บทที่ 483 ต่างคนต่างสู้ (1)
ซ่าหลุนอากู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ก่อนที่อาจารย์ของเจ้าจะเลิกติดตามองค์จักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่ง ก็มักจะเล่นหมากรุกกับข้าอยู่บ่อยครั้ง พวกเราเปรียบโลกมนุษย์เป็นกระดานและให้สรรพสิ่งเป็นตัวหมาก ในบางครั้งเราต้องใช้เวลาเป็นสิบปีกว่าจะบรรลุผลลัพธ์”
เขาหวดแส้หนังเบาๆ ‘เปรี๊ยะ…’ เกิดเสียงตามรอยร้าวตามพื้นผิวแท่นแปดทิศ
“ถ้าอย่างนั้นหมากรุกตานี้เราต้องตั้งใจเดินให้ดี หมากตัวนี้ชื่อเว่ยเยวียน”
ท่านโหราจารย์ยกจอกสุราจิบก่อนพึมพำคำหนึ่ง จากนั้นร่างกายของซ่าหลุนอากู่ก็บิดเบี้ยวคล้ายกับคลื่นสมอง กระทั่งผ่านไปสักพักถึงได้คืนสภาพเดิม
เมืองจิ้งซานที่อยู่ห่างออกไปซึ่งกำลังซ่อมแซมบูรณะใหม่ จู่ๆ ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนเสมือนแผ่นดินไหว วังหลวงที่สร้างขึ้นใหม่พังทลายลง พื้นดินโดยรอบแตกร้าวเป็นร่องลึกยาวนับสิบจั้ง[1]
“บังเอิญเสียจริงที่หมากตัวนี้ของข้าก็ชื่อเว่ยเยวียน”
ซ่าหลุนอากู่ตวัดแส้หนังหวดตัวหมากลงไปเรียงอยู่บนกระดาน
ท่ามกลางมวลเมฆจับกลุ่มกันหนาทึบปกคลุมท้องฟ้าเหนือหอสังเกตการณ์ ทันใดนั้นสายฟ้าขนาดเท่าถังน้ำผ่าลงมา ทว่าไม่ได้ผ่าโดนร่างท่านโหราจารย์ มันฟาดลงมาเพียงครึ่งก่อนจะเลือนหายไปราวกับถูกส่งไปยังอีกห้วงมิติหนึ่ง
“อยู่ในเขตต้าฟ่งแต่มาหาเรื่องข้า ช่างเลินเล่อ”
ท่านโหราจารย์พยักหน้าเล็กน้อย พลางหยิบจอกสุราจิบแล้ววางลงอย่างไม่รีบร้อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลีลาการเล่นที่มั่นอกมั่นใจและวางแผนรัดกุมนั้นคล้ายคลึงกับท่านอาจารย์อย่างมาก ที่แท้เขาก็เรียนมาจากท่านนี่เอง แต่ไม่รู้ว่าการเป็นคนดื้อรั้นชอบทำอะไรวู่วามแบบนั้นสืบทอดมาจากท่านหรือไม่… ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์!”
สิ้นคำเรียกไพ่ตายใบนี้ว่า ‘ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์’ หยาดโลหิตสีแดงฉานไหลซึมออกมาจากเสื้อคลุมพ่อมดของซ่าหลุนอากู่ก่อนหายวับไป
ขณะเดียวกันคังกั๋วอันไกลโพ้นก็บังเกิดคลื่นสึนามิขนาดมหึมาถล่ม
สีหน้าของซ่าหลุนอากู่ซีดเซียวลงพลางกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
“ในความคิดข้า แม้ว่าเขาจะหุนหันพลันแล่น แม้ว่าเขาจะทรยศต่อสำนักพ่อมด ก็ยังดีกว่าเจ้าที่ฆ่าอาจารย์ของตัวเอง ในช่วงที่เขาดูแลต้าฟ่ง ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาต้องต่อสู้กับสำนักพ่อมด… เทพพ่อมด!”
แส้หนังตวัดตัวหมากรุกลงไปเดินบนกระดานจนเกิดเสียงกระทบกัน
ท่านโหราจารย์ไม่สะทกสะท้าน กลับกันเขาเพียงรินสุราใส่จอกขณะเกิดเมฆอึมครึมขึ้นเหนือศีรษะ
ในดินแดนต้าฟ่ง ตราบใดที่ต้าฟ่งยังไม่ล่มสลาย เขาก็ยังคงไม่มีวันดับสูญ
ท่านโหราจารย์เหล่มองแล้วกล่าวว่า
“ครั้นเมื่อจักรพรรดิอู่จงก่อกบฏท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบบังคับ ห้าร้อยปีก่อนพวกขุนนางกังฉินจ้องแต่แสวงหาผลประโยชน์ ทำให้เหล่าขุนนางเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ระรานราษฎร ประชาชนจึงเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่ท่านอาจารย์เชื่อว่าการให้เวลาต้าฟ่งนั้น จะช่วยขจัดภัยเรื้อรัง อีกทั้งฟื้นฟูความโปร่งใสของเหล่าขุนนาง
“แต่ข้ากลับรู้สึกว่าหากไม่มีการล้างบาง ย่อมไม่เกิดการสร้างสิ่งใหม่ ต้าฟ่งต้องเกิดใหม่จากเถ้าธุลี[2] ในภายหลังข้าจึงชนะ บ้านเมืองสงบรุ่งเรืองตลอดห้าร้อยปีนี้ถือเป็นสินน้ำใจที่ข้ามอบให้แก่เขาอย่างดีที่สุด”
ซ่าหลุนอากู่เดินช้าๆ ไปยังแท่นแปดทิศแล้วมองลงไปที่เมืองหลวง แล้วเอ่ยถาม “ต้าฟ่งครานี้ คล้ายคลึงกับเมื่อห้าร้อยปีก่อนอย่างไร”
ท่านโหราจารย์ตอบ “ไม่สามารถสร้างสิ่งใหม่ได้ โดยไม่ทำลายสิ่งเก่า”
หลังจากผ่านไปห้าร้อยปี ข้ายังคงเป็นโหราจารย์อย่างที่เคยเป็น โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
…
“ซ่าหลุนอากู่?”
สวี่ชีอันนึกขึ้นได้ฉับพลัน พลางเอ่ยชื่อผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักพ่อมด
มีเพียงขุนนางขั้นสูงสุดเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเบื้องบนได้
สำนักพ่อมดวางแผนยึดครองเส้นเลือดมังกร คิดจะผนวกดินแดนศูนย์กลางเข้าสู่อาณาเขตประเทศ แล้วจึงเปลี่ยนต้าฟ่งให้กลายเป็นประเทศที่ควบคุมด้วยสำนักพ่อมด
ถ้าอย่างนั้น ซ่าหลุนอากู่จะพลาด ‘งานสำคัญ’ ในวันนี้ได้อย่างไร
มิน่าเล่า จักรพรรดิเจินเต๋อถึงไม่เกรงกลัว
“ไม่ใช่คนโง่เขลาจริงด้วย!”
จักรพรรดิเจินเต๋อแสยะยิ้มด้วยท่าทีลำพอง
ดูท่าเขาจะควบคุมตนเองได้ยาก? ไม่ ไม่ใช่ควบคุมได้ยาก แต่เขาไม่คิดที่จะควบคุมตนเองด้วยซ้ำ ยอดฝีมือลัทธิเต๋าผู้ที่มีจิตมารพัวพันย่อมเอิกเกริก ออกจะแปลกไปเสียหน่อยหากต้องสงวนทีท่า…
ความคิดของสวี่ชีอันพลันเปลี่ยนไป เขาอาจใช้ประโยชน์จากการที่จักรพรรดิเจินเต๋อตกสู่ทางมารได้อยู่บ้าง?
“นี่ ตอนนั้นที่ข้าสังหารอ๋องสยบแดนเหนือได้ สาแก่ใจข้านัก อ้อ ข้าลืมไปว่านั่นก็คือเจ้า คู่ต่อสู้ผู้ที่แพ้ให้แก่ข้าเท่านั้น ตอนอยู่ฉู่โจว ข้าก็ทำให้เจ้าต้องร้องขอความเมตตา ในวันนี้ข้าก็เอาเลือดหัวหมาอย่างเจ้าออกได้เช่นกัน”
สวี่ชีอันพยายามอย่างยิ่งที่จะวางมาดยโสโอหัง
เป็นอย่างที่คาดไว้ ใบหน้าของจักรพรรดิเจินเต๋อกระตุกเล็กน้อย แววตาวาวโรจน์ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่เขาจะเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ แล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า
“ฝีมือต่ำต้อยเยี่ยงเจ้า คงอาศัยเพียงคำพูดไม่กี่คำยั่วโทสะข้า?”
‘ไอ้สารเลว ไม่ช้าก็เร็วเจ้านี่ต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ…’ จิตวิญญาณส่วนลึกของจักรพรรดิเจินเต๋อกำลังร้องคำราม
ไม่ได้ผล ดูเหมือนว่าแม้ถูกจิตมารครอบครองแต่ไม่ได้ทำให้สติปัญญาย่ำแย่ไปด้วย…สวี่ชีอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากจักรพรรดิเจินเต๋อยังคงคั่งแค้นต่อเพียงอีกวินาทีเดียว เขาจะชูนิ้วกลางแล้วตะโกนใส่
งั้นก็เข้ามาเลย…
“ด้วยเหตุนี้ ตอนที่เจ้าถูกบังคับให้ประณามตนเอง แล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในท้องพระโรง ก็เป็นการแสดงใช่หรือไม่?” สวี่ชีอันถาม
จักรพรรดิเจินเต๋อหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้าเดาสิ”
สวี่ชีอันมองออกไปยังทิศทางฝั่งเมืองหลวงโดยไม่ได้สนใจ พลางพูดอย่างเรียบเฉย “ข้าเดาว่า เวลานั้นเจ้าคงฉวยโอกาสที่จะสะสางความโกรธแค้นต่ออ๋องสยบแดนเหนือที่ถูกฆ่า หรือไม่ไฟโทสะในครั้งนั้นคงทวีคูณเกินกว่าที่เจ้าจะรับไหว จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมตนเองได้”
จักรพรรดิเจินเต๋อไม่ได้ตอบ ไม่รู้ว่าไม่อยากตอบหรือยอมรับเป็นนัยๆ กันแน่
เขามองออกไปยังทิศทางฝั่งเมืองหลวง พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “เจ้ากำลังรอลั่วอวี้เหิงอยู่หรือ?”
สีหน้าสวี่ชีอันเปลี่ยนไป
เมื่อสังเกตเห็นอย่างนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าจักรพรรดิเจินเต๋อขยับกว้างขึ้นอย่างเยาะเย้ย แล้วกล่าวต่อ
“ลั่วอวี้เหิงไม่ยอมจับคู่บำเพ็ญกับข้า แม้กระทั่งไม่พอใจที่ข้าบำเพ็ญธรรม เพราะการที่ข้าบำเพ็ญทำให้ต้าฟ่งล่มสลาย นางโชคไม่ดีพอที่จะหลุดพ้นจากไฟกรรม ถ้านางฉวยโอกาสสังหารข้าได้ นางคงได้หนทางสนับสนุนจักรพรรดิองค์ใหม่”
เพียงได้ยิน มุมปากจักรพรรดิเจินเต๋อโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าสะพรึง “ข้าหาคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจให้นางได้แล้ว”
…
เมืองจิงเจียวซึ่งอยู่ห่างจากหนานย่วน
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว มองไปที่เงามืดทิศทางตรงข้าม เงานั้นเหยียบลงบนดอกบัวสีดำที่กำลังแย้มบาน ของเหลวเหนียวหนืดสีดำหลั่งไหลจากร่างกาย ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยความอาฆาต
ดอกบัวสีดำอยู่ตั้งอยู่ใจกลางมีรัศมีกว้างหลายลี้ ต้นพืชรายล้อมพากันเหี่ยวเฉา ดวงตาเดรัจฉานแดงก่ำ ไร้ซึ่งสติปัญญา รับรู้แค่วิธีผสมพันธุ์หรือฆ่าแกงกันเท่านั้น
แหล่งอาศัยเล็กๆ เฉกเช่นแมลงก็ยังเข่นฆ่ากันเอง
“ศิษย์หลาน!”
เฮยเหลียนเลียริมฝีปากมีเสียง ‘แผล็บๆ’ ใช้น้ำเสียงชั่วช้าทั้งยังลามก เอ่ยหว่านล้อม
“มาหาอาจารย์อาตรงนี้เร็ว อาจะพาเจ้าบำเพ็ญคู่ ให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติการเป็นสตรี ฮ่าๆๆ…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง