ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 482

สรุปบท บทที่ 482-2 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (2): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 482-2 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (2) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 482-2 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (2) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 482 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (2)

ณ ชานเมือง หนานย่วน

ค่ายกลที่สลักอยู่นอกป่าสว่างขึ้น จักรพรรดิหยวนจิ่งในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองปรากฏตัว ในมือของเขากุมดาบไท่ผิงเอาไว้และสังเกตรอบๆ ตัวด้วยความนิ่งสงบ

“หนานย่วน!”

เพียงแค่กวาดตามอง เขาก็รู้แล้วว่าที่นี่คือลานล่าสัตว์หลวง ผืนป่ากว้างใหญ่สองร้อยหกสิบลี้ ช่างเป็นที่ที่เหมาะกับการสู้รบเสียจริง

สายตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งเพ่งมองไปที่ที่หนึ่ง ประกายมุ่งร้ายล้ำลึกวนเวียนอยู่ในดวงตา เขาสะบัดมือขว้างดาบไท่ผิงออกไป

แสงสีใสส่องประกายวาบ ร่างของสวี่ชีอันปรากฏขึ้น ดาบไท่ผิงก็พุ่งออกมาพอดีราวกับเป็นเขาที่ขว้างดาบออกมาเอง

‘เคร้ง!’

ประกายแสงสีทองระเบิดวาบ ดาบไท่ผิงที่ถูกขว้างออกไปเข้ามาอยู่ในมือของเจ้าของด้วยความดีใจ

จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ หัวคิ้วก็ขมวดแน่น

“ขั้นสาม? ข้าเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าปราณโลหิตของเว่ยเยวียนในตอนนั้นถึงไม่เต็มขั้นสอง ที่แท้ก็มีแผนเผื่อไว้ จิ๊ หากมิใช่เพราะคุ้นเคยกับเขา ข้าต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเจ้าเป็นลูกนอกสมรสของเขา”

เขาที่แปดเปื้อนจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีย่อมไม่เก็บงำความริษยาของตน จิตชั่วร้ายกลายเป็นจิตสังหาร

ความริษยาคือหนึ่งในความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุดในนิสัยมนุษย์ จักรพรรดิองค์นี้ฝึกตนมายี่สิบปีจนเลื่อนขั้นจากมนุษย์ธรรมดาไปเป็นขั้นสองเพื่อหนีไฟกรรม และกลายเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในจิ่วโจว แต่ตอนนี้เขารู้สึกอิจฉาริษยาเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเทียบกับความอัปยศอดสูที่เขาต้องทนรับ อีกฝ่ายกลับดีเลิศไปเสียหมด ทั้งได้รับชื่อเสียงคุณงามความดี แม้แต่เว่ยเยวียนก็ยังยินดีปูทางให้กับเขา

แค่เพียงปีเดียว จากมดงานกระจอกๆ หนึ่งตัวกลับกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม

เขาเก็บดาบเข้าฝัก แล้วสั่งสมพลังพลางยิ้มเยาะ “หากข้าบอกเจ้าว่าฮว๋ายชิ่งกับองค์ชายสี่เป็นสายเลือดของเขา เจ้าจะเชื่อหรือไม่”

จักรพรรดิหยวนจิ่งชักสีหน้าแล้วเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ากำลังยั่วยุข้า”

แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงการตวัดแทงของสวี่ชีอัน

ประกายแสงอันน่าตื่นตะลึงฟาดฟันลงมา

ดาบไท่ผิง+ดาบเดียวตัดฟ้าดิน+กระบี่ใจ+เลี้ยงจิต+สิงโตคำรามสำนักพุทธ!

หยกสลาย!

เมื่อประกายดาบฟาดฟันออกมา เสียงสิงโตคำรามก้องสะเทือนหูก็ดังสะเทือนจิต

จักรพรรดิหยวนจิ่งสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของดาบเล่มนี้ ร่างกายจึงหายวับไปทันใดและเปล่งประกายวูบวาบด้วยความรวดเร็วยิ่ง ร่างสีเหลืองปรากฏขึ้นมาในพริบตาและหายไปในพริบตาเดียว แต่เขาก็ไม่อาจหลบดาบเล่มนี้พ้นได้

เขายื่นมือออกไป ฝ่ามือที่มีแสงสีทองและสีดำสนิทพัวพันอยู่จับเข้าที่ประกายดาบเอาไว้แน่น

‘ชิ้ง…’

ท่ามกลางเสียงพลังปราณที่ถูกปล่อยเข้ามาหลอมละลาย ประกายแสงนั้นก็ถูกทำลายล้างลงไป

เทพเจ้าหยางแห่งลัทธิเต๋าได้รับสมญานามว่าเป็นร่างธรรมอมตะ ซึ่งเป็นระดับที่พัฒนาจนหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกรายได้แล้ว

และทันทีที่ก้าวเข้าสู่ระดับเทพขั้นหนึ่ง เทพเจ้าหยางก็จะหลอมรวมกับกายเนื้อ จนถึงขั้นสามารถต่อสู้ตัวต่อตัวกับจอมยุทธ์ได้

แต่แน่นอนว่า พลังต่อสู้และความทนทานย่อมสู้จอมยุทธ์ไม่ได้แน่

สวี่ชีอันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้วฟันดาบลงมา เขาไม่ได้คาดหวังว่า ‘จิต’ ของขั้นสี่จะสามารถทำอันตรายยอดฝีมือระดับหนีเคราะห์กรรมขั้นสองได้หรอก

จิต ก็ต้องมีการฝึกฝน

จิตแห่งจอมยุทธ์จะพัฒนาได้ก็ต่อเมื่อไปถึงขั้นสอง เพราะขั้นสามคือร่างอมตะ จึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจิตแห่งขั้นสี่

เฉกเช่นขั้นสี่ของลัทธิขงจื๊อที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับขั้นสามในสายเดียวกัน

สิ่งที่สวี่ชีอันต้องการก็คือการใช้ดาบนี้ทำให้ระยะของทั้งสองฝ่ายสั้นลงแล้วจัดการคู่ต่อสู้แบบรัวกระบวนท่า

จักรพรรดิหยวนจิ่งพลันเงยหน้าแล้วร้องคำรามไร้เสียง

จากนั้นสมองของสวี่ชีอันสั่นสะเทือนจนเกิดอาการมึนหัวตาลาย ภายในรัศมีหลายสิบลี้รอบๆ สัตว์เล็กอย่างแมลงและสัตว์ใหญ่อย่างกวางผาหรือหมูป่าล้วนสิ้นลมกันไปทีละตัวๆ โดยที่ร่างกายไร้ซึ่งบาดแผล

เมื่อจับช่องว่างในช่วงที่จิตเดิมของเขาตื่นตกใจได้ ประกายแสงหลายสายก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

กระจกส่องเทพคว้าจิตเดิมของอีกฝ่ายเอาไว้ได้และเริ่มการควบคุม

ยันต์เรียกวิญญาณชะล้างเงาแสงออกไปและทำลายจิตเดิม

ตะปูกินวิญญาณสามชิ้นถูกยิงออกมา มันสามารถทะลวงผ่านจุดปราณแต่ละจุดบนศีรษะของอีกฝ่ายได้ แต่ในเมื่อเขาอยู่ภายใต้ร่างของจอมยุทธ์ พวกมันก็ได้แต่ต้องกระเด็นออกไป

แหวนทองแดงสองวงจับอยู่บนข้อมือสองข้างของสวี่ชีอันแน่น

ลัทธิเต๋าขั้นเจ็ดมีชื่อว่าสังเวยปราณ ซึ่งสามารถขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์รวมไปถึงกระบี่บินได้ เมื่อมาถึงระดับอย่างจักรพรรดิหยวนจิ่ง การขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์หลายชิ้นในครั้งเดียวจึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง

นอกจากนั้น ลัทธิเต๋ายังเป็นหนึ่งในไม่กี่สายการฝึกตนนอกจากพวกโหรที่สามารถควบคุมอาวุธเวทมนตร์ได้ เพียงแต่ไม่เก่งกาจเท่ากับโหรที่สามารถเพิ่มความสามารถให้อาวุธเวทมนตร์ได้แทบจะทุกชนิด

จักรพรรดิหยวนจิ่งขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์เพื่อโจมตีพลางเอ่ยเรียกชิงเฟิงออกมา ดาบหนึ่งเล่มปรากฏขึ้น ประกายแสงเจิดจรัสปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน

เขาฝึกสายนิกายมนุษย์และถึงจะเป็นขั้นสองเหมือนกับลั่วอวี้เหิง แต่พลังการต่อสู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วอวี้เหิงเลย

ในบรรดาลัทธิเต๋าสามสำนักนั้น นิกายมนุษย์เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ที่สุด

แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ เมื่อพูดถึงพลังโจมตี ฝีมือดาบของนิกายมนุษย์ก็ยังโดดเด่นที่สุดอยู่ดี พวกเขาเชี่ยวชาญการในหักโค่นกระดูกเหล็กผิวทองแดงของจอมยุทธ์มาก

เพราะมีประกายแสงของดาบนี้ พลังเทพวชิระจึงยืนหยัดอยู่ได้ไม่กี่อึดใจก็ไม่อาจควบคุมไหวแล้ว หนึ่งดาบจึงแทงทะลุเข้ามา

เสือดสีแดงเข้มสาดอยู่บนหลังของสวี่ชีอัน

จักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุ้นปราณกระบี่ออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วทำลายปราณชีวิตของขั้นสามที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาได้ผู้นี้ ประกายในแววตาสาดความมุ่งร้ายของเต๋ามารนิกายปฐพีออกมาแล้วหัวเราะเยาะอย่างโฉดชั่ว

“เพิ่งเข้าสู่ขั้นสาม คู่ควรมาต่อสู้กับข้าด้วยหรือ”

เขาก้าวสู่ขั้นสองมาหลายปีและฝึกตนด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่มีในอาณาจักร แล้วเจ้าเด็กที่เพิ่งก้าวสู่ขั้นสามได้ผู้นี้จะมาแข่งขันกับเขาได้อย่างไร

“จับเจ้าได้แล้ว”

สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มกระหยิ่มที่ใช้อุบายสำเร็จ เขาตะโกนลั่นว่า “เสินซู!”

กลิ่นอายล้ำลึกสุดหยั่งที่น่าเกรงขามและแสนสะพรึงฟื้นตื่นขึ้นมาภายในร่างของสวี่ชีอัน

ที่หว่างคิ้วปรากฏอักขระเวทราวกับเปลวเพลิงขึ้นมา สีผิวถูกย้อมเป็นสีดำสนิทอย่างรวดเร็ว หลังศีรษะพลันปรากฏวงแสงที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงชัชวาล

กลิ่นอายของสวี่ชีอันระเบิดพล่าน จากระดับต้นของขั้นสามก็พุ่งไปยังจุดสูงสุดของขั้นสามในชั่วพริบตา

นี่ยังไม่ใช่พลังของเสินซูเดี่ยวๆ แต่เป็นพลังของทั้งสองคนรวมกัน

‘ปัง!’

อาวุธเวทมนตร์กระจกทองแดงระเบิดลั่น

ยันต์เรียกวิญญาณระเบิดลั่น

แหวนทองแดงระเบิดลั่น

“ข้าเป็นคนนำ!” สวี่ชีอันกล่าว

ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงอย่างแท้จริงแล้ว จึงมีความสามารถในการควบคุมและสามารถสังหารยอดฝีมือของสายการฝึกตนอื่นๆ ติดต่อกันได้โดยไม่จำเป็นต้องให้เสินซูเป็นผู้นำ

“ได้!”

ในร่างของเขา เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำของเสินซูดังขึ้นมา

เสินซูถูกบังคับให้ตื่นขึ้น ส่วนผู้ที่สามารถเรียกจอมพลังชั้นยอดสุดให้ตื่นจากการหลับใหลได้ก็ย่อมมีแต่จอมพลังชั้นยอดสุดอีกคนเท่านั้น

หลังจากฟื้นขึ้นมาวันนั้น สวี่ชีอันก็เอ่ยร้องขอท่านโหราจารย์หนึ่งอย่าง นั่นก็คือการให้ช่วยเขาปลุกเสินซู

แต่ท่านโหราจารย์ในตอนนั้นได้ปฏิเสธไปโดยไม่ได้บอกเหตุผล เพียงบอกให้เขาไปที่สำนักอวิ๋นลู่สักเที่ยวก่อน

สวี่ชีอันไม่รู้จักเส้นเลือดมังกรนัก แต่รู้จักโชคชะตา หลังจากต้าฟ่งสูญเสียโชคชะตาไปครึ่งหนึ่ง พลังอาณาจักรในช่วงหลายปีนี้จึงถดถอยลงเรื่อยๆ หากตรงนี้ไม่แห้งแล้ง ตรงนั้นก็เกิดน้ำท่วม

ทุกปีไม่มีหยุด

ส่วนตนที่ได้รับโชคชะตามา ตลอดทางเขาสามารถเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นโชคดีได้ ทั้งได้พบกับการผจญภัยมากมายและเลื่อนขั้นถึงขั้นสามได้ในปีเดียว ดูเผินๆ เหมือนจะได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่หลายคน แต่ความจริงแล้วร่างกายนี้มีโชคชะตาติดตัวอยู่ต่างหาก

หากเส้นเลือดมังกรถูกสำนักพ่อมดชิงไป ผลจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคิดก็รู้

“เว่ยเยวียนจำเป็นต้องตาย หากเขายังมีชีวิตอยู่ วันนี้คนที่ข้าต้องเผชิญหน้าด้วยก็จะเป็นเขา พลังต่อสู้ของจอมยุทธ์ขั้นสองมากกว่าเจ้าหลายเท่าตัวนัก”

จักรพรรดิเจินเต๋อกลืนกินไอวิญญาณต่อ การโจมตีที่ระเบิดขึ้นมาเมื่อครู่ทำให้เขาบาดเจ็บเป็นอย่างมาก

“เว่ยเยวียนคือยอดอัจฉริยะที่แทบไม่เคยเจอในหลายร้อยปี หากเขาไม่ตาย ซ่าหลุนอากู่ก็ไม่อาจกินนอนได้อย่างสบายใจ แม้ว่าสำนักพ่อมดจะควบคุมเส้นเลือดมังกรได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเข้าสู่ที่ราบภาคกลางได้ง่ายๆ แน่นอนว่าที่ข้าสังหารเว่ยเยวียนยังมีเหตุผลอยู่สามอย่าง อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง จริงสิ ตอนทรงราชกิจข้าได้เปิดใช้ค่ายกลเพื่อถอดเส้นเลือดมังกรแล้ว เจ้าไม่รีบกลับไปขัดขวางหรือ? ข้าไม่ถือสาที่จะไปสู้ในเมืองหรอกนะ”

แต่ข้าถือ…เรื่องเหล่านี้เว่ยกงคงคาดเดาไว้ได้แล้วใช่หรือไม่ ตอนไปเมืองจิ้งซาน สำนักพ่อมดก็หาวิธีมาจัดการเหมือนกัน แต่เว่ยกงไม่ได้เลือก หากนั่งดูเทพดูหลุดออกมาจากผนึกเฉยๆ ต่อให้เว่ยกงมีความสามารถด้านการนำทัพสูงแค่ไหน แต่ก็สู้ขั้นเหนือระดับไม่ได้หรอก…สวี่ชีอันเอ่ยถาม

“เจ้าคิดจะชิงเส้นเลือดมังกรไป แล้วท่านโหราจารย์เห็นด้วยหรือ”

ในฐานะที่เป็นโหรขั้นหนึ่ง ไม่มีใครเข้าใจโชคชะตาไปมากกว่าเขาอีกแล้ว จักรพรรดิเจินเต๋อคิดจะฉกชิงเส้นเลือดมังกรไปภายใต้สายตาของท่านโหราจารย์ ก็เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น

แม้ว่าท่านโหราจารย์จะไม่อาจสังหารเจินเต๋อได้ แต่เขาก็สามารถหยุดการฉกชิงเส้นเลือดมังกรได้

จักรพรรดิเจินเต๋อหัวเราะลั่น “ท่านโหราจารย์คือศัตรูตัวฉกาจในแผนการอมตะของข้า หากไม่หาวิธีไปรั้งเขาไว้ แล้วข้าจะชิงเส้นเลือดมังกรได้อย่างไรเล่า”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น

อารามรัตนะ

ลั่วอวี้เหิงเดินออกมาจากห้องสงบใจและไปยังลานเล็ก ก่อนจะยื่นมือขาวสล้างออกมาบนสระเล็กๆ

ดาบเหล็กขึ้นสนิมหนึ่งเล่มทะลวงผิวน้ำขึ้นมาแล้วเข้ามาสู่มือของนาง

ลั่วอวี้เหิงกระโดดตัวขึ้นไปแล้วหายไปจากกลางลานนั้น

ณ หอดูดาว

เกิดความผันผวนขึ้นในความว่างเปล่า เงาร่างที่สวมเสื้อคลุมพ่อมดก้าวออกมาจากความว่างเปล่านั้น

เขาคือชายชราผู้ถือแส้แกะอยู่ในมือ มีเคราสีขาวโพลน แววตาสงบนิ่ง แม้จะเป็นผู้อาวุโสที่ดูไม่ต่างอะไรกับชายชราทั่วไปคนหนึ่ง ทว่าการปรากฏตัวของเขาก็ทำให้ท้องฟ้าเหนือหอดูดาวเต็มไปด้วยเมฆทะมึน

เมฆดำลอยล่องอยู่ใกล้กับหอดูดาวเป็นอย่างมาก ใกล้จะเหมือนกับอยู่เหนือศีรษะ สายฟ้าสว่างวาบเคลื่อนไปมาอยู่ระหว่างชั้นเมฆ

ชั่วขณะที่ชายชราปรากฏตัวขึ้น แท่นแปดทิศก็มีลวดลายอักขระค่ายกลส่องสว่างขึ้นมาและเริ่มการสังหารเขา

ทว่าชายชราราวกับไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าการโจมตีใดๆ ล้วนไม่มีผลต่อเขาทั้งนั้น

“ศิษย์หลาน หากเจ้ามีพลังการทำลายอย่างเว่ยเยวียน อาจารย์ปู่อย่างข้าจะจากไปเดี๋ยวนี้เลย” ซ่าหลุนอากู่ยิ้มพราย

ท่านโหราจารย์ยกแก้วสุราขึ้นจิบเบาๆ

“พลังอาณาจักรของต้าฟ่งอ่อนแอมาจนถึงวันนี้ เจ้ายังจะมีพลังอยู่สักเท่าไหร่กัน” ซ่าหลุนอากู่นั่งลงบนโต๊ะ

ท่านโหราจารย์ยิ้มเย็น “โหรใช้สมอง จอมยุทธ์ต่างหากที่ใช้แต่กำลังอันหยาบคาย”

ขณะที่กล่าว บนโต๊ะก็มีกระดานหมากรุกปรากฏขึ้นมา

“เล่นสักตาเถิด”

“ใช้หมากตัดสินแพ้ชนะ?”

ท่านโหราจารย์เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ใช่ หากจบตานี้ เรื่องทุกอย่างก็จบแล้ว”

………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง