สรุปตอน บทที่ 476-2 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (2) – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet
ตอน บทที่ 476-2 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (2) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 476 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (2)
ฆ้องทองคำจ้าวเกรงว่าจูหยางจะชิงลงมือก่อนอีกครั้ง จึงรีบคว้าจางต้งเหลียงไว้ และยกกำปั้นขึ้นมากล่าวว่า “ใต้เท้า เจ้าบ้านี่ไม่ได้มีเจตนาจาบจ้วง ได้โปรดออมมือด้วย”
จางต้งเหลียงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เส้นเลือดสีเขียวที่คอปูดโปนออกมา เขาคำรามเสียงต่ำอยู่ในลำคอว่า “ข้าไม่ยอมรับ ฆ้องทองคำจ้าว ไม่ต้องช่วยเขา หากเว่ยกงยังอยู่ เขาหยวนสยงจะกล้าย่างกรายเข้ามาในที่ทำการปกครองหรือไม่? ฆ้องทองคำคนอื่นๆ ยังอยู่ แต่จูหยางเพิ่งกลับมา? ข้าเพียงแค่นึกเสียใจที่วันนั้นไม่ได้ติดตามหัวหน้าของข้าไปออกรบด้วยกัน คงโชคดีกว่าถ้าเขาสามารถตามเว่ยกงไปออกรบ และตายที่เมืองจิ้งซาน ดีกว่าตายด้วยน้ำมือคนของตนเอง”
หยวนสยงกล่าวเสียงเบาว่า “ใต้เท้าจู หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ จะอยู่หรือจะตาย ล้วนต้องให้ฝ่าบาทตัดสิน”
จูหยางพยักหน้า และกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เขาไหลเวียนพลังปราณในร่างกาย พลางดึงจางต้งเหลียงขึ้นมาและชกไปที่หน้าอกของฆ้องเงินท่านนี้อย่างรวดเร็ว
‘ตุบ!’ เสื้อผ้าด้านหลังของจางต้งเหลียงฉีกออกในทันใด
ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก
จางต้งเหลียงค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นด้วยลมหายใจรวยริน
ผู้บังคับบัญชาไฟแรงที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ จุดไฟกองแรกลงบนร่างของบุคคลที่น่าสงสารนี้
‘ชิ้ง!’
เสียงตวัดดาบดังลอยมา ฆ้องเงินต่างชักดาบออกมามากขึ้น
‘ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!’
ทหารรักษาวังที่อยู่รอบๆ ก็ทยอยชักดาบขึ้นมาเช่นกัน เพื่อเตรียมตัวปราบปรามหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกเมื่อ
จูหยางหรี่ตาลง พลางก้าวขึ้นไปด้านหน้า ใช้ศักดิ์ศรีของการเป็นทหารขั้นสี่สยบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมด
“หยุดให้หมด!”
ฆ้องทองคำจ้าวตะโกนว่า “พวกเจ้าคิดจะกบฏรึ ไม่อยากมีชีวิตแล้วรึ?”
“ฆ้องทองคำจ้าว”
“หัวหน้า…”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างก็ตอบสนองด้วยความรุนแรงอย่างมาก
“หรือว่าท่านมองไม่ออกรึ เขากำลังกวาดล้างพวกเรา ไม่ว่าพวกเราจะมีความผิดหรือไม่ ก็ล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี”
“ฆ้องทองคำจ้าว เว่ยกงไม่อยู่แล้ว ในที่ทำการปกครองมีเพียงท่านที่สามารถตัดสินใจให้เหล่าพี่น้องได้ ท่านจะเป็นสุนัขของหยวนสยงไม่ได้”
“หัวหน้า ท่านทนเห็นเหล่าพี่น้องถูกใส่ความได้รึ?”
อย่างน้อยพวกเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่…
เส้นเลือดสีน้ำเงินปูดโปนอยู่บนหน้าผากของฆ้องทองคำจ้าว เขากล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “เก็บ-ดาบ-ลง-ไป”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรู้สึกหวั่นใจมาก มีทั้งความโกรธแค้น ความไม่พอใจ ความโศกเศร้า ยังไม่ยอมเก็บดาบลงแต่อย่างใด
หยวนสยงเห็นเช่นนั้น ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ครอบครัวของทุกท่านล้วนอยู่ในเมืองหลวงกระมัง”
ฆ่าคนแทงใจดำ!
เงื่อนไขในการรับเลือกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคือ บรรพบุรุษมากกว่าสามชั่วอายุคนต้องเป็นคนเมืองหลวง และมีภูมิหลังตระกูลที่ขาวสะอาด
ทำไมน่ะหรือ? ก็เพื่อป้องกันทหารเหล่านี้ใช้กำลังฝ่าฝืนกฎอย่างไรเล่า
เว่ยกงตายในสนามรบ หากฆ้องทองคำที่เหลือไม่ตายในสนามรบก็ยังไม่กลับมา พวกเขาพร้อมใจที่จะต่อต้าน แต่ไม่มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
“ถ้าสวี่หนิงเยี่ยนยังอยู่…” มีคนกล่าวพึมพำเสียงเบา
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมดตกอยู่ในความฟุ้งซ่านชั่วขณะ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสหายร่วมงานที่ใช้ดาบฟันป้ายคาดเอว สิ้นสุดสถานะการเป็นคนของทางการนับจากนั้น
ใช่แล้ว หากสวี่หนิงเยี่ยนยังอยู่ ด้วยความเมตตาของเว่ยกงที่มีต่อเขา และอุปนิสัยอันแข็งแกร่งที่ประจักษ์แจ้งในแววตาของเขา จูหยางและหยวนสยงยังจะกล้าหยิ่งผยองเช่นนี้หรือไม่?
หยวนสยงและคนอื่นๆ ก็ได้ยินเช่นกัน แต่กลับไม่ตอบสนอง และรู้สึกรังเกียจที่จะตอบสนอง
การแสดงออกของจูเฉิงจู้บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
สวี่ชีอัน ฆ้องทองแดงที่ถ่อมตนในตอนแรกเริ่ม คือหัวโจกในการทำลายอนาคตของเขา
เขาเกลียดชังบุคคลนี้อย่างสุดซึ้ง ช่วงเวลาเพียงหนึ่งปีสั้นๆ สรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว ฆ้องทองแดงผู้ถ่อมตนคนนั้นได้กลายมาเป็นใต้เท้าใหญ่ที่เขาเทียบไม่ติด
แม้ว่าสวี่ชีอันจะล่วงเกินฝ่าบาท ทว่านั่นกลับไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถแทรกแซงหรือตอบโต้ได้
ด้วยเหตุนี้ เปลวไฟแห่งความพยาบาทจึงลุกโชนอยู่ในใจของเขา โดยที่เขาไม่สามารถหาทางออกได้ มันเผาจิตวิญญาณวันแล้ววันเล่า ทำให้จิตใจของเขาบิดเบี้ยว…
“หลี่อวี้ชุน!”
“ฉู่หงเหอ!”
“หมิ่นซาน!”
“ถางโย่วเต๋อ!”
“…”
ฆ้องเงินถูกเอ่ยชื่อออกมาทีละคน พวกเขาถูกปลดอาวุธ ถูกทหารรักษาวังบิดแขนไปด้านหลังและมัดมือทั้งสองข้าง ในชั่วพริบตาเดียว ฆ้องเงินที่อยู่ที่นี่ก็หายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
ฆ้องเงินเหล่านั้น บ้างก็ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก บ้างก็ยิ้มด้วยความเย็นชา บ้างก็ถ่มน้ำลาย แต่กลับไม่มีความเกรงกลัว หรือความคิดที่จะร้องขอความเมตตาแต่อย่างใด
ไม่มีฆ้องทองแดงในรายชื่อเหล่านั้น ในฐานะที่เป็นระดับล่างสุดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล โดยทั่วไปแล้ว ฆ้องทองแดงไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนอยู่ในกองทัพ
แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าหยวนสยงจะไม่จัดการกับพวกเขา
รองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาผู้มีจิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิมท่านนี้กล่าวเสียงดังว่า “ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีตำแหน่งว่างจำนวนมาก ข้ารับช่วงต่อในที่ทำการปกครองในช่วงเวลาวิกฤตนี้ กำลังขาดผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่พอดี จึงจำเป็นต้องเลื่อนขั้นให้ทหารที่ซื่อสัตย์ ก่อนรุ่งสางวันพรุ่งนี้ ตราบใดที่มีใครคนใดในหมู่พวกเจ้าเขียนจดหมายรายงานการทุจริตและติดสินบน การขู่กรรโชกประชาชนของสหายร่วมงาน ข้าจะเลื่อนขั้นให้”
ช่างเป็นแรงจูงใจที่อุบาทว์สิ้นดี
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ที่นี่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และไม่ตอบสนองใดๆ เช่นกัน
แต่หยวนสยงกลับรู้ว่ามีเมล็ดพันธุ์แห่งความอิจฉาริษยา และความทะเยอทะยานที่ถูกปลูกฝังในคนกลุ่มนี้แล้ว
สำหรับฆ้องทองแดงเหล่านี้ การเลื่อนขั้นเป็นเรื่องยากลำบากมาก ไม่เพียงแต่ต้องมีการฝึกฝนที่สอดคล้องกัน ยังต้องมีผลงานที่มากพอด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงมีฆ้องทองแดงบางส่วนที่อยู่ในขั้นหลอมวิญญาณมานาน แต่ได้รับการเลื่อนขั้นล่าช้าอย่างยิ่ง ขอเพียงมีความทะเยอทะยาน และแรงจูงใจเท่านั้น ใครบ้างจะไม่อยากเลื่อนขั้น?
ตอนนี้ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเกิดความโกลาหล นี่ยิ่งเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มีความทะเยอทะยาน และกระตือรือร้นในการเลื่อนขั้น
หยวนสยงไม่มองเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่น่าผิดหวังอีกต่อไป เขาหันไปมองจูหยางและฆ้องทองคำจ้าว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฆ้องทองคำทั้งสอง ตามข้าไปที่หอเฮ่าชี่”
เขามีความปรารถนาอันบ้าคลั่งที่จะเข้าไปที่นั่น แทนที่ตำแหน่งของเว่ยเยวียน
ฆ้องทองคำจ้าวพยักหน้า และกวาดสายตามองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคน ก่อนจะกล่าวว่า “แยกย้ายกันได้”
จูกว่างเสี้ยวได้ยินเสียงซ่งถิงเฟิงกล่าวพึมพำที่ข้างหูว่า “ก้มหน้า รีบก้มหน้าเร็วเข้า ไปจากที่นี่กัน…”
จูกว่างเสี้ยวที่กำลังหดหู่ตกตะลึงเล็กน้อย และตามเหล่าสหายร่วมงานไปด้านนอกสนามประลองตามสัญชาตญาณ
แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงลอยมาว่า “หยุดก่อน!”
ทุกคนทยอยหยุดฝีเท้าลง พลางหันไปมองด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
คนที่ตะโกนให้หยุดคือจูเฉิงจู้ ฆ้องเงินในตอนนั้น หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ที่นี่แทบจะรู้จักเขาทั้งหมด
จูเฉิงจู้ไม่สนใจคนอื่นๆ ชี้ไปที่ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “เจ้าทั้งสองคนก้าวออกมา”
เขาไม่สนใจคนขี้แพ้เช่นนี้อีก และสาวเท้าไปตามทางที่ท่านพ่อเดินไป
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนบริเวณสนามประลองก็หายไปทั้งหมด เหลือเพียงจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิง
“ไอ้สารเลว อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น!”
ซ่งถิงเฟิงสบถ ‘เฟ้ย’ ก่อนจะหันไปมองจูกว่างเสี้ยว พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่แยแสว่า “ไอ้หมอนี่ อยู่กับสวี่หนิงเยี่ยนมาตั้งนาน แต่กลับไม่รู้จักเรียนรู้จากเขาสักนิด ตรงกันข้าม อารมณ์โมโหร้ายกลับทวีความรุนแรงขึ้น เจ้าจะแต่งงานสิ้นปีนี้แล้ว ถูกขังคุกในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ไม่ตายก็ต้องถูกลอกหนัง สุดท้ายก็ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถึงเวลานั้นจะรับแม่นางตระกูลไหนเข้ามาได้? ชั่วชีวิตนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พบหญิงงามที่อยากแต่งงานด้วย และนางยังเต็มใจที่จะแต่งเข้ามาเป็นผู้หญิงของเจ้า สวี่หนิงเยี่ยนจอมเจ้าเล่ห์นั่น วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ที่สำนักสังคีต ก็ยังไม่พบกับแม่นางเช่นนี้ไม่ใช่รึ”
จูกว่างเสี้ยวถึงกับน้ำตาไหล
ซ่งถิงเฟิงมุ่ยปาก และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จะอายอะไรกัน ข้าไม่คิดมากอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ลอดใต้หว่างขา ให้เรียกคนอื่นว่าพ่อ ข้าก็ไม่ติด เจ้าเห็นการแสดงออก ‘นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำได้’ บนใบหน้าของข้าหรือไม่ หากเป็นเจ้า คงไม่มีหน้าจะใช้ชีวิตต่อไปแล้วกระมัง”
เขาโบกมือและกล่าวว่า “เจ้าไปเถอะ ข้าจะนั่งอยู่คนเดียว”
จูกว่างเสี้ยวส่งเสียงฟึดฟัดออกมาจากจมูก ก่อนจะตอบรับว่า “อืม” และหมุนตัวเดินออกไป
ไม่มีคนอื่นอยู่ที่สนามประลองแล้ว ซ่งถิงเฟิงยกมือขึ้นมาปิดหน้า ไหล่หนาทั้งสองข้างสั่นระริก เสียงร้องไห้ที่ถูกกลั้นไว้เล็ดลอดออกมาจากหว่างนิ้วของเขา
ช่างน่าอัปยศอดสู!
…
วันถัดมา การประชุมตอนเช้า
หยวนสยงยื่นจดหมายกล่าวโทษเว่ยเยวียน ในข้อหาทำผิดร้ายแรง ซึ่งรวมถึงการสมรู้ร่วมคิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาในการทุจริต และรีดไถประชาชน ละโมบในความก้าวหน้า เป็นผลให้ทหารแปดหมื่นนายตายในแผ่นดินศัตรู
ในการประชุมตอนเช้า จักรพรรดิหยวนจิ่งประณามเว่ยเยวียนด้วยความโกรธแค้น ตำหนิว่าเขาทำลายชาติบ้านเมืองต่อหน้าขุนนางชั้นสูง และเหล่าขุนนางที่อยู่นอกพระราชวัง
เรื่องนี้สั่นสะเทือนไปทั่วฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎร
…
ที่ห้องหนังสือ ณ จวนเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหง
หลิวหงทุบแจกันลายครามด้วยความโกรธ เจ้าหน้าที่ทางการระดับสามท่านนี้สาปแช่งด้วยความแค้น และคำรามเสียงดังสนั่น “ไอ้คนถ่อยไร้ยางอาย! ข้ากับหยวนสยงไม่สามารถประนีประนอมกันได้แล้ว!”
ฝ่ายตรวจการจางสิงอิง เจ้ากรมทหาร และอดีตแกนนำพรรคเว่ยจำนวนหนึ่ง นั่งอยู่ในห้องหนังสืออันกว้างขวาง ทุกคนล้วนไม่สามารถทำตามแผนใดๆ ได้
ในท้องพระโรง ไม่มีใครสามารถต่อกรกับจักรพรรดิที่มีกำลังวังชา และมีอำนาจอยู่ในมืออย่างเต็มที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักรพรรดิองค์นี้ที่มีสุนัขล่าเนื้อ ที่เต็มใจบุกตะลุยโจมตีข้าศึกจำนวนมากอยู่ใต้บังคับบัญชา
“เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เกรงว่าจะฟื้นฟูสถานการณ์โดยรวมกลับมาได้ยาก” สมาชิกแกนนำท่านหนึ่งกล่าวด้วยความทอดถอนใจ
จางสิงอิงกล่าวด้วยความเศร้าใจว่า “เว่ยกงต่อสู้ในท้องพระโรงอย่างสุขุมรอบคอบมายี่สิบปี บอกว่าเขาใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน รีดไถเงินโดยมิชอบ แต่มีคนรู้ว่าเขาอยู่ที่หอเฮ่าชี่มายี่สิบปีแล้ว เมืองหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยทัศนียภาพอันงดงาม แต่กลับไม่มีที่ใดที่เป็นบ้านของเขา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามักจะหารือเกี่ยวกับข้อตกลงใหม่กับข้า พยายามปฏิรูปใหม่ และกอบกู้ราชสำนักของชาติที่กำลังถดถอย เขาไม่มีบุตร อยู่ตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร และมอบจิตวิญญาณทั้งหมดให้กับราชสำนัก หากไม่มีเว่ยกง ยี่สิบปีมานี้ ฝ่าบาทจะบำเพ็ญธรรมได้อย่างมั่นคงปลอดภัยเช่นนี้รึ? เหตุใดฝ่าบาทไม่แม้แต่จะประทานชื่อหลังมรณกรรมให้แก่เขา?”
บรรยากาศที่หนักอึ้งและเศร้าสลดกระจายไปทั่วห้องหนังสือ
เจ้ากรมทหารสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเราต้องพิจารณาในตอนนี้คือปกป้องตนเอง เมื่อเรื่องของเว่ยกงสิ้นสุดลง ก็น่าจะถึงเวลาที่พวกเราสมาชิกพรรคเว่ยถูกกวาดล้าง เฮ้อ ฉินหยวนเต้าเริ่มจ้องตำแหน่งของข้าอีกแล้ว”
“สำหรับคดีของเว่ยกง ตราบใดที่พวกเราไม่ล้ม ตราบใดที่มีคนอยู่รอดในหมู่พวกเรา ในอนาคตก็ย่อมมีโอกาสกลับคำพิพากษาได้”
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวเพียงชั่วคราวไม่สามารถอธิบายอะไรได้ ดังคำโบราณที่ว่า เมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ ขุนนางของราชวงศ์เก่า ก็จะถูกแทนที่โดยขุนนางของราชวงศ์ใหม่
ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงราชวงศ์หยวนจิ่งได้ งั้นก็รอจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ มีตัวอย่างที่ลูกชายตบหน้าพ่ออยู่ทุกที่ในประวัติศาสตร์ คดีถูกใส่ร้ายมากมายที่ถูกตัดสินผิดพลาด ล้วนถูกชะล้างหลังจากผ่านไปสิบปี
หลิวหงถอนหายใจ และกล่าวทันทีว่า “เพียงแต่การขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทในอนาคต อาจจะไม่สามารถกลับคำพิพากษาในคดีของเว่ยกงได้”
“จริงสิ สวี่ชีอันล่ะ?” จู่ๆ เจ้ากรมทหารก็ถามขึ้นมา
จางสิงอิงเม้มริมฝีปาก และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าส่งคนไปดู ประตูจวนตระกูลสวี่ปิดสนิท ไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงอาคารบ้านเรือนที่ว่างเปล่า หนิงเยี่ยน เขาน่าจะไปจากเมืองหลวงแล้ว”
หลิวหงฝืนยิ้ม “ไปได้ก็ดีแล้ว หากเขาไม่ไป ก็ไม่มีใครปกป้องเขาได้ พวกเราก็ปกป้องเขาไม่ได้ เฮ้อ เขาคงผิดหวังกับราชสำนักอย่างมาก”
………………………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...