ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 476

สรุปบท บทที่ 476-3 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (3): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 476-3 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (3) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 476-3 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (3) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 476 สวี่ชีอันฟื้นคืนสติ (3)

วันนี้ ในที่สุดข่าวการละโมบและบุ่มบ่ามของเว่ยเยวียน จนทำให้ทหารแปดหมื่นนายต้องสละชีพในแผ่นดินศัตรูก็กระจายสู่หูประชาชน

ประชาชนต่างตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างรุนแรง

“ใครๆ ก็บอกว่าอย่าสนับสนุนเผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจกินประชาชนของต้าฟ่ง และยังคุกคามชายแดน ทำไมต้องสนับสนุนเผ่าปีศาจ เรื่องนี้คงทำให้บรรพบุรุษโกรธมาก ถึงได้ลงโทษเช่นนี้กระมัง ตอนนี้เป็นอย่างไร ทหารแปดหมื่นนายเสียชีวิตทั้งหมด ในช่วงยี่สิบปีมานี้ ต้าฟ่งของพวกเราไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อน”

“ถ้าถามข้า เว่ยเยวียนสมควรตายแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขาละโมบและบุ่มบ่าม มิเช่นนั้นจะรบแพ้ได้อย่างไร?”

“ไอ้หัวขโมยที่สวรรค์สาปแช่ง หัวหน้าขันที เป็นพวกเด็กเล่นขายของหรอกรึ จักรพรรดิทรงหลงเชื่อคนชั่วเข้าแล้ว”

“ไอ้สารเลว เว่ยกงเป็นคนที่พวกเจ้าสามารถสบประมาทได้ตามใจชอบงั้นรึ? หากยี่สิบปีก่อนไม่มีขันทีท่านนี้ พวกเจ้าจะมีวันที่สงบสุขอย่างตอนนี้งั้นรึ?” มีคนชรายืนขึ้นแสดงความไม่พอใจ

“ตาแก่ เจ้าไม่ได้ยินรึ เว่ยเยวียนคือขุนนางที่ทุจริตร้ายแรง”

“ฮึ่ย ใครบอก?”

“ราชสำนักบอก”

“ราชสำนักยังบอกอีกว่า ไหวอ๋องคือวีรบุรุษ และผู้ที่สังหารหมู่เมืองฉู่โจวก็คือเผ่าปีศาจ แล้วบทสรุปเล่า? ข้าไม่เชื่อราชสำนักนานแล้ว สู้เชื่อฆ้องเงินสวี่ไม่ดีกว่ารึ”

เสียงหัวเราะดังรอบด้าน

หลังจากผ่านเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ฉู่โจว ประชาชนในเมืองหลวง แม้แต่ประชาชนทั้งเก้ารัฐของต้าฟ่ง ก็เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นกับราชสำนักอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

“ฆ้องเงินสวี่ก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ใช่รึ”

ณ พระราชวัง

ขันทีชราย่างกรายเข้าไปด้านใน และหยุดยืนที่ข้างเตียง ก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวกระซิบว่า “ฝ่าบาท ท่านสมุหราชเลขาธิการขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งที่กำลังหลับตาทำสมาธิ ตอบกลับอย่างสงบว่า “ข้าไม่ให้พบ!”

ขันทีชรากล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านสมุหราชเลขาธิการคุกเข่าอยู่ข้างนอก บอกว่าถ้าฝ่าบาทไม่ให้เขาเข้าเฝ้า เขาจะไม่ไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งยิ้มเยาะ และไม่ได้ตอบโต้อะไร

ขันทีชราไม่กล้าเกลี้ยกล่อม จึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบ

เวลาผ่านจากวินาที เป็นนาที จนกลายเป็นหนึ่งชั่วยามในพริบตาเดียว ขันทีชราชำเลืองมองจักรพรรดิหยวนจิ่งที่กำลังนั่งสมาธิ ก่อนจะเดินย่องออกไปจากห้องบรรทม

เมื่อเขาไปแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ลืมตา และลุกขึ้นยืนอยู่กลางห้องบรรทม จากนั้นก็หมอบลง พลางแตะฝ่ามือไว้บนพื้น

ไม่กี่วินาทีต่อมา จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของมังกรดังแว่วอยู่ที่ข้างหู

“ยังไม่พอ ยังไม่พอ!”

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้พูด แต่กลับมีเสียงดังออกมาจากภายในร่างกายของเขา

“รอคำแถลงพ่ายแพ้ต่อสำนักพ่อมดในวันพรุ่งนี้ ก็เพียงพอแล้ว” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสด้วยรอยยิ้ม

อีกด้านหนึ่ง ขันทีชราออกมาจากห้องบรรทม เห็นร่างในชุดสีแดงเลือดนกกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ใต้บันไดสูง

“ท่านสมุหราชเลขาธิการ ท่านทำเช่นนี้ทำไมหรือ? จะว่าไปแล้ว สีหน้าของท่านและฝ่าบาทดูไม่สู้ดีนัก”

ขันทีชราโค้งตัวลง และกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดีว่า “กลับไปเถอะขอรับ ทาสปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทมาครึ่งชีวิต ทาสย่อมรู้จักนิสัยใจคอของฝ่าบาทเป็นอย่างดี ต่อให้ท่านนั่งคุกเข่าจนตายอยู่ตรงนี้ ก็สั่นคลอนการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทมิได้ขอรับ”

สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการหวางเริ่มซีดขาว เปลือกตาของเขาปิดลงครึ่งหนึ่ง ราวกับเป็นลมได้ทุกเมื่อ สามารถคุกเข่าได้ถึงหนึ่งชั่วยามในวัยนี้ พูดได้ว่าเขามีจิตตานุภาพที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจกงกงมากที่เตือน”

แสงในดวงตาของสมุหราชเลขาธิการหวางค่อยๆ หรี่ลง เขาพยายามขยับร่างกายเพื่อลุกขึ้น แต่กลับเซล้มลงไปด้านข้าง

“ไอหยา ท่านระวังด้วยขอรับ สุขภาพร่างกายของท่านสมุหราชเลขาธิการมีความสำคัญมาก หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ใครจะมาช่วยแบ่งเบาความทุกข์กับฝ่าบาทเล่าขอรับ”

ขันทีชรารีบประคองเขาขึ้นมาทันที

หวางเจินเหวินถอนหายใจ ก่อนจะปัดฝุ่นบนร่างกายและจัดระเบียบเสื้อผ้า จากนั้นก็หันไปโค้งคำนับทางห้องทรงพระอักษรด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง แต่หลังจากนั้น เขาก็ได้ทำบางอย่างที่ขันทีชราถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

หวางเจินเหวินถอดหมวกขุนนางออก และวางลงบนขั้นบันไดอย่างเบามือ

ตอนที่ลุกขึ้นยืน แววตาของเขาสว่างวาบ

หวางเจินเหวินลุกขึ้น และเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่อาลัยอาวรณ์อีกต่อไป

การไม่มียศถาบรรดาศักดิ์อะไร ก็รู้สึกเบาสบายตัวไม่น้อย

หอดูดาว

รถม้าสองคันแล่นเข้ามาอย่างช้าๆ ทั้งหมดทำจากไม้จันทน์สีแดง ประดับตกแต่งขอบด้วยหยกและแพรต่วนสีทองอร่าม

รถม้าหยุดลงที่ลานกว้างด้านนอกหอดูดาว ทหารรักษาพระองค์ที่คุมบังเหียนม้าพันธุ์ดีทั้งสองตัวหยุดลงพร้อมกับรถม้า

ประตูรถม้าเปิดออก หญิงท่านหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากรถม้าแต่ละคัน หญิงงามที่สวมชุดกระโปรงสีราบเรียบ ดูมีเสน่ห์และสูงส่งราวกับดอกบัวหิมะบนภูเขาน้ำแข็ง หญิงงามที่สวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิง สวมมงกุฎหงส์ไฟขนาดเล็ก และเครื่องประดับราคาแพงอย่างปิ่นหยกและไข่มุก ราวกับนกคีรีบูนที่สูงศักดิ์ตัวหนึ่ง

ความงามและเสน่ห์ของนางควบคุมเครื่องประดับหรูหราเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าหญิงที่มีความงามตามธรรมชาติแบบนาง คู่ควรกับการแต่งกายที่งดงามหรูหราอย่างยิ่ง

องค์หญิงทั้งสองเข้าไปในหอดูดาว โดยทิ้งทหารรักษาพระองค์ไว้ด้านนอก

“ฮว๋ายชิ่ง เจ้ามาแล้ว!”

ฉู่ไฉ่เวยรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง เพื่อต้อนรับสหายคนสนิทด้วยความยินดี

ยายตัวร้ายยกชายกระโปรงขึ้น และวิ่ง ‘ตึง ตึง ตึง’ ขึ้นไปบนตึก โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของการเป็นองค์หญิงแม้แต่น้อย แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็เพิ่งตระหนักได้ จึงหันกลับมาถามว่า “เขาอยู่ชั้นใด?”

“ชั้นเจ็ด!”

ฉู่ไฉ่เวยตอบกลับ และหยิบเนื้อแดดเดียวออกมาจากกระเป๋าหนังกวางขนาดเล็ก พลางพูดกับฮว๋ายชิ่งด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “กินไหม?”

ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า

ยายตัวร้ายกระทืบเท้ากล่าวว่า “ยังไม่นำทางไปอีก!”

ฉู่ไฉ่เวยนำทางองค์หญิงทั้งสองมาจนถึงชั้นเจ็ด เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็ได้กลิ่นของยาตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ดวงตากลมของยายตัวร้ายจับจ้องไปที่ชายที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงอย่างทันทีทันใด รูม่านตาดอกท้อถูกบดบังไปด้วยชั้นหมอกบางๆ ชั่วขณะ

“ทำ ทำไมเขายังไม่ฟื้นอีก เขายังอยู่ในอันตรายหรือไม่…” ยายตัวร้ายกล่าวตะกุกตะกัก

เขากินยาลูกกลอนจำนวนหนึ่ง ภายใต้การแนะนำของฉู่ไฉ่เวย ความรู้สึกอุ่นกระจายไปทั่วช่องท้อง พลังปราณที่ถูกปิดกั้นเริ่มไหลเวียนอีกครั้ง สีหน้าก็ดูมีสีสันขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกหิวโหยก็ยังสลายไปอีกด้วย

เขาดื่มน้ำอุ่นที่ยายตัวร้ายส่งมาให้ และลุกขึ้นนั่งบนเตียงภายใต้ ‘การปรนนิบัติ’ ของนาง โดยมีหมอนหนุนหลังอยู่ที่หัวเตียง “เมื่อครู่ข้าได้ยินองค์หญิงหลินอันตรัสถึงเว่ยกง…”

หลินอันหันไปมองฮว๋ายชิ่งอย่างทันทีทันใดด้วยท่าทางลังเล

ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทไม่ยอมประทานชื่อหลังมรณกรรมให้แก่เว่ยกง แม้จะมี ก็อาจจะเป็นชื่อมรณกรรมที่เสื่อมเสีย”

ยายตัวร้ายที่หัวใจแขวนอยู่ที่สวี่ชีอันในขณะนี้ ไม่ทันสังเกตว่าคำที่ฮว๋ายชิ่งใช้เรียกเสด็จพ่อคือคำว่า ‘ฝ่าบาท’

ชื่อมรณกรรมที่เสื่อมเสีย คือชื่อมรณกรรมที่มีความหมายไม่ดี สำหรับข้าราชบริพารในยุคสมัยนี้ ชื่อมรณกรรมคือบทสรุปสุดท้ายของความสำเร็จที่สั่งสมมาทั้งชีวิต

ชื่อมรณกรรมที่เสื่อมเสีย เท่ากับตราหน้าเว่ยเยวียนว่าเป็น ‘คนเลว’ ซึ่งจะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ และทิ้งชื่อเสียงอันเลวร้ายตราบนานเท่านาน

ฮว๋ายชิ่งบอกเล่าเรื่องราวตลอดสองสามวันที่ผ่านมาให้สวี่ชีอันฟังอย่างละเอียด

“อยู่เหนือความคาดหมาย แต่กลับอยู่ในขอบเขตของเหตุผล” สวี่ชีอันกล่าวอย่างสงบ ก่อนจะเงียบลงอีกครั้ง

หลังจากผ่านไปนาน เขาก็กล่าวอีกว่า “เว่ยกงตายที่เมืองจิ้งซาน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีมาก ดีกว่าตายด้วยน้ำมือคนของตนเอง แต่ถ้าเขาไม่ตาย ไอ้พวกระยำเหล่านั้นก็คงไม่กล้าทำอะไรกับเขา เมื่อมองย้อนกลับไป ชีวิตของเขาช่างน่าสงสารยิ่งนัก ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่อวี้โจว ตอนเด็ก ครอบครัวของเขาก็ถูกสำนักพ่อมดสังหารหมู่ ครั้นบากหน้าไปขออาศัยตระกูลของเพื่อนที่เมืองหลวง ก็ดันไปตกหลุมรักแม่นางของตระกูลนั้น เมื่อหนีตามกันไปไม่สำเร็จ เขาก็ถูกตอนให้ปราศจากความรู้สึกทางเพศ การเห็นหญิงผู้เป็นที่รักแต่งงานเป็นสะใภ้ของตระกูลอื่น ส่วนตนเองก็ยังต้องปกป้องอยู่เคียงข้างนาง สำหรับผู้ชาย นี่เป็นความอัปยศอดสูอันยิ่งใหญ่ที่สุด ตลอดชีวิตของเขาไร้บุตร ไร้ญาติ สุดท้ายยังจะปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง…”

ดวงตาของสวี่ชีอันแดงก่ำ เขาฝืนยิ้มและกล่าวว่า “ฮว๋ายชิ่ง ท่านช่วยเล่าคดีของเจินเต๋อ และเรื่องของเว่ยกงให้ฉู่หยวนเจิ่นฟังอย่างละเอียดแทนข้าที ถามเขาว่าอยากกลับเมืองหลวงก่อนวันพรุ่งนี้หรือไม่”

เขามองหลินอันอีกครั้ง พลางจับมือเล็กๆ ของนาง และออกแรงบีบเล็กน้อย “องค์หญิง ช่วยประคองข้าที”

“โอ้!”

หลังจากหลินอันฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็ดูเหมือนจะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง มีเพียงเรื่องเดียวที่ชัดเจนที่สุด คือตอนนี้เขากำลังเศร้าอย่างมาก

สวี่ชีอันยกผ้าห่ม และลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมาย

หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้ว เขาก็ใส่มันลงในซอง และหันไปมองฉู่ไฉ่เวย “เมี่ยวเจินยังอยู่ที่หอดูดาวหรือไม่?”

เมี่ยวเจิน…ยายตัวร้ายขมวดคิ้วเล็กน้อย นางคิดว่าชื่อสั้นๆ เช่นนี้ดูสนิทสนมมากเกินไป ได้ยินแล้วรู้สึกไม่สบายใจสักนิด

“อยู่ ข้าจะไปเรียกนางให้เจ้าเอง” ฉู่ไฉ่เวยออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

เวลานี้ หลี่เมี่ยวเจินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องนอนของตนเอง เมื่อได้ยินว่าสวี่ชีอันฟื้นแล้ว ก็รีบมาด้วยความดีอกดีใจอย่างยิ่ง เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็พบกับองค์หญิงทั้งสองที่มีรูปลักษณ์งดงามดุจนางฟ้า

จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินเก็บความดีใจไว้เป็นอย่างดี และมองสวี่ชีอันที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยสีหน้าสงบ ก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “ฟื้นก็ดีแล้ว เรียกหาข้าด้วยเรื่องอะไรรึ”

สวี่ชีอันส่งซองจดหมายให้นาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ช่วยข้าส่งจดหมายนี้ให้บรรพชนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เขาอยู่บนภูเขาด้านหลังกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ประตูหินที่มีเฉวี่ยนหรงคอยอารักขา ตอนที่เจ้าไป จำให้ดีว่าต้องมอบให้เขากับมือ อย่ายืมมือคนอื่นเด็ดขาด รวมทั้งเฉาชิงหยางผู้นำกลุ่มคนปัจจุบันด้วย จำไว้ว่าต้องมอบให้เหล่าเหมิงจู่กับมือ แค่บอกชื่อของข้าก็พอ แล้วเฉาชิงหยางจะพาเจ้าไปพบเขา”

“ข้าอ่านได้หรือไม่?” เทพธิดานิกายสวรรค์ถามอย่างตรงไปตรงมา

เจ้าคิดว่าควรหรือไม่ล่ะ?

สวี่ชีอันส่ายศีรษะ “อย่าอ่าน”

“โอ้” หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า และหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง

สวี่ชีอันมององค์หญิงทั้งสอง ก่อนจะวางมือทั้งสองข้างลงบนขอบโต๊ะ และลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง “องค์หญิงทั้งสองโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปพบท่านโหราจารย์”

……………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง