บทที่ 483 ต่างคนต่างสู้ (2)
เงาทะมึนทะยานขึ้นฟ้า ร่างนั้นสวมชุดเกราะหนา ใบหน้าหล่อเหลา ค่อนข้างคล้ายคลึงกับจักรพรรดิหย่วนจิ่ง ดวงตาเรียวรีราวนกการเวกชำเลืองมองอย่างเย็นชา
‘อ๋องสยบแดนเหนือ’ เขาพุ่งมาจากทิศทางสุสานของจักรพรรดิ
วันนั้นศพถูกส่งจากฉู่โจวมายังเมืองหลวง เพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งพยายามปกปิดหลักฐานคดีสังหารหมู่ไหวอ๋อง จึงทำให้เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารลุกฮือต่อต้าน เหล่าขุนนางปิดล้อมประตูอู่ พากันด่าทอ ก่อจลาจลกันอย่างวุ่นวาย
ด้วยสมมติฐานเช่นนี้ กลับไม่มีใครสนใจศพของไหวอ๋องเสียด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วการต่อกรกับศพย่อมไร้ความหมาย หากเทียบกับการต่อสู้กับจักรพรรดิซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
รวมถึงสวี่ชีอันกับเจิ้งซิ่งไหว ตอนนั้นพวกเขาก็สนใจแต่เหตุการณ์ในศาลเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องศพของไหวอ๋องนัก
หารู้ไม่ นี่คือเจตนาของจักรพรรดิเจินเต๋อ
ศพไหวอ๋องถูกซ่อนในสุสานของจักรพรรดิมาโดยตลอด และเขาเพิ่งฟื้นคืนชีพ
‘ฟิ้ว!’
กระบี่บินทะลุทะลวงมาในอากาศ พุ่งตรงไปยังศีรษะของอ๋องสยบแดนเหนือ
อ๋องสยบแดนเหนือเพียงสะบัดฝ่ามือไปมา เกิดเสียงชิ้งดังฟังชัดก่อนที่กระบี่บินจะร่วงลง จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าบนพื้นว่างเปล่าพลางแหงนมองท้องฟ้า บนนั้นมีกระบี่บินลอยเด่นอยู่สองเล่ม แต่ละเล่มมีคนเหยียบอยู่สองคน แบ่งออกเป็น นักดาบชุดดำ พระภิกษุห่มจีวรเรียบง่าย เด็กสาวผิวสีเปลือกข้าวสาลี และสาวงามในชุดนักพรตเต๋า
“ข้าคือใคร ใครคือเรา!”
ไหวอ๋องแค้นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ส่ายศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่าพลางพูดว่า “พวกเจ้าไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา[1]ไม่กี่ตัว กล้าขวางทางข้างั้นรึ?”
เขาคิดว่าสวี่ชีอันจะมีไพ่เด็ดอยู่บ้าง
‘แค่นี้เองหรือ?’
ฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจินและลี่น่า หันศีรษะไปมา มองไต้ซือเหิงหย่วนกำลังคร่ำครวญอย่างทุกข์ระทม
“อมิตตาพุทธ”
เหิงหย่วนประนมมือ กล่าวเสียงขรึม “ประสกเข่นฆ่าผู้คนไปแล้วสามสิบแปดหมื่นคนในฉู่โจว อาตมาเศร้าใจ ที่มิมีโอกาสได้สั่งสอนประสกให้เป็นผู้เป็นคน”
ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะขัดจังหวะ กล่าวต่อว่า “ไต้ซือ อย่ามัวแต่พิรี้พิไร ลงมือเลยเถอะ พวกเราไม่ได้มีหน้าที่มาถ่วงเวลาแค่หนึ่งเค่อนะ พวกเราต้องตัดกำลังรบของเขาด้วย”
เหิงหย่วนพึมพำ “มีเหตุผล!”
กับพวกบาปหนา ไม่จำเป็นต้องเปลืองวาจาให้มากความ แต่ต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ผู้นั้นยอมจำนน
อัฐิธาตุลอยอยู่เหนือหัวเหิงหย่วน เปล่งประกายแสงนวลเรืองรอง จากนั้น เขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก สะบัดให้เกิดเปลวไฟ
ขอเซ่นไหว้ความสามารถที่เป็นแก่นแท้…อัญเชิญผู้ยิ่งใหญ่!
ในความว่างเปล่าอันมืดมิด ร่างหนึ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์[2] เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาลอยลงมารวมเข้ากับอัฐิธาตุ จากนั้นภาพลวงตากลายเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ในทันที
นี่คือพระอรหันต์ พระอรหันต์ขั้นสองแห่งสำนักพุทธ!
แน่นอนว่า การอัญเชิญวิญญาณวีรชนลงมานั้น ต่อให้หลอมรวมกับอัฐิธาตุแล้วก็ยังเทียบไม่ได้กับองค์พระอรหันต์ตัวจริง
แม้แต่เหิงหย่วนซึ่งเป็นกำลังหลัก หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ คอยหนุนเป็นกำลังเสริม ก็ไม่สามารถต้านทานพลังที่สูงสุดขั้นสามได้
ไหวอ๋องเห็นสิ่งนี้แล้วจึงเลิกคิ้วขึ้น “ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ข้าก็สามารถจัดการพวกเจ้าได้”
ท่าทางเหยียดหยามที่แสดงออกมา ขัดกับความระแวดระวังที่ก่อตัวในใจ
ไต้ซือเหิงหย่วนประนมมือ ก้มหน้าลงท่องบทสวดมนต์ บทสวดสีทองอำพันซึ่งดูเป็นรูปร่างจับต้องได้ลอยออกมาจากปากของภิกษุทีละบท กระทั่งบรรจบกันเป็น ‘สายธาร’ สีทองอร่ามพุ่งไปยังอ๋องสยบแดนเหนือ
อ๋องสยบแดนเหนือเดินโซเซ ปวดหัวราวกับมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายผุดขึ้นเด่นชัด เขาไม่สามารถยืนกลางอากาศได้อีกต่อไป ถึงได้ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว
จอมเวทขั้นเจ็ด สุดยอดแห่งการโปรดสัตว์!
หากเป็นวิญญาณ คงเข้าสู่กระบวนการหลุดพ้น ก่อนหวนคืนสู่ภพภูมิใหม่อีกครั้ง
หากเป็นผู้มีชีวิต แล้วมีความคิดอยากฆ่าตัวตายอย่างแรงกล้า อยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นวิญญาณ แต่พยายามบอกว่าตัวเองยังไม่อยากตาย
สำนักพุทธจะบอกว่า ‘ไม่จริง ท่านอยากตาย’
ลี่น่าคือคนแรกที่กระโดดลงมาจากกระบี่บิน ชาวซินเจียงตอนใต้ผิวดำตัวเล็กๆ จะเป็นผู้ออกรบคนแรกเสมอ นางเหยียดแขนและขาพุ่งลงไปที่พื้นราวกับลูกธนูอันแหลมคม เมื่อเข้าใกล้อ๋องสยบแดนเหนือ จึงกางแขนและขาออก ทะยานอ้อมไปด้านหลังอ๋องสยบแดนเหนือ
อ๋องสยบแดนเหนือในเวลานี้ยังคงปวดหัวอย่างสาหัส ตกอยู่ในสภาวะโลกทัศน์มืดลง ลี่น่าเกี่ยวขาทั้งสองข้างรัดรอบเอวทหารขั้นสาม มือทั้งสองข้างของนางคล้องแขนใหญ่กำยำทั้งสองข้างของเขา จากนั้นจึงออกแรงกระชากไหล่เขาไปทางด้านหลัง
สมแล้วที่เป็นหญิงสาวมากพละกำลังแห่งลี่กู่ ไม่คิดเลยว่ากำลังของนางจะตรึงร่างไหวอ๋องไว้ได้นานหลายวินาที
‘ชิ้ง!’
ฉู่หยวนเจิ่นดึงกระบี่ออกจากฝักคาดเอวแล้วเหวี่ยงมันออกไป
หลี่เมี่ยวเจินยกมือขวา พลิกฝ่ามือหันเข้าหาอ๋องสยบแดนเหนือ
แกร๊ง…เสื้อเกราะที่เขาสวม เสื้อด้านใน เข็มขัด รองเท้าและอื่นๆ ล้วนบีบตัวเขาจนดัดหลังให้งองุ้ม รัดเอวแน่น หรือแม้แต่คอเสื้อก็รัดคอเขาแน่นเช่นกัน ทำให้อ๋องสยบแดนเหนือขยับตัวให้หลุดพ้นจากลี่น่าได้ยาก
เมื่อกระบี่ของฉู่หยวนเจิ่นพุ่งมาถึงก็แทงเข้าระหว่างคิ้วของไหวอ๋อง ไร้การปะทุของพลังอันแกร่งกล้า เนื่องจากกระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ใจ
ฟาดฟันจิตวิญญาณ
ทุกคนในพรรคฟ้าดินพร้อมใจกันโจมตีโดยปริยาย พวกเขาโจมตีด้วยคลื่นแห่งการควบคุม จนสามารถควบคุมทหารขั้นสามสูงสุดผู้นี้ได้นานกว่าห้าวินาที
เหิงหย่วนในฐานะกำลังหลักไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปโดยเด็ดขาด ในขณะที่ท่อง ‘ไม่เอาชีวิต’ เขาก็ยกกำปั้นใหญ่เท่าหม้อเหล็กทุ่มใส่อ๋องสยบแดนเหนือดุจพายุฝนถล่ม
พระอรหันต์ผู้ ‘ทรงศีล’ ออกแรงเท่านี้ ก็เพียงพอที่จะควบคุมอ๋องสยบแดนเหนือได้ชั่วขณะหนึ่ง
‘ปัง ปัง ปัง!’
กำปั้นทุบร่างทหารขั้นสาม พอจะทำให้ทหารผู้มีผิวดั่งทองแดงกระดูกดุจเหล็กกล้า[3]ตายได้ กระทั่งลี่น่าที่กำลังล็อกแขนอ๋องสยบแดนเหนือก็ระดมทุบไปด้วยจนเลือดไหลไม่หยุด
ทุบแม้แต่ลมปราณของไหวอ๋องที่ไม่มั่นคง
‘ตู้ม!’
ชุดเกราะอ๋องสยบแดนเหนือระเบิด ลี่น่าตัดด้ายแล้วโยนมันออกไปราวกับว่าว ความโอหังของทหารจอมเผด็จการถูกทำลายย่อยยับ สะเทือนถึงทุกสิ่งโดยรอบ รวมถึงไต้ซือเหิงหย่วน
แขนลี่น่าบิดงอจนกระดูกแทงออกมาจากเนื้อ เลือดไหลทะลัก สูญเสียพลังการต่อสู้ในทันที
ตั้งแต่แรกเริ่ม หน้าที่ของพรรคฟ้าดินไม่ใช่การกำจัดไหวอ๋อง ภาพที่เห็นก็ไม่ใช่ความจริง
ประการแรก สิ่งที่เหิงหย่วนอัญเชิญมาเป็นเพียงแค่เสี้ยววิญญาณพระอรหันต์ในตอนนั้น ความแข็งแกร่งอาจไม่เทียบเท่าร่างจริง และแม้ว่าร่างที่แท้จริงของพระอรหันต์จะมาด้วยตนเอง ก็ยากที่จะฆ่าทหารขั้นสามระดับสูงสุดผู้นี้
ประการที่สอง วิญญาณวีรชนผู้นี้คงอยู่ได้เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น เราใช้เวลาหนึ่งเค่อในการฆ่าทหารขั้นสูงที่ทั้งอึดทั้งทนได้หรือไม่?
ประการสุดท้าย ขั้นสามและขั้นสี่มีความแตกต่างกันอยู่มากโข ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งนั้นกว้างเกินไป อีกฝ่ายสามารถผิดพลาดได้นับครั้งไม่ถ้วน กลับกัน หากพวกเขาผิดพลาดแค่ครั้งเดียวอาจทำลายพวกเดียวกัน
อ๋องสยบแดนเหนือโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี เขาเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากความเจ็บปวดของผู้คนเพื่อฆ่าพวกเขา และไม่ได้แสดงความเมตตาแม้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง เขากำลังจะใช้กำปั้นพลังชี่กำจัดสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้
เหิงหย่วนประนมมือ “ละเว้นจากการฆ่า”
ไหวอ๋องชะงักกำปั้นลง แม้ว่าอยากชกออกไปเพียงใด
หลี่เมี่ยวเจินฉวยโอกาสชี้ฝ่ามือไปที่ลี่น่า ใช้พลังเหวี่ยงนางให้ปลิวไปไกล
นางไม่ห่วงอาการบาดเจ็บของลี่น่า เพราะการตั้งรับของยอดฝีมือสำนักลี่กู่ย่อมไม่วิปริตเหมือนเหล่าทหาร พวกเขามีพลังฟื้นฟูสูง โดยทั่วไป ตราบใดที่ยังมีชีวิตรอดอาการบาดเจ็บยังหายได้ โดยระยะฟื้นตัวขึ้นอยู่ความรุนแรงของอาการ
ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่ลี่น่าอยู่ในพระราชวังใต้ดิน นางเคยถูกทำลายธาตุหยินจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์ แต่นอนเพียงคืนเดียวก็ฟื้นตัวดังเดิม
พรรคฟ้าดินจากสี่หายไปหนึ่ง เหลือแค่สาม
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินสมกับเป็นเสาหลักของพรรคฟ้าดิน คนหนึ่งจากนิกายมนุษย์ควบคุมกระบี่บินหลายร้อยเล่ม คนหนึ่งเขวี้ยงธงเรียกวิญญาณ ระฆังคุมวิญญาณ และของวิเศษชิ้นอื่นๆ ล้อมไหวอ๋องให้ติดกับ โดยมีเหิงหย่วนเป็นกำลังหลัก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดเฉกเช่นเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด กระบี่บินหลายร้อยเล่มแตกเป็นเศษเหล็กบ้าง หลอมละลายเป็นเหล็กไหลบ้าง ในที่สุดอาวุธจากนิกายมนุษย์ที่หลี่เมี่ยวเจินหอบมาก็หมดลง
ลมปราณของไหวอ๋องลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับทหารระดับเขาแล้ว เพียงควบคุมลมปราณครึ่งชั่วโมงก็ฟื้นฟูความเสียหายได้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย
ไม่ได้การ แบบนี้ไม่ได้การแน่…ฉู่หยวนเจิ่นพึมพำในใจ
หน้าที่ของพวกเขาทั้งสี่คือสกัดอ๋องสยบแดนเหนือภายในหนึ่งเค่อ ทั้งนี้ต้องทำให้พลังการต่อสู้ของเขาลดลง การมีอัฐิธาตุพระอรหันต์ทำให้ไม่ยากที่จะจบเรื่องในหนึ่งเค่อ แต่ยากตรงที่ต้องทำให้อ๋องสยบแดนเหนือได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งยากพอๆ กับการทะยานขึ้นไปบนฟ้า
หากไหวอ๋องที่อยู่ในสภาวะสูงสุดให้การสนับสนุนจักรพรรดิเจินเต๋อ เมื่อทั้งสองรวมเป็นหนี่ง สวี่ชีอันต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง