ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 476

บทที่ 476 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (1)

ปีที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนัก เพราะฆ้องเงินจูเฉิงจู้ประจำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพยายามทำให้สาวน้อยแปดเปื้อนอย่างไม่เกรงกลัวความผิด จึงถูกฆ้องทองแดงสวี่ชีอันใช้ดาบฟันจนเกิดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง หลังจากนั้น ฐานการฝึกฝนของเขาก็เสียหายไปกว่าครึ่ง เนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัสครั้งนั้น

สวี่ชีอันจึงถูกเว่ยเยวียนกักขังไว้ที่คุกประจำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตัดสินให้ลงโทษ โดยการตัดเอวออกเป็นสองท่อนในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาพอดีกับที่คดีซังผอปะทุขึ้นมา ฮว๋ายชิ่งจึงแนะนำสวี่ชีอันให้เป็นหัวหน้านายอำเภอกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง ภายใต้คำแนะนำของเว่ยเยวียน จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงอนุญาตให้เขามุ่งมั่นบำเพ็ญประโยชน์เพื่อชดใช้ความผิด

หลังจากสิ้นสุดคดีซังผอ สวี่ชีอันก็พ้นผิดไปอย่างง่ายดาย จูหยาง พ่อของจูเฉิงจู้รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เขาจึงแปรพักตร์ไปพรรคฉี และหักหลังหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

การแก้แค้นครั้งนี้สิ้นสุดลง เพราะบุตรแห่งโชคชะตาสวี่ชีอัน เปิดเผยการวางแผนลับๆ ระหว่างพรรคฉีและสำนักพ่อมดโดยบังเอิญ

หลังจากสิ้นสุดเรื่องนี้ จูหยางก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และโดนขับไล่ออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตามความหมายของเว่ยเยวียนก่อนหน้านี้ จูหยางไม่มีทางมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งฝืนที่จะเก็บเขาไว้ และมอบตำแหน่งงานง่ายๆ ในกรมทหารให้เขาจนถึงปัจจุบัน

หยวนสยงก้าวลงจากเกวียน และเงยหน้าขึ้นไปมองแผ่นป้ายตระกูลจูด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ฝ่าบาทวางหมากได้ลึกซึ้งจริงๆ”

เมื่อมาถึงประตูจวนตระกูลจู หยวนสยงก็กล่าวรายงานสถานะของตนเอง และมองตามยามเฝ้าประตูเดินกลับเข้าไปในจวน

ไม่นาน จูหยางผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ และกลิ่นอายที่แข็งแกร่งก็ออกมาต้อนรับเขาด้วยตนเอง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ “ฝ่ายตรวจการหยวนโตว การมาของท่านนำแสงสว่างมาสู่จวนอันต่ำต้อยของข้า”

หยวนสยงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “รบกวนใต้เท้าจูแล้ว” พลางทอดสายตามองเข้าไปด้านในจวน

จูหยางจึงกล่าวทันทีว่า “รีบเข้ามาเถอะ”

ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรอง จูหยางสั่งให้ทาสรับใช้นำชาที่ดีที่สุดในจวนมาเสิร์ฟให้เขา ขณะนั้น หยวนสยงก็ถามขึ้นมาว่า “สภาพร่างกายของลูกชายท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

เขาเปิดปากพูดเรื่องนี้ทันทีที่มาถึง จูหยางที่ผ่านประสบการณ์โชกโชน ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงส่ายศีรษะอย่างหมดหนทางและตอบว่า “วันนั้นลูกชายข้าถูกเจ้าเด็กตระกูลสวี่ทำร้ายจนสาหัส บาดแผลกระทบถึงหัวใจและปอด หลังจากอาการบาดเจ็บค่อยๆ ดีขึ้น เขาก็ติดอยู่ในบ่วงโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด เส้นทางวิทยายุทธ์จึงถูกตัดขาดไปโดยปริยาย”

ตอนนั้นจูเฉิงจู้อยู่ในขั้นหลอมปราณ ระดับการฝึกฝนไม่นับว่าสูงนัก การที่เขายังมีชีวิตรอดกลับมาก็นับว่ามีโชคแล้ว เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เขาย่อมติดอยู่ในบ่วงโรคเรื้อรังอย่างแน่นอน เพราะยิ่งระดับการฝึกฝนสูงเท่าใด พลังชีวิตก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นจูหยาง อาการบาดเจ็บเช่นนั้นคงดีขึ้นภายในสามวันเท่านั้น

“เขาคงกำเริบเสิบสานได้อีกไม่นานแล้ว”

หยวนสยงไอกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ใต้เท้าจูน่าจะได้ยินเรื่องที่เว่ยเยวียนตายที่แท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมดแล้วกระมัง”

ลำแสงแห่งความสุขและความเกลียดชังปรากฏขึ้นในแววตาของจูหยาง เขากล่าวยิ้มเยาะว่า “ตายได้เสียก็ดี หลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมมีผลตามมาเสมอ”

จูเฉิงจู้เป็นลูกชายที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา เขาเคยคาดหวังว่า ลูกชายคนนี้จะสืบทอดวิชาความสามารถ กลายเป็นฆ้องทองคำคนต่อไป จึงฝึกฝนลูกชายด้วยกำลังทั้งหมดเพื่อสิ่งนี้

จูเฉิงจู้อยู่ในขั้นหลอมปราณตอนอายุยี่สิบสามปี เขากำลังมีอนาคตที่สดใสอย่างมาก แต่ทั้งหมดถูกทำลายด้วยน้ำมือของสวี่ชีอัน

จูหยางคือคนที่เว่ยเยวียนเลื่อนขั้นให้กับมือ เขาได้รับการชื่นชมจากเว่ยเยวียนในสงครามด่านซานไห่ หลังจากนั้นก็เลื่อนขึ้นทีละขั้น จนกระทั่งเข้าสู่ขั้นสี่ และกลายเป็นฆ้องทองคำ ความเมตตากรุณาที่เว่ยเยวียนมีต่อเขาลึกซึ้งดุจภูผา แต่ด้วยเหตุนี้ เขาก็ยิ่งเกลียดเว่ยเยวียนมากขึ้นเช่นกัน

เขาคอยติดตามเว่ยเยวียนด้วยความจงรักภักดีมาตลอดหลายปี เขายังไม่ดีเท่าฆ้องทองแดงคนหนึ่งงั้นหรือ?

ทำให้ตระกูลนักโทษด่างพร้อยแล้วอย่างไร เรื่องเท่าเม็ดถั่วเขียวเท่านั้น แต่หัวใจของเว่ยเยวียนกลับเข้าข้างคนนอก และเพิกเฉยไมตรีจิตที่ผ่านมาตลอดหลายปี

วันนั้นที่ได้ยินว่าเว่ยเยวียนตายในสงครามที่เมืองจิ้งซาน จูหยางก็เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดื่มสุราจนเมามายกับลูกชายจูเฉิงจู้

“กรรมตามสนองเว่ยเยวียนแล้ว และกรรมของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ใกล้จะมาถึงแล้วเช่นกัน”

หยวนสยงเปิดฝาถ้วยน้ำชาออก พลางยกจิบเล็กน้อยและกล่าวว่า “ใต้เท้าจู ถึงเวลาที่ท่านจะพลิกสถานการณ์แล้ว”

จูหยางหรี่ตาลง และมองหยวนสยงด้วยแววตาเป็นประกาย “ฝ่ายตรวจการหยวนโตวกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรรึ?”

หยวนสยงยิ้มตาหยีมองเขา “ฝ่าบาทให้ข้ารับช่วงตำแหน่งของเว่ยเยวียน ควบคุมดูแลที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้าจึงกวาดล้างการทุจริตภายในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ตามสะดวก เป็นที่รู้กันดีว่า เว่ยเยวียนคือผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ในกำมือเขามากว่ายี่สิบปี คนนอกแม้แต่แมลงวันสักตัวก็ยังเข้าไปไม่ได้”

จูหยางพยักหน้าช้าๆ

หยวนสยงกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ถึงแม้ข้าจะกวาดล้างความนิยมของสังคมจนหมดสิ้น แต่นายพลที่ไม่มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ข้าต้องเก็บไว้บางส่วน ตะครุบไว้บางส่วน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากใต้เท้าจูแล้ว”

ในฐานะที่จูหยางตกอยูในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จึงกล่าวอย่างไม่มีทางเลือกว่า “เว่ยเยวียนปลดข้าออกจากตำแหน่ง ขับไล่ข้าออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่นี่คือความคับข้องใจระหว่างข้ากับเว่ยเยวียน ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพี่น้องในที่ทำการปกครอง ใต้เท้าหยวน ท่านทำให้ข้าลำบากใจมาก”

หยวนสยงจิบชาหนึ่งอึก ก่อนจะหัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า “ข้ามาหาใต้เท้าจูครั้งนี้ อันที่จริงยังมีอีกเรื่อง ตอนนั้นพวกท่านสองพ่อลูกถูกเว่ยเยวียนกดขี่ และจำต้องออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตอนนี้เว่ยเยวียนตายแล้ว สิ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ทำให้ได้รับความเป็นธรรมได้ คดีที่ควรกลับคำตัดสิน แน่นอนว่าต้องกลับคำตัดสิน ข้าวางแผนจะทูลขอฝ่าบาท ช่วยให้ท่านเข้ารับตำแหน่งเดิม หวังว่าใต้เท้าจูจะช่วยข้าดูแลจัดการที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้เป็นอย่างดี”

ในที่สุดจูหยางก็ยิ้มออกมา “ใต้เท้าหยวนอยากเก็บคนพวกใดไว้ และอยากตะครุบคนพวกใดรึ?”

หยวนสยงกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่ทุจริต ข้าเชื่อว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน”

ทั้งสองสบตากันด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น

ณ ที่ทำการปกครองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

เสียงฝีเท้าของเหล่าฆ้องทองแดงทยอยเดินกลับมาที่ที่ทำการปกครองเป็นกลุ่มๆ

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาถูกเจ้าพนักงานของที่ทำการปกครองเรียกกลับ โดยไม่รู้เหตุผลที่มาที่ไป เจ้าพนักงานกล่าวเพียงว่า ฆ้องทองคำจ้าวเรียกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ด้านนอกทั้งหมดกลับไปที่ทำการปกครอง

“ฆ้องทองคำจ้าวเรียกพวกเรากลับมาด้วยเหตุอันใดรึ?”

“อาจจะเป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องเป็นเรื่องด่วนแน่ๆ”

“ช่างเป็นปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ”

เหล่าฆ้องทองแดงสนทนากันเสียงเบา และไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้

การตายของเว่ยเยวียน เป็นการสู้รบที่ไม่อาจยอมรับได้สำหรับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ราวกับพวกเขาได้สูญเสียกระดูกสันหลังไปในชั่วข้ามคืน

ด้วยเหตุนี้ บรรยากาศในที่ทำการปกครองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจึงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและคุกรุ่นอย่างยิ่ง

ผู้ชายคนนั้น แม้ว่าปกติเขาจะไม่ออกมาจากหอเฮ่าชี่ แต่ตราบใดที่เขายังอยู่ ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็จะไม่มีวันถล่มลงมา

ในตอนนี้ ซ่งถิงเฟิงที่ฝึกอยู่ในขั้นหลอมวิญญาณแล้วยกชาขึ้นมาจิบ พลางนึกถึงวันที่หนิงเยี่ยนยังอยู่ขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

ตอนนั้น เขา จูกว่างเสี้ยว และสวี่หนิงเยี่ยน ทั้งสามตระเวนไปตามท้องถนน (ซื้อของ) และฉวยโอกาสเวลาพักกลางวันหนึ่งชั่วยามไปฟังเพลงที่หอคณิกา เวลานั้นถึงแม้กระเป๋าเงินจะว่างเปล่า คนก็เฉื่อยชาและกระสับกระส่าย แต่กลับมีความสุขจริงๆ

ว่าตามคำพูดของสวี่หนิงเยี่ยน หากตอนยังหนุ่มยังแน่นไม่เจ้าชู้ก็ไร้ประโยชน์ พอแก่ตัวแล้วน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าด้วยความเสียดาย เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้เป็นทหารที่หยาบคาย กลับสามารถพูดคำไม่กี่คำที่คนอื่นไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่รู้สึกว่าเป็นคำพูดที่ยอดเยี่ยมมาก

‘จะยอมหรือไม่’ ที่เขาพูดครั้งก่อน จนถึงตอนนี้ซ่งถิงเฟิงก็ยังไม่ได้คิดทบทวนอย่างละเอียด เขาไปที่หอคณิกาเพื่อช่วยหญิงสาวผู้น่าสงสารจากครอบครัวยากจน และถามพวกนางว่า “จะยอมหรือไม่?”

เหล่าแม่นางมักจะกล่าวว่า “ได้สิ ได้สิ”

แต่เมื่อเขาสวมกางเกงและไม่ให้เงิน เหล่าแม่นางก็จะกลับคำว่าไม่ได้แล้ว

ฆ้องเงินสวี่อาศัยคำพูดไม่กี่พยางค์นี้ในการซื้อตัวแม่นางฝูเซียงมากว่าครึ่งปีได้อย่างไร เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาจนถึงทุกวันนี้

ตอนนี้ แม้แต่แม่นางฝูเซียงก็ยังป่วยตายไปแล้ว เพียงช่วงเวลาสั้นๆ สรรพสิ่งยังคงเหมือนเดิม แต่คนได้เปลี่ยนไปแล้ว

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอาจจะยังกลับมาไม่ครบทั้งหมด ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวนั่งอยู่ในห้องชุนเฟิงมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วก้านธูปแล้ว

ตอนนี้ซ่งถิงเฟิงอยู่ในขั้นหลอมวิญญาณ พูดได้ว่าเขาคือชายหนุ่มผู้โดดเด่นที่หาได้ยากในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ถึงแม้จะไม่น่าอัศจรรย์เท่าสวี่ชีอัน แต่ตอนที่เว่ยเยวียนยังอยู่ ที่ทำการปกครองวางแผนที่จะปลูกฝังและฝึกฝนซ่งถิงเฟิง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า

ไม่ว่าใครในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นและปราศจากความชั่วร้าย เว่ยเยวียนล้วนทุ่มเทแรงกายแรงใจในการบ่มเพาะ นี่คือหลักการที่เขายึดถือมาโดยตลอด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง