บทที่ 480 ความภักดีอะไรกัน
“สวี่ ฆ้องเงินสวี่?”
หวางซือมู่เบิกตากว้าง สงสัยว่าตนเองฟังผิดแล้ว
เมื่อครู่เป็นพี่ใหญ่ของฉือจิ้ว เสียงของสวี่ชีอันจริงๆ
ยายตัวร้ายชำเลืองมองสุนัขรับใช้ กล่าวอย่างประหลาดใจ “น้องสะใภ้?”
หวางซือมู่คือว่าที่ภรรยาของเอ้อร์หลาง…สวี่ชีอันยิ้มตาหยีกล่าว “คุณหนูซือมู่กับเอ้อร์หลางต้องใจกัน การมีรักแท้ได้ครองคู่กันตลอดไปเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว”
หวางซือมู่ส่งเสียง ‘ชิ’ ครั้งหนึ่ง ทั้งอับอาย ทั้งโมโห ทั้งอ่อนหวาน จากคำกล่าวของฆ้องเงินสวี่จะเห็นได้ว่า บ้านสกุลสวี่ค่อนข้างพึงพอใจในตัวนาง
อีกทั้งบิดาของนางไม่เคยขัดขวางความสัมพันธ์ของนางกับสวี่เอ้อร์หลางอย่างชัดเจน แม้กระทั่งแสดงท่าทางที่นิ่งเฉย มิฉะนั้น วันนั้นที่นางกลับมาจากจวนสกุลสวี่ ท่านพ่อก็ไม่สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของจวนสกุลสวี่โดยเฉพาะ
‘อ๋อ นี่ไม่ใช่ลึกซึ้งแล้วยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีกหรือ’ ยายตัวร้ายดีใจไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาดอกท้อโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
สวี่ชีอันเข้าสู่คำถามหลัก กล่าว “คุณหนูซือมู่ ข้าต้องการพบสมุหราชเลขาธิการหวางเสียหน่อย จริงสิ ข้าเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ เห็นคนรับใช้กำลังเก็บของ เป็นเพราะเหตุใดหรือ?”
หวางซือมู่ค่อนข้างลังเล กล่าวเสียงเบา “ท่านพ่ออาจต้องลาออกจากราชการ!”
ลาออกจากราชการ? สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ปฏิกิริยาครั้งที่หนึ่งหลังจากเว่ยกงเสียชีวิต จักรพรรดิหยวนจิ่งสะสางสถานการณ์ในท้องพระโรงและปรับสมดุลอำนาจของพรรค ดังนั้นจึงต้องรีบนำสมุหราชเลขาธิการหวางลงจากเวที
แต่หลายวันมานี้หยวนจิ่งกำลังพยายามใส่ร้ายป้ายสีเว่ยกง เพื่อสรุปข้อได้ข้อเสียสุดท้ายของการต่อสู้ในครั้งนี้ คงไม่มีเวลามาเล่นงานสมุหราชเลขาธิการหวาง
ลาออกจากราชการในเวลานี้ จะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ?
หรือว่าสมุหราชเลขาธิการหวางทราบเองว่าเส้นทางอาชีพกำลังถึงจุดจบ จึงตั้งใจว่าจะลาออกจากราชการล่วงหน้าเสีย แถมยังจบลงด้วยดีอีกด้วย
“ฆ้องเงินสวี่เล่า มาหาท่านพ่อมีธุระอันใดหรือ?” หวางซือมู่ใช้ดวงตาใสแป๋วอันนุ่มนวลน่ารักจ้องมองเขา
“เรียกฆ้องเงินดูเหมือนคนนอก เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เถิด” สวี่ชีอันฉีกประเด็น
เขามาหาสมุหราชเลขาธิการหวาง เพื่อขอความช่วยเหลือ
หวางซือมู่จนปัญญากับชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเช่นนี้ กล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะพาพวกท่านเข้าไป”
นางทำท่าเชื้อเชิญ
สวี่ชีอันและหลินอันเดินตามหลังนาง ทะลุระเบียงผ่านลาน มุ่งไปทางจวนอ๋องที่อยู่ลึกเข้าไป
หวางซือมู่สวมเสื้อนอกหลวมๆ สีชมพู ยาวคลุมไปถึงหัวเข่า ท่อนล่างเป็นประโปรงจีบ เวลาเดิน เสื้อนอกกับกระโปรงจะพลิ้วไหว ช่างนุ่มนวลและสง่างามยิ่งนัก
สวี่ชีอันพินิจดูแล้ว น้องสะใภ้ท่านนี้ร่างกายสูง อัตราส่วนสะโพกต่อไหล่ยอดเยี่ยม รูปโฉมก็งดงาม บวกกับเป็นบุตรที่ร่ำรวยของสมุหราชเลขาธิการ ทั้งสวยทั้งฉลาด นางกับสวี่เอ้อร์หลางช่างเป็นสวรรค์ส่งมาให้เป็นคู่กันเสียจริง
ข้อเสียเพียงประการเดียวคือฉลาด มีบุคลิกเข้มแข็ง สถานะสูงส่ง หญิงสาวเช่นนี้ ปกติมีความเป็นไปได้สูงว่ามีเจ้าของ
ในภายภาคหน้าเอ้อร์หลางคิดจะอยู่ด้วยกันโดยไม่แต่งงานก็ยากเสียแล้ว
ทว่าก็ดี ชายที่ดีก็ควรครองคู่กันไปตลอดชีวิต
สวี่ชีอันยอมรับเหตุผลข้อนี้อย่างยิ่ง และคิดว่าตนเองก็เป็นชายที่ดีเช่นนี้
ชั่วพริบตาก็มาถึงห้องตำราของสมุหราชเลขาธิการหวางแล้ว ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็กล่าว “ข้าขอไปห้องน้ำสักประเดี๋ยว”
เข้าห้องน้ำแล้ว หยิบกระดาษวิชามองปราณออกมาหนึ่งแผ่น เผามัน แสงใสสองดวงพุ่งออกมาจากดวงตา แล้วค่อยๆ ลดลง
เมื่อเขากลับมา หลินอันและหวางซือมู่ก็หายไปแล้ว มีเพียงคนรับใช้คนหนึ่งรอปรนนิบัติอยู่
เมื่อเห็นสวี่ชีอันกลับมาแล้ว คนรับใช้ก็เข้ามาต้อนรับ พลางกล่าวด้วยความเคารพ
“คุณหนูให้ข้ารอปรนนิบัติอยู่ที่นี่ นางบอกจะไปเล่นที่ห้องกับองค์หญิงหลินอัน ท่านเข้าไปเองก็ได้ นางได้แจ้งนายท่านแล้วขอรับ”
นิสัยใช้ได้นี่ ยอดเยี่ยมมาก มีน้องสะใภ้ที่คอยให้คำแนะนำอย่างหวางซือมู่เช่นนี้ ยายตัวร้ายก็ไม่ต้องกลัวถูกรังแกแล้ว…สวี่ชีอันพยักหน้า เดินมาถึงด้านหน้าห้องตำรา เคาะประตู
“เข้ามา”
เสียงที่ไพเราะและนุ่มนวลของหวางเจินเหวินดังลอดออกมาจากห้องตำรา
สวี่ชีอันผลักประตูเข้าไปเบาๆ ภายในห้องตำรามีแสงสว่างดีเยี่ยม ทั้งกว้างขวางและประณีต หลังโต๊ะไม้หวงฮวาหลีขนาดใหญ่ สมุหราชเลขาธิการหวางนั่งอยู่อย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาขุ่นมัวและเหนื่อยล้า สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมอีกทั้งจริงจัง…โดยรวมแล้วแสดงให้เห็นว่าชายชราท่านนี้มีสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งนัก
“ฟังคุณหนูซือมู่บอกว่า ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางต้องการลาออกหรือขอรับ?” สวี่ชีอันกล่าวพลางยิ้ม
“ทราบดีว่าคงปิดนางไม่ได้!”
สมุหราชเลขาธิการหวางยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “การประชุมพรุ่งนี้ ข้าคงขอลาออกจากตำแหน่ง ตามกฎแล้ว เขาคงรั้งไว้ตามมารยาทเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นจึงอนุญาตให้ข้ากลับบ้านเดิมได้”
“ท่านคิดจะลาออกเองใช่หรือไม่ขอรับ?”
สวี่ชีอันจ้องเขา
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า “ใช่”
ผลตอบรับที่ได้รับจากวิชามองปราณคือความจริง และไม่เคยกล่าวเท็จ ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการกระตือรือร้นที่จะเกษียณตนเอง…สวี่ชีอันยังคงถาม
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
เขาขอหน้ากระดาษวิชามองปราณมาจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น หลังจากไปพบอารอง เขาก็ไม่ได้ขอหน้ากระดาษที่มีวรยุทธ์ขงจื๊ออื่นๆ มาอีก เพราะวรยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นสี่หรือขั้นห้า สำหรับนักบวชลัทธิเต๋าขั้นสองแล้วคงไม่ได้ผล
แก่นปราณของลัทธิเต๋าขั้นสี่ ถึงจะมีหมื่นวิธีก็ไม่กล้ำกราย นับประสาอะไรกับขั้นสอง
ส่วนฝั่งเจ้าสำนัก คัมภีร์วรยุทธ์ขงจื๊อเล่มนั้นที่ถือเป็นสิ่งของคงคลังเพียงหนึ่งเดียวของเขา ก็ถูกสวี่ชีอันใช้ไปตั้งนานแล้ว คงหยิบอย่างอื่นออกมาไม่ได้อีก
หากต้องการบันทึกขึ้นมาใหม่ อาจสามารถบันทึกวรยุทธ์ของระบบลัทธิขงจื๊อได้ เพียงแต่วรยุทธ์ลั่นประกาศิตของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสาม สวี่ชีอันไม่กล้าใช้ เพราะหากใช้แล้วอาจไม่สามารถฆ่าเจินเต๋อขั้นสองได้ แต่มันจะทำให้เขาบาดเจ็บแสนสาหัสอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับเขาที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถ หลังจากไปท่องเที่ยวประตูนรกมาแล้วสองครั้ง จึงมีความเจ็บปวดภายในใจเล็กน้อยต่อวิชาคุยโวของลัทธิขงจื๊อ
“ในเมื่อไร้แรงเปลี่ยนแปลง ไม่สู้ลาออกจากราชการดีกว่า” สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวอย่างราบเรียบ
“เพียงเพราะเว่ยกงอย่างนั้นหรือ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกกระมัง” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
สมุหราชเลขาธิการหวางลังเลเล็กน้อย ส่ายหน้าพลางกล่าว
“ยังมีความลับอื่นอยู่ในนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องทราบหรอก คงไม่ดีสำหรับตัวเจ้า คนชราอย่างข้าหมดกำลังใจไปนานแล้ว ไม่ปรารถนาจะอยู่ในราชสำนักเป็นเวลานาน แต่ก็น่าเสียดายที่ชาติบ้านเมืองซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ จะต้องแตกดับโดยความมืดมิดนั่น…”
สมุหราชเลขาธิการหวางปิดปากอย่างเด็ดขาด
ที่เขาลาออกแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพราะเรื่องเว่ยเยวียนเท่านั้น ปัจจุบันเจ้าเหนือหัวไม่เป็นลูกผู้ชาย อีกทั้งท่านโหราจารย์ยังเอาแต่มองดูอย่างเงียบๆ แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง จะทำอะไรได้?
ร้อนใจไปแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจะอยู่ในราชสำนักต่อไปด้วยเหตุใดกัน
เรื่องเหล่านี้ควรปิดให้เป็นความลับ สวี่ชีอันที่เป็นทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่จำเป็นต้องทราบให้มาก หากรู้มากเกินไป ชีวิตจะต้องทุกข์ทรมาน
สมุหราชเลขาธิการหวางหยิบชาขึ้นมาด้วยความท้อแท้ ก่อนจะจิบชาร้อนเพื่อให้หัวใจที่เย็นชาอบอุ่นขึ้น
“ท่านทราบว่าการตัดขาดเสบียงอาหารเป็นฝีมือของหยวนจิ่งหรือขอรับ?” สวี่ชีอันกล่าวอย่างลองเชิง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า
“แค่กๆ…”
สมุหราชเลขาธิการหวางตกใจจนลำสัก สำลักไอออกมาอย่างรุนแรง ชาร้อนยังไม่ทันทำให้อบอุ่นไปถึงหัวใจ กลับลวกปากเข้าเสียแล้ว
“เจ้าก็ทราบ?”
สมุหราชเลขาธิการหวางพินิจเขาอย่างตกใจ
“ครั้งนี้ข้ามาก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการขอรับ!”
สายตาของสวี่ชีอันที่มีวิชามองปราณอยู่ภายใน จ้องมองไปที่เขาอย่างมุ่งมั่น
…
จนถึงยามพลบค่ำ สวี่ชีอันกับหลินอันถึงออกจากจวนตระกูลหวาง
หลังจากส่งทั้งสอง หวางซือมู่ก็ตรงมายังห้องตำรา แสงเทียนส่องทะลุผ่านช่องประตูที่เป็นกระดาษออกมา
‘ก๊อกๆ!’
นางยกมือขึ้น ใช้นิ้วมือที่เรียวยาวเคาะสองครั้ง
“เข้ามา!”
เสียงของหวางเจินเหวินดังลอดออกมา
หวางซือมู่ผลักประตูออก ได้กลิ่นกระดาษไหม้ หันหน้าไปมอง พบว่าหวางเจินเหวินผู้เป็นบิดานั่งอยู่ที่โต๊ะกลม บนตักมีตำรากองหนึ่ง ภาพวาด และตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันหลายภาพวางอยู่ กำลังทิ้งพวกมันลงกระถางไฟที่อยู่ปลายเท้าทีละอย่าง
“ท่านพ่อ ท่านกำลังเผาอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
หวางซือมู่ก้าวเข้ามา สาวเท้าเข้าไปใกล้เรื่อยๆ
“เผาสิ่งของที่เขียนด้วยความไม่รู้ในช่วงเยาว์วัย”
หวางเจินเหวินก้มหน้า จ้องมองเปลวไฟที่กลืนกินกระดาษ ดวงตาของเขาราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายใน
“ท่านพ่อ ข้าช่วยท่านนะเจ้าคะ”
หวางซือมู่นั่งลงข้างกายเขา ไม่ฟังคำอธิบาย ก็หยิบตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันขึ้นมา คลี่ออก พลางกล่าวอย่างตกตะลึง
“นี่ นี่มันบทกวีที่ท่านพ่อเขียนเมื่อก่อน ฝ่าบาทยังชื่นชมว่าบทกวีของท่านยอดเยี่ยมนักนี่เจ้าคะ”
บทกวีที่หวางเจินเหวินเขียนถือว่าใช้ได้ ในช่วงวัยหนุ่มมักจะไปคลุกคลีกับชุมนุมบทกวีบ่อยๆ เกือบครึ่งชีวิตก็มีบทกวีดีๆ สองสามบทที่ภูมิใจมาก
นี่คือบทกวีเกี่ยวกับกฎเจ็ดประการของความภักดี เขียนขึ้นด้วยจิตวิญญาณ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง