ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 482

สรุปบท บทที่ 482 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 482 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (1) – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 482 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (1) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 482 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (1)

เวลาล่วงเลยผ่านไป ประมาณสองเค่อก่อน ณ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

‘ตึง ตึง ตึง’…สวี่ชีอันในชุดครามก้าวเดินลงมาจากบันไดช้าๆ รายล้อมด้วยเจ้าพนักงานที่มีสีหน้าซับซ้อน

หอเฮ่าชี่นั้นเป็นสถานที่ทำงานของเว่ยเยวียน ในหอมีเจ้าพนักงานและผู้รอบรู้จำนวนมากที่ทำการส่งข้อมูลข่าวสารและวิเคราะห์รายงานอยู่

หยวนสยงกำลังเห่อกับตำแหน่งใหม่และอำนาจเพิ่งจะลามถึงหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเท่านั้น พวกเจ้าพนักงานในหอเฮ่าชี่ยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่หากหยวนสยงไม่ตาย คบเพลิงนี้คงจะเผาไหม้มาจนถึงศีรษะของพวกเขาแน่

เพราะพวกเขาล้วนเป็นกลุ่มคนสนิทของเว่ยเยวียน

เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อวานหยวนสยงเพิ่งจะมารับตำแหน่งของเว่ยกงและได้เป็นเจ้านายแห่งหอเฮ่าชี่ ทว่าวันนี้กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของสวี่ชีอันเสียแล้ว

เหล่าเจ้าพนักงานยืนอยู่เต็มทุกมุมของบันไดแล้วมองเขาอยู่เงียบๆ มองดูชายชุดครามผู้นี้ค่อยๆ เดินลงมาจากชั้นบน

ในแววตาแต่ละคู่มีทั้งความเคารพ ความเจ็บปวด ความซาบซึ้ง และประกายแวววาวของน้ำตา

การเปลี่ยนแปลงราชสำนักในช่วงหลายวันนี้และเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเมื่อวาน พวกเขาล้วนเห็นกับตาและรู้ดีแก่ใจ

ภายนอกไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในใจย่อมมีความเคียดแค้นอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถือปากกาอยู่ย่อมไม่อาจถือดาบ ส่วนผู้ที่สามารถถือดาบ กลับไม่อาจคว้าจับความกล้าที่หายวับไปได้

เว่ยกงบัญชาการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมายี่สิบเอ็ดปี ผู้ที่ได้รับความเมตตาจากเขามีมากมาย ตอนนี้พอเขาตาย ต้นไม้ล้มลิงแยกย้าย แต่ละฝ่ายล้วนพากันมองอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา

สุดท้ายกลับเป็นชายหนุ่มที่เข้ามาในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่ถึงปีที่โกรธเกรี้ยวแทนตัวเขา

เจ้าพนักงานทั้งหลายมองเขา ความโศกเศร้าก่อตัวขึ้นในความเงียบงัน

สวี่ชีอันออกจากหอเฮ่าชี่แล้วมาที่หน้าศพของหยวนสยง ชักดาบออกมาแล้วฟันคอของศพ ก่อนถือไว้ในมือ

เจ้าต้องการทำลายชื่อเสียงของเว่ยกง ข้าไม่ยอมหรอก!

เหล่าเจ้าพนักงานพุ่งออกมาจากหอเฮ่าชี่แล้วรวมตัวกันอยู่ด้านนอก

เมื่อสวี่ชีอันหันกายจากไป ด้านหลังก็มีเสียงสะอื้นดังขึ้น “ฆ้องเงินสวี่ ท่านหนีไปเถอะ…”

นั่นก็คือทหารคุ้มกันที่รักษาการณ์อยู่หน้าหอเฮ่าชี่

“ฆ้องเงินสวี่ ไปเถอะ ท่านไปเถอะ”

“ฆ้องเงินสวี่ โยนหัวคนทิ้งไปเสีย แล้วรีบหนีเถอะ”

“ข้าขอร้องท่านล่ะ…”

แต่ละคนเอ่ยโน้มน้าวออกมาราวกับล่วงรู้อะไรบางอย่าง

เสียงดังวุ่นวาย แต่ทุกถ้อยคำล้วนกินใจ

ฝีเท้าของสวี่ชีอันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป

เขาเดินออกจากที่ทำการเงียบๆ ตลอดทางพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างจดจ้องมาที่เขา แต่ไม่มีใครพูดอะไร และไม่มีใครกล้าขวางเขาด้วย

สายตาหลายคู่หยุดอยู่ที่แผ่นหลังของเขา จากนั้นก็เหลือบมองไปยังศีรษะที่ถูกถือเอาไว้

ทุกคนพลันหน้าเปลี่ยนสี

ชายชุดครามผู้นี้ออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอย่างรวดเร็ว เส้นทางที่เดินไปนั้นมุ่งตรงไปยังพระราชวัง

ท่ามกลางความเงียบงัน ฆ้องเงินคนหนึ่งตะโกนขึ้น “เป็นแบบนี้ไม่ได้”

บุกรุกมาสังหารคน จบเรื่องแล้วก็ไม่ได้หนีไปทันที แต่กลับถือหัวคนออกนอกประตูไปยังเขตพระราชวัง…

จู่ๆ ก็มีคนตะโกนร้องขึ้นมา “เขาจะไปก่อเรื่องที่พระราชวัง!”

“แบบนี้ไม่ได้นะ เว่ยกงไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครปกป้องเขาได้เหมือนคราวก่อนแล้ว เขาสังหารหยวนสยง นี่เป็นโทษถึงขั้นยึดบ้านสังหารตระกูลเชียว เขาจะสร้างเรื่องต่อไม่ได้แล้ว ต้องรีบหนีไป”

“ใครจะขวางเขาได้ ขวางเขาไม่อยู่หรอก”

เขาบุ่มบ่ามเกินไป คราวก่อนที่เขาสามารถสังหารกั๋วกงได้เพราะมีเว่ยกงอยู่ เมื่อมีความเห็นชอบจากขุนนางหลายคน ขุนนางบุ๋นบู๊กลุ่มนี้จึงเจอกับแรงกดดันเหนือศีรษะ เขาจึงรอดออกมาได้ครบสมบูรณ์

แต่สถานการณ์คราวนี้ไม่เหมือนกัน ถ้าเขากล้าก่อเรื่องจะต้องเรียกกองทัพและยอดฝีมือมาปราบปรามแน่

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวกุมดาบตามไปเป็นอันดับแรก

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เหลือมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

“พวกเรามีลูกมีภรรยากันแล้ว จะบุ่มบ่ามไม่ได้”

“ปะ…ไปดูก็พอ แค่ไปดูเท่านั้น”

“เอาเป็นว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก”

ส่วนพอถึงเวลานั้นแล้วจะทำอย่างไรต่อ พวกเขายังไม่ได้คิด

หลังจากหาเหตุผลให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็มีคนก้าวเท้าพุ่งออกไปจากที่ทำการ

ต่อจากนั้น คนแล้วคนเล่าก็เดินตามไป…จนเดินตามกันออกมาเป็นกลุ่มใหญ่

ในช่วงเวลายามเหมา ลมหนาวยามฤดูใบไม้ร่วงพัดมาพร้อมน้ำค้างหนาหนัก ชาวเมืองส่วนใหญ่ต่างก็ยังไม่ตื่น

หน้าร้านขายอาหารเช้าข้างทาง เจ้าของร้านคนหนึ่งถือน้ำเต้าหู้ร้อนๆ เอาไว้ด้วยมือสองข้างแล้วเดินไปหาลูกค้าที่โต๊ะ

ตอนนี้เอง เขาก็มองไปที่ถนนแล้วเบิกตาโต ชามในมือของเขาตกลงบนพื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเต้าหู้ร้อนๆ สาดไปทั่วพื้น

เหล่าลูกค้ามองตามสายตาของเขาไป ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าตรู่ ชายชุดครามผู้หนึ่งกุมดาบเดินไปข้างหน้า ขณะที่มือซ้ายหิ้วหัวคน

ด้านหลังของเขามีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลร้อยคนเดินตามไป

เจ้าของร้านค่อยๆ ถอนสายตากลับแล้วมองลูกค้า “นั่นคือฆ้องเงินสวี่ใช่หรือไม่?”

“อ่า เขาก็คือฆ้องเงินสวี่หรือ”

และยังมีคนที่ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของฆ้องเงินสวี่ด้วย

“ชะ ใช่แล้ว ไม่ผิด เขานั่นแหละฆ้องเงินสวี่ เขาจะทำอะไรน่ะ”

“มือถือหัวเอาไว้ด้วย ซี๊ด ฆ้องเงินสวี่สังหารขุนนางอีกแล้วหรือ”

“ข้างหลังก็มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามมาเยอะแยะด้วย…”

พ่อค้าแม่ค้าข้างถนนเข้าเมืองมาแต่เช้า และมีชาวบ้านบางส่วนที่ออกมาดูข้างนอก ต่างก็โชคดีได้เจอกับภาพนี้เข้า

เมื่อพบว่าฆ้องเงินสวี่กำลังเดินไปตามถนนสายหลักและตรงไปยังทิศทางของพระราชวัง ชาวบ้านที่มองดูอยู่ข้างๆ ก็หันมาพูดคุยกันอย่างอดไม่ได้

“หัวคนที่ฆ้องเงินสวี่ถือไว้เป็นของใครกัน”

“ใครจะรู้เล่า จะต้องไม่ใช่คนดีแน่ ไม่อย่างนั้นฆ้องเงินสวี่ก็คงไม่ฆ่าเขาหรอก สถานการณ์ยิ่งใหญ่สะเทือนขวัญเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าคาวก่อนเหมือนจะตัดหัวกั๋วกงสองคนที่ไช่ซื่อโข่ว แต่น่าเสียดาย คราวนี้ข้าไม่ได้ไปเห็นกับตา…”

จู่ๆ เสียงก็หยุดลง

ผ่านไปพักหนึ่งก็มีคนตะโกนขึ้นมา “ตามไปเร็ว ตามไปดูกันเถอะ”

ชาวบ้านที่เดิมทีมีเพียงความตื่นตะลึงสงสัยก็พลันรับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงรีบเรียกพรรคพวกแล้วเดินตามหลังหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไป

ระหว่างทางที่เดิน คนที่ผ่านไปมาก็ชี้ไม้ชี้มาเอ่ยถามกันและกัน

“นี่ทำอะไรกันหรือ”

“พวกเจ้าตามหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มนี้ทำไมหรือ”

ชาวเมืองในกลุ่มก็เอ่ยว่า “หัวแถวคือฆ้องเงินสวี่ จำไม่ได้หรือ พวกเจ้าตาไม่ดีกันแล้วนะ”

“อย่าพูดไร้สาระเลย พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่ตามไปดูก็พอแล้ว อย่าลืมล่ะว่าคราวก่อนฆ้องเงินสวี่ระดมผู้คนมากมายเช่นนี้ไปก็เพราะคดีสังหารล้างเมืองฉู่โจว”

ชาวเมืองที่ไม่เข้าใจต่างตะลึงจนหน้าถอดสี ดังนั้นจึงเข้าร่วมด้วย

เขตพระราชฐาน บนกำแพงเมือง

หน่วยองครักษ์ราชวัลลภคุ้มกันประตูทางใต้มองเห็นว่ามีฝูงชนมากมายอยู่ที่ถนนสายหลักอันกว้างขวาง เมื่อมองลงไปก็มีแต่ศีรษะมนุษย์

ผู้ที่เดินนำหน้าคือชายชุดคราม ด้านหลังมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลร้อยคน และสุดท้ายจึงเป็นชาวบ้านที่รวมตัวกันกระจัดกระจาย

กลุ่มคนมีเกือบพัน เมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยเช่นนี้ ประชาชนทั่วไปจึงเกียจคร้านและนอนตื่นสายเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็เริ่มหนาวขึ้น ในตอนนี้ครอบครัวที่ไม่ถูกชีวิตบีบคั้นให้ลำเค็ญจึงคงยังนอนหลับสนิทอยู่และม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ

ดังนั้น กลุ่มคนที่รวมตัวกันได้เกือบพันคนเหล่านี้ ในช่วงเวลาแบบนี้จึงเกิดขึ้นได้ยากเป็นพิเศษ

ไม่นานเหล่าหน่วยองครักษ์ราชวัลลภก็ไม่แยแสพวกชาวบ้าน พวกเขามองดูหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพักหนึ่ง และจดจ้องเขม็งไปที่ชายชุดครามตรงๆ

อดีตฆ้องเงินสวี่ชีอัน ที่เอวแขวนหัวคนเอาไว้

หน่วยองครักษ์ราชวัลลภที่ประตูเมืองทางใต้เอ่ยสั่งเสียงเข้ม “เตรียมปืนใหญ่และคันธนู ฟังคำสั่งข้า…”

เมื่อเผชิญหน้ากับดาวร้ายดวงนี้ ต่อให้ประเมินสูงยังไงก็ยังไม่พอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้สถานการณ์ราชสำนักยังตึงเครียด ราชสำนักต้องการลงโทษเว่ยเยวียน แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สวี่ชีอันก็ดันโผล่มาแบบไม่คิดให้ดี เพราะถ้าคิดดีคงไม่มาแน่

หัวหน้าหน่วยองครักษ์ราชวัลลภยืนอยู่บนกำแพงเมืองและตะโกนขึ้น “เขตพระราชฐานเป็นสถานที่สำคัญ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า”

“เจ้ากลับรู้ฐานะของข้าด้วย!”

จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับตกใจนิดหน่อย

‘วิ้ง!’

ดาบไท่ผิงปลดปล่อยปราณดาบสายแล้วสายเล่าออกมา ทำให้โต๊ะที่คลุมด้วยผ้าไหมสีเหลืองแตกขาดออกจากกัน ขั้นบันไดสีทองปรากฏเห็นเป็นรอยดาบ ปราณดาบสายหนึ่งฟันแผ่นทองแดงแปดทิศจนแตก

แผ่นทองแดงแปดทิศกลายเป็นปราณสีใสแสบตา ต่อจากนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งก็หายไปจากตำหนักกระดิ่งทองพร้อมกับดาบไท่ผิง

อาวุธเวทมนตร์ย้ายตำแหน่ง!

ฆ่าจักรพรรดิ มิใช่เพียงฆ่าหยวนจิ่ง แต่ยังหมายถึงเจินเต๋อ

เจินเต๋อคือยอดฝีมือหายนะ สวี่ชีอันนั้นก็อยู่ขั้นสาม การต่อสู้จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในเมืองหลวง

ไม่อย่างนั้น ชีวิตของชาวเมืองต้องถูกกำจัดราบแน่

สวี่ชีอันกวาดตามองขุนนางในท้องพระโรง สีหน้าของพวกเขาแข็งทื่อ แววตาฉายความสับสน

“จักรพรรดิไร้คุณธรรม ผู้แซ่สวี่จะตัดชีวิตเขาในวันนี้ พวกท่านทั้งหลายโปรดรอผลลัพธ์อย่างสงบอยู่ในท้องพระโรงให้ดี”

พูดจบเขาก็หยิบแผ่นทองแดงแปดทิศออกมาแล้วบีบจนแตก

ปราณใสครอบคลุมตัวเขา จากนั้นก็หายลับไป

จัตุรัสประตูอู่เกิดความโกลาหล เสียงแตรและเสียงกลองดังไปทั่วทั้งพระราชวัง ทหารรักษาพระองค์ชั้นในรีบแก่กันไปที่ประตูอู่ทันที

ฮว๋ายชิ่งอาศัยช่วงที่ทหารคุ้มกันอ่อนแอนำทหารรักษาพระองค์ตรงไปยังตำหนักจิ่งหยาง ที่ประทับของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

“ล้อมไว้!”

พระราชธิดาองค์โตผู้เย็นชาสูงส่งโบกมือ

ทหารรักษาพระองค์ที่มีพลังฝึกตนชั้นยอดยี่สิบนาย สามารถปราบทหารรักษาพระองค์นอกห้องบรรทมได้อย่างง่ายดาย

ฮว๋ายชิ่งหยิบกองกระดาษที่เขียนด้วยลายมือในอกเสื้อออกมาแล้วก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนชายกระโปรงพลิ้วไหว ก่อนเข้าไปในห้องบรรทมของจักรพรรดิหยวนจิ่งเพียงลำพัง

เมื่อข้ามผ่านธรณีประตูสูงมา ฮว๋ายชิ่งก็ตรงไปยังห้องทรงพระอักษร แต่แล้วกลับหยุดอย่างกะทันหันราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันหน้าเดินไปทางห้องบรรทม เห็นค่ายกลสลักเอาไว้บนพื้นพร้อมกับไข่มุกที่ลอยอยู่กลางอากาศ

นางเห็นมังกรทองดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด กำลังถูกดูดซับพลังออกไปทีละนิดๆ

‘มังกรทองใต้ดิน…เส้นเลือดมังกร? นี่คือแผนการของเสด็จพ่อหรือ? เขาคิดจะทำอะไร?’

เกิดความสงสัยมากมายขึ้นในใจของฮว๋ายชิ่ง นางกำลังคิดจะเข้าไปใกล้ก็เห็นลูกตาในไข่มูกหมุนจ้องมาที่นางอย่างมาดร้าย

เมื่อถูกจ้องมองด้วยตาข้างนี้ หัวใจของฮว๋ายชิ่งก็สั่นสะท้าน ขณะเดียวกัน สัญชาตญาณของจอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณผู้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีก็ร้องเตือนอย่างบ้าคลั่ง

ฮว๋ายชิ่งเป็นสตรีที่ฉลาดและเด็ดขาด นางหันกายกลับไปยังห้องทรงพระอักษรโดยไม่ลังเลแล้วเปิดอ่านจดหมายลายมือแต่ละฉบับบนโต๊ะ พร้อมทั้งประทับตราราชลัญจกรลงไป

เนื้อหาในจดหมายลายมือมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือคำสั่งปิดประตูเมือง ประเภทที่สองคือคำสั่งเคลื่อนพลทหารรักษาวัง

จดหมายลายมือถูกประทับตราด้วยตราประทับสำนักราชเลขาธิการแล้ว แค่ประทับตราราชลัญจกรของจักรพรรดิลงไป ก็จะสามารถปิดประตูทั้งหมดของเมืองหลวงและตรึงกองทัพที่อยู่ในเมืองหลวงไว้ในเมืองได้

ตอนนั้นสมาชิกพรรคฟ้าดินประชุมกันในหนังสือปฐพีและมีความเห็นพ้องต้องกันว่า การสังหารกษัตริย์จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดสองข้อนี้

หนึ่ง การต่อสู้ไม่อาจเกิดขึ้นในเมือง

สอง กองทัพทหารรักษาวังทั้งห้าที่จักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นผู้บัญชาการโดยตรงไม่อาจมาแทรกแซงการต่อสู้ได้

ทัพทหารรักษาวังทั้งห้าประกอบด้วยกองทัพควบคุมปืนใหญ่และหน้าไม้บุกเมืองและป้องกันเมือง กองทัพทหารม้าติดอาวุธอย่างดีและมีอานุภาพดุจเปลวไฟ กองทัพบุกทะลวงที่มีทหารม้าหนัก กองทัพร้อยศึกที่มีทหารราบหนัก รวมถึงทัพปรมาจารย์ฮวงจุ้ย

นี่คือกองทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้าฟ่ง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรบ อาวุธยุทโธปกรณ์ หรือว่ายอดฝีมือในกองทัพ ล้วนแต่อยู่ในชั้นยอดทั้งสิ้น

หากกองทัพนี้สามารถเคลื่อนพลออกมาได้ อย่าว่าแต่ภายในต้าฟ่งเลย ในทั่วทั้งจิ่วโจว กองทัพที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้ก็มีจำนวนน้อยนิดจนนับด้วยนิ้วได้

การมีอยู่ของพวกเขาก็เพื่อปกป้องเมืองหลวง เป็นการรับประกันว่าเมืองของอาณาจักรแห่งนี้จะไม่ถูกบุกยึด

เมื่อประทับตราเรียบร้อย ฮว๋ายชิ่งก็ออกมาจากตำหนักบรรทมแล้วเรียกทหารรักษาพระองค์มาสั่งว่า

“รีบไปที่ทัพทหารรักษาวัง แล้วนำจดหมายลายมือห้าฉบับนี้มอบให้กับผู้บัญชาการกองทัพ

“ส่วนจดหมายที่เหลือ ให้คนไปส่งในสำนักราชเลขาธิการ และมอบให้สมุหราชเลขาธิการหวาง”

นางออกคำสั่งอย่างมีระเบียบแบบแผน

……………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง