บทที่ 482 ความโกรธของคนผู้หนึ่ง (2)
ณ ชานเมือง หนานย่วน
ค่ายกลที่สลักอยู่นอกป่าสว่างขึ้น จักรพรรดิหยวนจิ่งในชุดฉลองพระองค์สีเหลืองปรากฏตัว ในมือของเขากุมดาบไท่ผิงเอาไว้และสังเกตรอบๆ ตัวด้วยความนิ่งสงบ
“หนานย่วน!”
เพียงแค่กวาดตามอง เขาก็รู้แล้วว่าที่นี่คือลานล่าสัตว์หลวง ผืนป่ากว้างใหญ่สองร้อยหกสิบลี้ ช่างเป็นที่ที่เหมาะกับการสู้รบเสียจริง
สายตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งเพ่งมองไปที่ที่หนึ่ง ประกายมุ่งร้ายล้ำลึกวนเวียนอยู่ในดวงตา เขาสะบัดมือขว้างดาบไท่ผิงออกไป
แสงสีใสส่องประกายวาบ ร่างของสวี่ชีอันปรากฏขึ้น ดาบไท่ผิงก็พุ่งออกมาพอดีราวกับเป็นเขาที่ขว้างดาบออกมาเอง
‘เคร้ง!’
ประกายแสงสีทองระเบิดวาบ ดาบไท่ผิงที่ถูกขว้างออกไปเข้ามาอยู่ในมือของเจ้าของด้วยความดีใจ
จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ หัวคิ้วก็ขมวดแน่น
“ขั้นสาม? ข้าเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าปราณโลหิตของเว่ยเยวียนในตอนนั้นถึงไม่เต็มขั้นสอง ที่แท้ก็มีแผนเผื่อไว้ จิ๊ หากมิใช่เพราะคุ้นเคยกับเขา ข้าต้องสงสัยแน่ๆ ว่าเจ้าเป็นลูกนอกสมรสของเขา”
เขาที่แปดเปื้อนจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีย่อมไม่เก็บงำความริษยาของตน จิตชั่วร้ายกลายเป็นจิตสังหาร
ความริษยาคือหนึ่งในความรู้สึกที่เลวร้ายที่สุดในนิสัยมนุษย์ จักรพรรดิองค์นี้ฝึกตนมายี่สิบปีจนเลื่อนขั้นจากมนุษย์ธรรมดาไปเป็นขั้นสองเพื่อหนีไฟกรรม และกลายเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในจิ่วโจว แต่ตอนนี้เขารู้สึกอิจฉาริษยาเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเทียบกับความอัปยศอดสูที่เขาต้องทนรับ อีกฝ่ายกลับดีเลิศไปเสียหมด ทั้งได้รับชื่อเสียงคุณงามความดี แม้แต่เว่ยเยวียนก็ยังยินดีปูทางให้กับเขา
แค่เพียงปีเดียว จากมดงานกระจอกๆ หนึ่งตัวกลับกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม
เขาเก็บดาบเข้าฝัก แล้วสั่งสมพลังพลางยิ้มเยาะ “หากข้าบอกเจ้าว่าฮว๋ายชิ่งกับองค์ชายสี่เป็นสายเลือดของเขา เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
จักรพรรดิหยวนจิ่งชักสีหน้าแล้วเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ากำลังยั่วยุข้า”
แต่สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงการตวัดแทงของสวี่ชีอัน
ประกายแสงอันน่าตื่นตะลึงฟาดฟันลงมา
ดาบไท่ผิง+ดาบเดียวตัดฟ้าดิน+กระบี่ใจ+เลี้ยงจิต+สิงโตคำรามสำนักพุทธ!
หยกสลาย!
เมื่อประกายดาบฟาดฟันออกมา เสียงสิงโตคำรามก้องสะเทือนหูก็ดังสะเทือนจิต
จักรพรรดิหยวนจิ่งสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของดาบเล่มนี้ ร่างกายจึงหายวับไปทันใดและเปล่งประกายวูบวาบด้วยความรวดเร็วยิ่ง ร่างสีเหลืองปรากฏขึ้นมาในพริบตาและหายไปในพริบตาเดียว แต่เขาก็ไม่อาจหลบดาบเล่มนี้พ้นได้
เขายื่นมือออกไป ฝ่ามือที่มีแสงสีทองและสีดำสนิทพัวพันอยู่จับเข้าที่ประกายดาบเอาไว้แน่น
‘ชิ้ง…’
ท่ามกลางเสียงพลังปราณที่ถูกปล่อยเข้ามาหลอมละลาย ประกายแสงนั้นก็ถูกทำลายล้างลงไป
เทพเจ้าหยางแห่งลัทธิเต๋าได้รับสมญานามว่าเป็นร่างธรรมอมตะ ซึ่งเป็นระดับที่พัฒนาจนหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกรายได้แล้ว
และทันทีที่ก้าวเข้าสู่ระดับเทพขั้นหนึ่ง เทพเจ้าหยางก็จะหลอมรวมกับกายเนื้อ จนถึงขั้นสามารถต่อสู้ตัวต่อตัวกับจอมยุทธ์ได้
แต่แน่นอนว่า พลังต่อสู้และความทนทานย่อมสู้จอมยุทธ์ไม่ได้แน่
สวี่ชีอันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้วฟันดาบลงมา เขาไม่ได้คาดหวังว่า ‘จิต’ ของขั้นสี่จะสามารถทำอันตรายยอดฝีมือระดับหนีเคราะห์กรรมขั้นสองได้หรอก
จิต ก็ต้องมีการฝึกฝน
จิตแห่งจอมยุทธ์จะพัฒนาได้ก็ต่อเมื่อไปถึงขั้นสอง เพราะขั้นสามคือร่างอมตะ จึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจิตแห่งขั้นสี่
เฉกเช่นขั้นสี่ของลัทธิขงจื๊อที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับขั้นสามในสายเดียวกัน
สิ่งที่สวี่ชีอันต้องการก็คือการใช้ดาบนี้ทำให้ระยะของทั้งสองฝ่ายสั้นลงแล้วจัดการคู่ต่อสู้แบบรัวกระบวนท่า
จักรพรรดิหยวนจิ่งพลันเงยหน้าแล้วร้องคำรามไร้เสียง
จากนั้นสมองของสวี่ชีอันสั่นสะเทือนจนเกิดอาการมึนหัวตาลาย ภายในรัศมีหลายสิบลี้รอบๆ สัตว์เล็กอย่างแมลงและสัตว์ใหญ่อย่างกวางผาหรือหมูป่าล้วนสิ้นลมกันไปทีละตัวๆ โดยที่ร่างกายไร้ซึ่งบาดแผล
เมื่อจับช่องว่างในช่วงที่จิตเดิมของเขาตื่นตกใจได้ ประกายแสงหลายสายก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
กระจกส่องเทพคว้าจิตเดิมของอีกฝ่ายเอาไว้ได้และเริ่มการควบคุม
ยันต์เรียกวิญญาณชะล้างเงาแสงออกไปและทำลายจิตเดิม
ตะปูกินวิญญาณสามชิ้นถูกยิงออกมา มันสามารถทะลวงผ่านจุดปราณแต่ละจุดบนศีรษะของอีกฝ่ายได้ แต่ในเมื่อเขาอยู่ภายใต้ร่างของจอมยุทธ์ พวกมันก็ได้แต่ต้องกระเด็นออกไป
แหวนทองแดงสองวงจับอยู่บนข้อมือสองข้างของสวี่ชีอันแน่น
ลัทธิเต๋าขั้นเจ็ดมีชื่อว่าสังเวยปราณ ซึ่งสามารถขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์รวมไปถึงกระบี่บินได้ เมื่อมาถึงระดับอย่างจักรพรรดิหยวนจิ่ง การขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์หลายชิ้นในครั้งเดียวจึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
นอกจากนั้น ลัทธิเต๋ายังเป็นหนึ่งในไม่กี่สายการฝึกตนนอกจากพวกโหรที่สามารถควบคุมอาวุธเวทมนตร์ได้ เพียงแต่ไม่เก่งกาจเท่ากับโหรที่สามารถเพิ่มความสามารถให้อาวุธเวทมนตร์ได้แทบจะทุกชนิด
จักรพรรดิหยวนจิ่งขับเคลื่อนอาวุธเวทมนตร์เพื่อโจมตีพลางเอ่ยเรียกชิงเฟิงออกมา ดาบหนึ่งเล่มปรากฏขึ้น ประกายแสงเจิดจรัสปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
เขาฝึกสายนิกายมนุษย์และถึงจะเป็นขั้นสองเหมือนกับลั่วอวี้เหิง แต่พลังการต่อสู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วอวี้เหิงเลย
ในบรรดาลัทธิเต๋าสามสำนักนั้น นิกายมนุษย์เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ที่สุด
แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ เมื่อพูดถึงพลังโจมตี ฝีมือดาบของนิกายมนุษย์ก็ยังโดดเด่นที่สุดอยู่ดี พวกเขาเชี่ยวชาญการในหักโค่นกระดูกเหล็กผิวทองแดงของจอมยุทธ์มาก
เพราะมีประกายแสงของดาบนี้ พลังเทพวชิระจึงยืนหยัดอยู่ได้ไม่กี่อึดใจก็ไม่อาจควบคุมไหวแล้ว หนึ่งดาบจึงแทงทะลุเข้ามา
เสือดสีแดงเข้มสาดอยู่บนหลังของสวี่ชีอัน
จักรพรรดิหยวนจิ่งกระตุ้นปราณกระบี่ออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้วทำลายปราณชีวิตของขั้นสามที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาได้ผู้นี้ ประกายในแววตาสาดความมุ่งร้ายของเต๋ามารนิกายปฐพีออกมาแล้วหัวเราะเยาะอย่างโฉดชั่ว
“เพิ่งเข้าสู่ขั้นสาม คู่ควรมาต่อสู้กับข้าด้วยหรือ”
เขาก้าวสู่ขั้นสองมาหลายปีและฝึกตนด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่มีในอาณาจักร แล้วเจ้าเด็กที่เพิ่งก้าวสู่ขั้นสามได้ผู้นี้จะมาแข่งขันกับเขาได้อย่างไร
“จับเจ้าได้แล้ว”
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มกระหยิ่มที่ใช้อุบายสำเร็จ เขาตะโกนลั่นว่า “เสินซู!”
กลิ่นอายล้ำลึกสุดหยั่งที่น่าเกรงขามและแสนสะพรึงฟื้นตื่นขึ้นมาภายในร่างของสวี่ชีอัน
ที่หว่างคิ้วปรากฏอักขระเวทราวกับเปลวเพลิงขึ้นมา สีผิวถูกย้อมเป็นสีดำสนิทอย่างรวดเร็ว หลังศีรษะพลันปรากฏวงแสงที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงชัชวาล
กลิ่นอายของสวี่ชีอันระเบิดพล่าน จากระดับต้นของขั้นสามก็พุ่งไปยังจุดสูงสุดของขั้นสามในชั่วพริบตา
นี่ยังไม่ใช่พลังของเสินซูเดี่ยวๆ แต่เป็นพลังของทั้งสองคนรวมกัน
‘ปัง!’
อาวุธเวทมนตร์กระจกทองแดงระเบิดลั่น
ยันต์เรียกวิญญาณระเบิดลั่น
แหวนทองแดงระเบิดลั่น
“ข้าเป็นคนนำ!” สวี่ชีอันกล่าว
ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงอย่างแท้จริงแล้ว จึงมีความสามารถในการควบคุมและสามารถสังหารยอดฝีมือของสายการฝึกตนอื่นๆ ติดต่อกันได้โดยไม่จำเป็นต้องให้เสินซูเป็นผู้นำ
“ได้!”
ในร่างของเขา เสียงแหบพร่าทุ้มต่ำของเสินซูดังขึ้นมา
เสินซูถูกบังคับให้ตื่นขึ้น ส่วนผู้ที่สามารถเรียกจอมพลังชั้นยอดสุดให้ตื่นจากการหลับใหลได้ก็ย่อมมีแต่จอมพลังชั้นยอดสุดอีกคนเท่านั้น
หลังจากฟื้นขึ้นมาวันนั้น สวี่ชีอันก็เอ่ยร้องขอท่านโหราจารย์หนึ่งอย่าง นั่นก็คือการให้ช่วยเขาปลุกเสินซู
แต่ท่านโหราจารย์ในตอนนั้นได้ปฏิเสธไปโดยไม่ได้บอกเหตุผล เพียงบอกให้เขาไปที่สำนักอวิ๋นลู่สักเที่ยวก่อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง