”
นี่ มันเกี่ยวอะไรกับคำถามของข้าด้วยงั้นหรือ…
“เดิมทีเขาไม่จำเป็นต้องตาย ทว่าท่านโหราจารย์ไม่อนุญาตให้นิกายมนุษย์ย้ายเข้าเขตพระราชฐาน นี่จึงทำให้พ่อของข้าถูกไฟแห่งกรรมรุมเร้า ตัวตายเต๋าสลายภายใต้ทัณฑ์สวรรค์” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ดังนั้นจักรพรรดิองค์ก่อนจึงไม่ได้บำเพ็ญธรรม”
จักรพรรดิองค์ก่อนไม่ได้บำเพ็ญธรรม…สวี่ชีอันคิ้วขมวด
“เจ้าตรวจสอบหยวนจิ่งแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” นัยน์ตาสวยของลั่วอวี้เหิงจ้องมอง
สวี่ชีอันลังเลอยู่พักหนึ่ง กัดฟันตัดสินใจเอ่ยเสียงขรึม “ราชครู ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ที่ได้รับโชคชะตามิอาจมีชีวิตยืนยาวได้”
ลั่วอวี้เหิงมองเขา กระทั่งตอนนี้สวี่ชีอันถึงรู้สึกว่าราชครูกำลังมองเขาอยู่จริงๆ มองตรงมาที่เขา
“หากจะพูดให้ถูกก็คือผู้มีโชคชะตาเสริมร่างมิอาจมีชีวิตยืนยาวได้” นางพูดแก้
ลั่วอวี้เหิงรู้เรื่องนี้จริงด้วย เช่นนั้นนางก็ไม่แปลกใจว่าเพราะเหตุใดจักรพรรดิหยวนจิ่งจึงคิดเพ้อเจ้อบำเพ็ญธรรม สวี่ชีอันแสดงความสงสัยนี้
“มักจะมีคนโอบกอดความเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง นักพรตบนโลกมีนับไม่ถ้วน คนส่วนใหญ่ต่างเคยเพ้อฝันว่าจะได้กลายเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้นหรือแม้แต่ก้าวข้ามระดับ”
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยอย่างแผ่วเบา “หยวนจิ่งอาจคิดไปเองว่ามองเห็นความหวัง อาจมีเงื่อนงำบางอย่างก็ได้ สำหรับข้าไม่ว่าเขาจะคิดวางแผนอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าก็บำเพ็ญเต๋าของข้า เขาก็บำเพ็ญชีวิตอมตะของเขา”
นางรู้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งอาจจะมีความลับ ทว่าก็ไม่ได้สืบสาวต้นตอ นางบำเพ็ญด้วยโชคชะตาของต้าฟ่ง กับจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน สืบสาวความลับของผู้สมรู้ร่วมคิด มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายตกอยู่ในภาวะชะงักงันถึงขั้นแตกหักได้…สวี่ชีอันขบคิดความหมายที่ราชครูพูดออกมา
สวี่ชีอันลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะไม่สนใจคำถามข้อนี้อีกและเปลี่ยนบทสนทนา “ดาบยันต์ใช้ที่เจี้ยนโจวไปแล้ว แล้ววันหน้าข้าจะติดต่อราชครูได้อย่างไร”
ต้องการสื่อว่า ‘รีบส่งดาบยันต์มาให้ข้าเร็ว’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง