บทที่ 481 ก่อกบฏ
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวที่ที่อยู่ด้านหน้าชะงักค้าง ยืนนิ่งอยู่กับที่
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่รอบๆ เองก็มีปฏิกิริยาที่ไม่ต่างกัน
รูม่านตาของจูเฉิงจู้หดตัวเล็กน้อย เสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยและแปลกหู มันปรากฏในความฝันของเขานับครั้งไม่ถ้วน ราวกับฝันร้าย
เขาคอยเกลียดชัง คอยสาปแช่ง ในขณะเดียวกันเขาก็หวาดกลัว เศร้าโศก ด้วยคิดว่าตอนเองนั้นไม่มีความหวังที่จะได้แก้แค้น
ทว่าตอนนี้ คนผู้นั้นมาอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว
เขาไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะหันหลังไปมอง
ขณะที่ฝีก้าวประชิดเข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาสองข้างของจูเฉิงจู้ก็สั่นไหว แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
แต่ผิดคาด เสียงฝีเท้านั้นก้าวผ่านตัวเขาไป มุ่งตรงไปยังซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว
สวี่ชีอันในชุดคราม ถืออาวุธที่คล้ายดาบหรือกระบี่ไว้ในมือ เตะซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวคนละที ก่อนจะกล่าวเป็นเชิงเย้ยหยัน
“ดูท่าชีวิตพวกเจ้าสองคนคงจะไม่ราบรื่นสักเท่าไรสินะ”
สีหน้าของจูกว่างเสี้ยวเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้นยินดี น้ำตาอุ่นๆ ไหลอาบแก้ม
ซ่งถิงเฟิงโกรธจนไม่ยอมหันกลับไปมอง เขาด่าพลางสะอึกสะอื้น “ไอ้ลูกหมาเอ๊ย เหตุใดเจ้ายังไม่หนีไปอีก คิดว่าตัวเองเป็นอมตะหรือไง”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่รอบด้านทั้งดีใจ ทั้งสับสน และเป็นกังวลว่าเหตุใดสวี่หนิงเยี่ยนถึงยังไม่หนีไป แต่ยังกล้ากลับมายังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าพ่อลูกตระกูลจูกลับมาแล้ว เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าหยวนสยงขึ้นมารับตำแหน่งของเว่ยกง ได้รับแต่งตั้งเป็นหยวนกงแล้ว?
ถูกต้อง เขาไม่รู้เลย เพราะเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อวาน
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ารีบหนีไปเร็ว”
ใครบางคนในฝูงชนกระซิบเตือน
ขณะนี้เอง จูเฉิงจู้ก็คล้ายจะหลุดออกจากพันธนาการบางอย่างได้ และควบคุมสองขาของตนเองได้อีกครั้ง ก่อนจะออกวิ่งพุ่งตรงไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปในที่ทำการหน่วยอย่างบ้าคลั่ง
ในตอนนี้เอง เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหลายก็แข่งกันตะโกนเกลี้ยกล่อม โดยไม่ต้องกังวลใจ
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าไม่ควรกลับมาที่นี่ หนีไปซะ รีบออกไปจากเมืองหลวงเสีย”
“หนิงเยี่ยน ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ภายใต้บัญชาของหยวนสยงแล้ว เขาแต่ตั้งจูหยางกับลูกชายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฆ้องทองคำจ้าวก็กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว”
“ตอนนี้ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตกไปอยู่ในมือของหยวนสยงและพ่อลูกจูหยางแล้ว จูหยางอยู่ขั้นสี่ เจ้ารีบหนีไปให้ไวเลย”
สวี่ชีอันรับฟังทุกสิ่งผ่านหู ขณะที่จ้องมองซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนสี “ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”
“แล้วถ้าข้าเล่าให้เจ้าฟังแทนล่ะ ว่าอย่างไร”
เสียงของจูหยางมาก่อนตัว
ท่ามกลางสายตาของผู้คนในลานขนาดใหญ่ จูหยางปรากฏตัวขึ้นในเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ปักลายฆ้องทองคำไว้บนอก
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีจูเฉิงจู้ก็ตามมา พร้อมกับชี้หน้าสวี่ชีอัน ชักสีหน้าถมึงทึงพลางกล่าว
“ท่านพ่อ เจ้าคนต่ำต้อยนี่ริอ่านกลับมาเหยียบที่ทำการปกครอง ฆ่ามันเลย ฆ่ามันเสียตอนนี้เลย”
จูหยางไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงแต่ประจันหน้ากับสวี่ชีอันจนกระทั่งฆ้องทองคำจ้าวมาถึง
เฮ้อ…จูหยางพ่นลมหายใจเย็นชาออกมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ฆ้องทองคำจ้าว เจ้าร่วมมือกับข้าสังหารเจ้าคนโฉดชั่วนี้เสียดีกว่า หยวนกงและฝ่าบาทจึงจะเห็นค่าในตัวเจ้าอย่างแท้จริง หยวนกงเฝ้ามองลงมาจากดาดฟ้าหอดูดาว”
ฆ้องทองคำจ้าวหันกลับไปมอง และเห็นคนในชุดคลุมสีแดงสดที่มองลงมาจากหอสังเกตการณ์บนชั้นเจ็ดของหอเฮ่าชี่ที่อยู่ไกลๆ
ฆ้องทองคำจ้าวถอนสายตากลับมา และเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอันซับซ้อน “เจ้ากลับมาเพื่ออะไร”
สวี่ชีอันยกมุมปากขึ้น “กลับมามาทวงหนี้แค้น!”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อย่างรู้อยากเห็นกับความเคลื่อนไหวตรงหน้ามีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์กลับถอยห่างออกไปจนเหลือน้อยลงเรื่อยๆ
การต่อสู้ของยอดฝีมือขั้นสี่ อาจจะทำลายที่ทำการปกครองราบเป็นหน้ากลองได้ ส่วนตบะของสวี่ชีอันอยู่ในขั้นใด พวกเขาไม่ทราบ แต่ไม่อ่อนด้อยอย่างแน่นอน
ทว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง สองฆ้องทองคำร่วมมือกันล้มเขาได้ไม่ยากอยู่แล้ว หากว่ามียอดฝีมือจากที่อื่นเพิ่มเข้ามาอีกคน สวี่หนิงเยี่ยนได้ตายสถานเดียว
“เหตุใดเขาถึงกลับมาล่ะ”
“เว่ยกงตายแล้ว ไม่มีใครช่วยเขาได้อีก เขาทำให้ฝ่าบาทหมางพระทัยจนต้องโทษประหาร กลับมาเพื่ออะไร”
“โธ่โว้ย สวี่หนิงเยี่ยนกลับมาเพื่ออะไร บัดซบเอ๊ย เขาเป็นสหายร่วมหน่วยของข้า ข้าทนเห็นเขาตายไม่ได้จริงๆ”
“พวกเรามันคนต่ำต้อย ต่อให้ไม่พอใจแล้วจะทำอย่างไรได้ เจ้าจะยอมสละชีวิตคนในครอบครัวของเจ้า เพื่อช่วยชีวิตเขาหรือ”
“ถูกต้อง เจ้าไม่เห็นฆ้องทองคำจ้าวเปลี่ยนใจไปร่วมมือกับจูหยางสังหารสวี่หนิงเยี่ยนหรือ ซ้ำร้ายยังมีหยวนสยงคอยจับตามองจากหอเฮ่าชี่อีก”
“ผลัดแผ่นดินใหม่ ข้าราชบริพารก็ต้องเปลี่ยนใหม่ด้วย หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่ต่างกัน ยุคสมัยของเว่ยกงสิ้นสุดลง ไม่หวนคืนกลับมาอีกแล้ว”
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเฝ้ามองจากระยะไกล ต่างพูดคุยถกเถียงกัน บ้างก็รู้สึกทอดถอนใจ บ้างก็รู้สึกกล้ำกลืน บ้างก็รู้สึกสิ้นหวัง
เพียงจูหยางดีดนิ้วมือ ดาบของเขาก็หลุดออกจากฝักพร้อมเสียงเสียดสี และประกายแสงจากดาบที่เจิดจ้าอยู่ในอากาศ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนในที่นี้รู้สึกเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ประกายแสงจากดาบยาวกระตุ้นให้เส้นขนบริเวณหลังมือลุกชัน
จูหยางกระโจนไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียว ไกลกว่าสิบจั้ง พร้อมทั้งตวัดคมดาบ หมายจะตัดคอของสวี่ชีอัน
ไม่ว่าข่าวลือที่ด่านอวี้หยางจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตบะของสวี่ชีอันในตอนนนี้ก็แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับขั้นสี่ได้ ลำพังตัวเขาคนเดียวอาจจะไม่สามารถโค่นล้มสัตว์ร้ายตนนี้ลงได้
แต่ตราบใดที่ฆ้องทองคำจ้าวคอยหนุนหลัง สองคนร่วมมือกัน ต้องสังหารสวี่ชีอันได้อย่างแน่นอน
สวี่ชีอันใช้หลังมือฟาดออกไป!
ผัวะ!
ศีรษะของเขาก็ระเบิดเละเหมือนแตงโม กระดูก สมอง เลือดเนื้อ และดวงตาสาดกระจายเป็นวงอยู่บนพื้นหินปูนเหนือลานกว้าง
ร่างของจูหยางก้าวไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวก่อนจะล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้น ทั่วทั้งลานกว้างภายในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็เงียบสนิทราวกับป่าช้า
กระดูกเหล็กผิวทองแดงของจูหยางไม่อาจต้านทานฝ่ามือของเขาได้ เพียงสะบัดฝ่ามือเบาๆ แม้แต่ข้าก็ไม่อาจต้านทานได้ และต้องตกตายด้วยฝ่ามือนั้นเช่นกัน…รูม่านตาของฆ้องทองคำจ้าวหดเล็กเท่ารูเข็ม ราวกับกำลังจ้องมองไปยังแสงที่เจิดจ้า
จูหยาง ฆ้องทองคำขั้นสี่ถูกเขาตบตายง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ ขะ…เขาสังหารกองทัพศัตรูนับพันนับหมื่นด้วยดาบเดียว ตัวคนเดียวได้จริงๆ หรือ?! หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เฝ้ามองจากระยะไกลต่างแน่นิ่งไร้สุ้มเสียง และแล้วพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าข่าวลือนั้นไม่ใช่เรื่องโป้ปดเกินจริง แต่เป็นความสำเร็จอันงดงามในสมรภูมิ
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวต่างตกอยู่ในภวังค์ ไม่อาจยอมรับได้ว่าสหายร่วมหน่วยที่ไปเที่ยวหอคณิกาและสำนักสังคีตกับพวกเขามาตลอด จู่ๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวไปแล้ว
ลูกตบฉาดเดียวทำเอาฆ้องทองคำขั้นสี่หัวสมองกระจุยกระจาย ช่างเป็นตบะที่น่าสะพรึงกลัวโดยแท้
สวี่หนิงเยี่ยน ตอนนี้ เขา…เขาบรรลุถึงขั้นใดกันแน่
ความคิดสุดเพ้อเจ้อผุดขึ้นมาในใจของทุกคน ทว่าพวกเขาต้องกดข่มเอาไว้ไม่ให้มันเข้ามาในหัว เพราะความคิดดังกล่าวมันบ้าคลั่ง สุดโต่งเกินกว่าสามัญสำนึกจะรับได้
ใบหน้าจูเฉิงจู้เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดราวกับแผ่นกระดาษ ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ร่างกายของเขาสั่นสะท้านราวกับกิ่งไม้ที่ไหวเอนไปตามแรงลม
บิดาผู้เป็นดั่งเทพเจ้า บิดาผู้เป็นที่พึ่งพิงเดียวของเขา บิดาผู้เป็นถึงทหารขั้นสี่ของเขา ถูกคนผู้นี้ตบตายในฉาดเดียว
ไม่ต่างอะไรจากการตบมดตัวหนึ่งให้ตายเลย
ความกลัวอย่างแรงกล้าเกาะกุมหัวใจของจูเฉิงจู้ทันที ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นสะท้าน ของเหลวสีขุ่นส่งกลิ่นเหม็นพลันไหลลงมาจากเป้ากางเกงของเขา
“ถอยไป แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า มิฉะนั้น เจ้าก็ต้องตายในสภาพเดียวกับจูหยาง”
สวี่ชีอันมองไปยังฆ้องทองคำจ้าว
ฆ้องทองคำจ้าวข่มความกลัวของตนอย่างยากเย็น ก่อนจะกุมหมัดโค้งคำนับ แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชีอันเคลื่อนสายตามาทางซ่งถิงเฟิง ชี้นิ้วไปที่จูเฉิงจู้ “เจ้านั่น ข้ายกให้เจ้าจัดการ”
พูดจบ เขาก็สาวเท้าไปเบื้องหน้า มุ่งตรงไปยังหอเฮ่าชี่
ทุกสายตาจ้องมองตามเขาไป คิดอยากจะตามไปด้วย แต่ก็ไร้ซึ่งความกล้า จนกระทั่งแผ่นหลังของสวี่ชีอันหายวับไป ทุกคนก็หันกลับมามองที่ซ่งถิงเฟิง
ซ่งถิงเฟิงเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าจูเฉิงจู้ และกางขาออก “ถ้ายังอยากมีชีวิตต่อ ก็ลอดผ่านตรงนี้ไป”
“ข้าจะลอดๆ…”
จูเฉิงจู้คุกเข่าลงด้วยความตื่นตระหนก ร้องขอความเมตตาไปด้วย ในขณะที่คลานลอดหว่างขาของซ่งถิงเฟิง
จูกว่างเสี้ยวที่ยืนอยู่ข้างๆ ชักดาบออกมา ฟาดลงไปอย่างเร็วรวดและรุนแรง จนศีรษะหลุดตกลงมา
ใบหน้าของจูเฉิงจู้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หยดน้ำตาคลอบริเวณหัวตา อ้าปากพะงาบๆ และแล้วในที่สุดก็นิ่งสนิทไปชั่วนิจนิรันดร์
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ซ่งถิงเฟิงยกมือขึ้นปิดใบหน้า พร้อมทั้งร่ำไห้และหัวเราะ ราวกับคนบ้า
เขาระบายความอัดอั้นในอกออกมา
ทันใดนั้น ก็มีคนชี้ไปทางหอเฮ่าชี่ พร้อมตะโกนลั่นด้วยความตกใจ “สวี่หนิงเยี่ยนจะฆ่าหยวนสยงแล้ว…”
ทันใดนั้น ทุกคนมองตามไป เห็นสวี่ชีอันคว้าคอเสื้อของหยวนสยง พร้อมดันร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาออกจากหอสังเกตการณ์บนชั้นเจ็ด
…
“หยวนสยง โอ้ ไม่สิ หยวนกง!”
สวี่ชีอันแสยะยิ้มพลางจ้องมองหยวนสยงที่ใบหน้าซีดเผือด พยายามตะเกียกตะกายไม่หยุด
“ได้ยินว่าหยวนกงทุ่มเทกายใจ ขุดคุ้ยความผิดมหันต์สิบประการของเว่ยกง จับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่กระทำการทุจริตเข้าคุก ชำระล้างภาพลักษณ์ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และมีบทบาทสำคัญที่ช่วยเปิดโปงความผิดร้ายแรงของเว่ยกงที่กระทำต่อชาติด้วยนี่”
หยวนสยงมองเห็นจิตสังหารที่ลุกโชนในแววตาของเขา จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สวี่ชีอัน ข้าเป็นข้าราชสำนัก เป็นขุนนางขั้นสาม จะ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้นะ”
เมื่อเห็นว่าดวงตาของสวี่ชีอันยังคงเย็นชา เขาก็ประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว และหันมาขอความเมตตาแทน
“ฝ่าบาทบีบบังคับให้ข้าทำ ข้าไม่มีทางเลือก ข้าเป็นขุนนางจะปฏิเสธได้อย่างไร ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ยกโทษให้ข้าเถิด สวี่ชีอัน ยกโทษให้ข้าเถิดนะ”
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดำสนิทราวกับช่วงเวลาก่อนอรุณรุ่งจะมาถึง สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านร่างของหยวนสยงจนสั่นสะท้าน เช่นเดียวกับหัวใจของเขา
“เจ้ารีบออกไปจากเมืองหลวงเสียตอนนี้เลย แล้วขะ…ข้าจะซื้อเวลาให้เจ้าเอง หากสายเกินไป พวกหมารับใช้ข้างล่างนั่นก็จะไปรายงานเรื่องของเจ้า แล้วถ้าหากประตูเมืองปิดลง เจ้าก็จะออกไปไหนไม่ได้อีก”
เขาไม่ยอมปฃ่อยโอากาสรอดชีวิตให้หลุดมือ ตอนนี้คิดเพียงแต่ต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตให้รอดพ้นไปจากหายนะนี้ให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยไปรายงานฝ่าบาททีหลัง ให้มาสังหารไอ้คนอัปรีย์ผู้นี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง