บทที่ 477 เปิดโปงแผนการร้าย
สวี่ชีอันสวมเสื้อคลุม ขึ้นไปยังแท่นแปดทิศคนเดียว
ลมฤดูใบไม้ผลิที่เปล่าเปลี่ยว ราวกับมีดเล็กบางๆ แทงเข้าที่หนังหน้า
เขาเห็นด้านหลังนักบุญอุปถัมภ์ต้าฟ่งท่านนี้อีกครั้ง แตกต่างจากท่านั่งที่สบายๆ ในอดีตที่ผ่านมา ครั้งนี้ท่านโหราจารย์ยืนมือไขว้หลังอยู่ริมแท่นแปดทิศ และมองไปทางพระราชวัง
“‘ความปรารถนา’ ของเจ้าคืออะไร” ท่านโหราจารย์กล่าวถาม
“การเป็นหยกที่แตกละเอียด”
สวี่ชีอันตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา
“หยกที่แตกละเอียด…”
ท่านโหราจารย์คิดทบทวนสองคำนี้อย่างช้าๆ พลางพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อย “ลักษณะที่ตรงกันของดาบเดียวตัดฟ้าดิน ไม่เสียเปล่าที่ข้าส่งเคล็ดลับนี้ให้ถึงมือเจ้า”
เฒ่าเหรียญปากผีคนนี้นี่…สวี่ชีอันคาดเดาถึงเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ยังคงรับการยืนยันจากท่านโหราจารย์เสียก่อน
ท่านโหราจารย์กล่าวอีก “เจ้าทราบที่มาของ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ หรือไม่”
สวี่ชีอันส่ายหน้า
“เขามาจากทหารขั้นหนึ่ง ทหารขั้นหนึ่งท่านนั้นพยายามใช้มีดที่อยู่ในมือทะลวงคุกแห่งสวรรค์และมนุษย์ จากนั้นเขาก็หายสาบสูญไป” ท่านโหราจารย์กล่าวอย่างยิ้มๆ
เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาใช้อาวุธผิดประเภท เปลี่ยนเป็นขวาน ไม่แน่เขาอาจจะทำสำเร็จก็เป็นได้…แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ สวี่ชีอันยังคงทนไม่ไหวที่จะสบถในใจ
“ทหารขั้นหนึ่งชื่ออะไรหรือขอรับ?” เขาฉวยโอกาสเติมเต็มความรู้ ถามความสงสัยที่อยู่ใต้ก้นบึ้งของหัวใจออกไป
ท่านโหราจารย์ส่ายหน้า “ช่วงนักปราชญ์ขงจื๊อแบ่งแยกเขตแดน ปีนั้นระบบใหญ่ถูกแบ่งเป็นเก้าขั้น ตรงที่ทหารขั้นหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เว้นว่างไว้ และไม่มีชื่อ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ทหารขั้นสูงสุดของระบบ นักปราชญ์ขงจื๊อตั้งชื่อว่าเทพยุทธ์
“สิ่งที่ยิ่งน่าสนใจไปกว่านั้นอีก มาจากบทสรุปสมัยเทพและปีศาจ ทหารขั้นหนึ่งแม้จะหายาก แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานนับแสนปี มักจะมีออกมาหนึ่งถึงสองคนเสมอ มีเพียงเทพยุทธ์เท่านั้นที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน”
ช่างน่าสนใจเสียจริง ขั้นสูงที่เคยปรากฏออกมา นักปราชญ์ขงจื๊อเว้นว่างไว้ และไม่เคยมีขั้นสูงสุดปรากฏออกมา นักปราชญ์ขงจื๊อกลับให้ชื่อขนานนามว่า ‘เทพยุทธ์’ เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในสมองของสวี่ชีอัน
ขณะเดียวกัน เขาก็ไตร่ตรองว่าเหตุใดท่านโหราจารย์จึงมอบ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ให้แก่เขา คงไม่คาดหวังให้เขาเปิดกรงแห่งสวรรค์และมนุษย์ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวกระมัง
ข้าไม่ใช่ผานกู่เสียหน่อย…เขาบ่นในใจ กล่าว “ช่วยเล่าเรื่องของเจินเต๋อให้ฟังได้หรือไม่ขอรับ? ข้ามีหลายจุดที่ยังสงสัย”
“กล่าวถึงเขาทำไม หมดอารมณ์!”
ท่านโหราจารย์ส่ายหน้า อารมณ์เหมือนคนที่เดินอยู่บนถนนแล้วเหยียบเข้ากับอึหมา ส่งเสียงสบถ “บัดซบ!”
จากนั้นก็เดินจากไปอย่างหัวเสีย
ท่านโหราจารย์สะบัดมือ ยาเม็ดสีขาวขุ่นเม็ดหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอัน “กินยาเม็ดนี้แล้ว บาดแผลของเจ้าจะหายในไม่ช้า”
สวี่ชีอันรับยามาและกลืนลงไป เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว กล่าว “ท่านโหราจารย์ ข้ามีคำขอเพียงหนึ่งข้อจะร้องขอจากท่าน”
…
สำนักอวิ๋นลู่
แสงสว่างส่องระยิบระยับ ร่างในชุดขาวร่างหนึ่งพาสวี่ชีอันมายังเชิงเขา ร่างในชุดขาวหันหน้าไปทางบันไดหิน และหันท้ายทอยมองไปยังสวี่ชีอัน
“ขอบคุณศิษย์พี่หยางอย่างมาก”
สวี่ชีอันแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ กล่าว “ว่างๆ เชิญท่านไปดื่มสุราที่หอคณิกา”
“ไม่จำเป็น!”
หยางเชียนฮ่วนส่งเสียงไม่พอใจ ร่างนั้นหายวับ ไม่เจอตัวแล้ว
ไม่นาน เขาก็ปรากฏแวบกลับมาอีกครั้ง ท้ายทอยจ้องสวี่ชีอันอย่างแผดเผา “หากเจ้าตามหาคณิกาของสำนักสังคีตที่ป่วยระยะสุดท้ายคนหนึ่งพบ ข้าจะพิจารณาดู”
เหตุใดต้องเป็นคณิกาของสำนักสังคีตที่ป่วยระยะสุดท้าย…สวี่ชีอันยากที่จะเข้าใจไปชั่วขณะหนึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่หยางจะมีนิสัยที่แปลกประหลาดเช่นนี้?
เขาชื่นชอบการฝังเข็มให้กับแม่นางหรือ?
หยางเชียนฮ่วนเห็นเขาไม่พูด ก็ถือว่าเขาตอบตกลงแล้ว เขาเอียงศีรษะไปข้างหลังสองครั้ง เป็นการพยักหน้า จากนั้นก็หายไปอีกครั้ง
“ศิษย์พี่หยางมักจะเป็นคนแปลกประหลาด และสมองกลับทางแตกต่างจากคนทั่วไปเสมอ” สวี่ชีอันบ่นพึมพำ
ครั้นคิดถึงนักเล่นแร่แปรธาตุบางท่านที่รังแต่จะสร้างเรื่องทุกวัน เจ้าแมลงวันขี้ขลาดที่น่าสงสารบางท่าน หรือนักชิมบางท่าน หัวใจของเขาก็สงบนิ่งดังสายน้ำไปชั่วขณะ
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้น มองไปยังยอดเขา และปีนขึ้นเขาอย่างช้าๆ
เขาเพิ่งมาถึงไหล่เขา พอหันกลับไป ก็เห็นผู้เฒ่าระดับกำเนิดปราชญ์สวมชุดขงจื๊อที่ซักจนซีดขาว ผมหงอกสีขาวยุ่งเหยิง นั่งอยู่ในศาลาข้างขั้นบันไดหิน
ท่านเจ้าสำนัก
“เจ้ามาแล้วหรือ!” จ้าวโส่วยิ้มพลางกล่าว
สวี่ชีอันไม่รับมุก นั่งลงที่ข้างบันไดหิน คิดไปคิดมา พลางถาม “ท่านเจ้าสำนักทราบเรื่องราวของอดีตจักรพรรดิเจินเต๋อหรือไม่?”
จ้าวโส่วเงียบไปสักพัก “ก่อนการนำทัพ เว่ยเยวียนเคยกล่าวถึงเรื่องนี้กับข้า ตอนนั้นเขาไม่แน่ใจ”
เว่ยกงสำหรับสิ่งนี้ ไม่นึกเลยว่าจะรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว แม้จะไม่มีการนำทัพ แต่ก็ไม่มีการคาดเดาที่สอดคล้องกัน และแม้จะเป็นเช่นนี้ เขายังคงไปตามทางของเขาเองเพื่อโจมตีที่แท่นหลัก ปิดผนึกเทพอู…
เขาเคยบอกไว้ในจดหมาย เรื่องนี้พัวพันไปถึงความลับบางเรื่องที่เป็นขั้นสุดยอด…
สวี่ชีอันกล่าวอย่างใคร่ครวญ “เหตุใดเว่ยกงต้องปิดผนึกเทพอูด้วยเล่าขอรับ?”
จ้าวโส่วไม่ได้ตอบเขาตามตรง “เจ้าเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้ากู่ ที่ลือกันในเผ่าพันธุ์กู่ของซินเจียงตอนใต้หรือไม่?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ในความคิดนึกถึงที่ลี่น่าเคยกล่าวไว้ปรากฏขึ้นมาทันที
คำทำนายผู้เผยพระวจนะของเทียนกู่ เทพเจ้ากู่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่ ถึงเวลานั้น จะนำหายนะที่คาดไม่ถึงมาสู่อาณาจักรจิ่วโจว และทำให้ทั้งจิ่วโจวกลายเป็นอาณาจักรของกู่
สวี่ชีอันมีท่าทีตื่นกลัว ตอนนี้ เขาทราบดีว่าเทพอูก็ถูกนักปราชญ์ขงจื๊อปิดผนึก ขณะเดียวกับเทพเจ้ากู่ที่ถูกนักปราชญ์ปิดผนึกเช่นกัน เช่นนั้นหากอิงตามตำนานของเทพเจ้ากู่มาตีความแล้ว การที่เทพอูเปิดผนึก จะเป็นการนำมาซึ่งภัยพิบัติที่คล้ายกันหรือไม่?
นี่ก็คือเหตุผลที่เว่ยกงแม้จะเสี่ยงชีวิต ก็ต้องปิดผนึกเทพอูให้ได้อย่างนั้นหรือ…สวี่ชีอันหายใจเข้าลึกๆ พลางถามกลับ
“ท่านรู้จักเจินเต๋อดีแค่ไหนขอรับ”
“ข้าอาศัยอยู่อย่างสันโดษและบำเพ็ญตนในภูเขาชิงหยุนเป็นเวลาหลายปี เรื่องของอดีตจักรพรรดิทราบไม่เยอะ แม้เว่ยเยวียนตระหนักว่าเจินเต๋ออาจยังมีชีวิตอยู่ ทว่าเขายังไม่ทันได้ตรวจสอบ” จ้าวโส่วหยุดสักพัก พลางกล่าววิเคราะห์
“แต่พวกเราอิงตามพฤติกรรมของเขา ก็สามารถเดาจุดประสงค์ได้ในระดับหนึ่ง”
สวี่ชีอันโบกมือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง