ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 485

บทที่ 485 สังหารจักรพรรดิ (1)

ทหารผู้นั้นอาจคิดว่าตนเองมีฐานการฝึกฝนที่ดี ตนเองก็นับว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ต่อให้ไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ในระดับขั้นนี้ได้ แต่ก็ยังสามารถพูดได้กระมัง?

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเปิดปากถามอย่างตรงไปตรงมา

เจินเต๋อหรี่ตามองทหารผู้นั้นที่อยู่ขั้นห้าเป็นอย่างน้อย แต่จู่ๆ ร่างของทหารที่โผล่ศีรษะออกมาและตะโกนถามเสียงดังผู้นั้นก็ตกลงมาจากกำแพงเมือง จิตเดิมดับสูญ ตายอย่างเงียบเชียบ โดยไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

เกิดความเงียบสงัดไปทั่วทั้งกำแพงเมือง ไม่ว่าจะเป็นพลทหารทั่วไปก็ดี หรือทหารที่เข้าร่วมสงครามอันอึกทึกนี้ก็ดี ทุกคนต่างก็ล่าถอยออกไปตามๆ กัน พลางมอง ‘ไหวอ๋อง’ ด้วยความตื่นตระหนก แต่ในวินาทีต่อมาก็ต้องละสายตาไปทางอื่น เพราะไม่กล้าดึงดูดความสนใจของร่างอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ด้วยความกลัวว่าตนเองจะกลายเป็นแมลงตัวที่สองที่ต้องตายอย่างเงียบเชียบ

“สวี่ชีอัน เจ้าประกาศตนว่าทำเพื่อประชาชนไม่ใช่รึ เจ้าเป็นศีลธรรมของต้าฟ่งไม่ใช่รึ เจ้าคือคนที่ได้รับความนิยมมากกว่าราชสำนักไม่ใช่รึ?”

สายตาอันเฉียบแหลมของจักรพรรดิเจินเต๋อ เต็มไปด้วยความโกรธ เกลียดชัง และดูถูกเหยียดหยาม เขาถือดาบยักษ์ที่มีความยาวกว่าหกสิบจั้ง พลางกล่าวตะโกนว่า “หากเจ้ากล้าหลบดาบนี้ ก็จะได้รู้กันว่า เพียงข้าตวัดดาบนี้เพียงครั้งเดียว จะมีคนตายในเมืองหลวงมากเท่าใด?”

เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบของคดีสังหารหมู่ ยังคงเป็นหนามในใจที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ของเจินเต๋อมาโดยตลอด เขาวางแผนเพื่อกลั่นยาโลหิตและยาวิญญาณมาหลายปี แต่ผลสุดท้ายกลับถูกผู้อื่นทำลายลง ร่างอวตารของไหวอ๋องก็ตายในฉู่โจว ขโมยไก่ไม่ได้ ซ้ำยังเสียข้าวสารอีกกำมือ

สำหรับ ‘เต๋ามาร’ ผู้นี้ ที่ส่งเสริมให้เกิดผลกระทบอันร้ายแรง ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น สวี่ชีอันยังบุกไปที่ประตูอู่ และตัดหัวกั๋วกง ซึ่งเป็นเหมือนการตบหน้าเขาผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิอย่างดุเดือดต่อหน้าประชาชน ถูกบุคคลตัวเล็กๆ เช่นนี้ตบหน้า ต้องรู้สึกเช่นไร?

ต่อมา ท่านโหราจารย์ จ้าวโส่ว เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารก็บีบบังคับให้เขาออกกฤษฎีกาต้องโทษ เขาจึงถูกเหยียบย่ำใบหน้าอย่างร้ายแรงอีกครั้ง

ไม่ว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองลึกเพียงใด ต่างก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธอย่างขีดสุด

นอกจากนี้ เขาไม่เคยปกปิดความคิดอันชั่วร้ายของตนเอง เช่นเดียวกับเต๋ามารนิกายปฐพี เพราะจักรพรรดิเจินเต๋อเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นชั่วร้ายโดยเนื้อแท้

“เจ้าจะลองขัดขวางการหลอมจิตวิญญาณดาบของข้าก็ย่อมได้ แต่เจ้าไม่มีทางไล่ตามข้าทันอย่างแน่นอน” จักรพรรดิเจินเต๋อหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอันบ้าระห่ำอีกครั้ง “เจ้าจะหนีไปก็ได้!”

ในระหว่างที่พูด ก็มีดาบเหล็กหลายเล่มกวัดแกว่งไปทั่วท้องฟ้า และผสานเข้ากับดาบยักษ์เล่มนั้น พลังของมันทวีความรุนแรงขึ้นเล็กน้อย

พลทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองตัวสั่นไปทั้งร่าง พลางอุ่นเครื่องปืนใหญ่และบรรจุกระสุนด้วยมือที่สั่นเทา แต่ผู้บังคับบัญชาการกลับขัดขวางพวกเขา ด้วยการตะโกนเสียงแข็งว่า “วิ่ง!”

บุคคลที่เป็นเหมือนเทพเจ้าเช่นนี้ จะใช้ปืนใหญ่จะจัดการได้อย่างไร

ในชั่วพริบตาเดียว เหล่าพลทหารต่างก็กระจัดกระจายออกไปที่กำแพงเมืองทั้งสองด้านด้วยความแตกตื่น บัดนี้กำแพงเมืองที่อยู่ด้านหลังสวี่ชีอันมีเพียงความว่างเปล่า

ดาบยักษ์ขนาดหกสิบจั้งเต็มไปด้วยอำนาจอันทรงพลัง ปราณกระบี่พุ่งทะยานทะลุท้องฟ้า ซึ่งปราณกระบี่ที่ถูกหลอมรวมในนั้น เป็นฝีมือของยอดฝีมือนิกายมนุษย์ขั้นสองท่านหนึ่ง ที่ได้รวบรวมด้วยพลังทั้งหมดของเขา หากดาบยันต์ของลั่วอวี้เหิงเป็นดาบติดมือของนิกายมนุษย์ขั้นสอง เช่นนั้น ดาบเล่มนี้ของเจินเต๋อก็เป็นยอดฝีมือขั้นสองของนิกายมนุษย์ ผู้ซึ่งสะสมความแข็งแกร่งไว้ในดาบมาช้านาน

เหตุผลที่จักรพรรดิเจินเต๋อเรียกดาบเหล็กมาจำนวนมาก ก็เพราะอาวุธธรรมดาไม่สามารถต้านทานเจตนาดาบอันมหึมาของเขาได้ ซึ่งก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนี้

ในดาบนี้ ไม่เพียงแต่ประกอบด้วยปราณกระบี่อันรุ่งโรจน์เท่านั้น แต่ยังมีพลังของกระบี่ใจในการตัดขาดจิตเดิมอีกด้วย แม้ว่าสวี่ชีอันจะผนึกกำลังกับเสินซู จนพลังปราณเดือดพล่านจนถึงระดับสูงสุดของขั้นสาม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือลัทธิเต๋าขั้นสาม ผู้ฝึกฝนดาบนิกายมนุษย์ที่มีทักษะในการฆ่าโจมตีและแข็งแกร่งในด้านศิลปะการต่อสู้ เขาก็รู้สึกถึงการถูกคุกคามและแรงกดดันอันมหาศาล

หากใช้ดาบนี้อย่างหนักหน่วง กายเนื้ออาจจะยังอยู่ แต่จิตเดิมสาบสูญไปแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาสามารถหนีไปได้ แต่จักรพรรดิเจินเต๋อใช้ประชาชนในเมืองมาข่มขู่ และบีบบังคับให้เขารับดาบ

นี่เป็นที่มาของการที่เจินเต๋อผลักดันให้เขาออกไปนอกเมืองหลวง หากรับ ก็ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานจากดาบเล่มนี้ หากไม่รับ ไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียง แต่หัวใจแห่งวิทยายุทธ์ของสวี่ชีอันจะต้องเปื้อนฝุ่น ยากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาบริสุทธิ์อย่างแน่นอน

สวี่ชีอันค้นหาวิธีการของตัวเองในใจภายใต้แรงกดดันมหาศาล สำนักพุทธทรงศีลใช้ไม่ได้ผลกับเจินเต๋อ เว้นแต่เขาจะเป็นสำนักพุทธขั้นสองหรือขั้นหนึ่งเช่นกัน ทักษะการนั่งเข้าฌานย่อมไม่สามารถสกัดกั้นดาบนี้ได้อย่างแน่นอน

วรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อก็ไม่สามารถใช้การได้ หากใช้วิธีลั่นประกาศิตสลายดาบเล่มนี้ การสะท้อนกลับหลังจากเรื่องนี้ ก็คงไม่น้อยกว่าการยอมรับดาบเล่มนี้มากนัก

ท่านโหราจารย์ก็ไม่ลงมือ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกซ่าหลุนอากู่ครอบงำแล้วจริงๆ ถึงแม้จะพูดว่า ท่านโหราจารย์จะได้เปรียบในการเป็นเจ้าถิ่น เพราะกายอยู่ในเมืองหลวง แต่ซ่าหลุนอากู่คือยอดฝีมือขั้นหนึ่งที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปี แม้จะเอาชนะท่านโหราจารย์ในต้าฟ่งไม่ได้ แต่การรั้งตัวเขาไว้สักพักก็ไม่ใช่ปัญหา

ดาบเหล็กเล่มสุดท้ายผสานเข้าด้วยกัน ในที่สุดเจินเต๋อก็รวบรวมจิตวิญญาณดาบได้อย่างสมบูรณ์ นิ้วดาบของเขาสั่นเล็กน้อย ราวกับแม้แต่ตนเองก็ยังไม่สามารถควบคุมพลังมหาศาลนี้ได้

ชีวิตกว่าสามล้านชีวิตทั่วทั้งเมื่อหลวง ล้วนจิตใจกระสับกระส่าย เมื่ออยู่ภายใต้จิตวิญญาณอันน่าเกรงขามของดาบนี้

นี่คือยอดฝีมือขั้นสอง ผู้ดุจดั่งความยิ่งใหญ่แห่งสรวงสวรรค์

“ฆ่ามัน!”

เจินเต๋อแผดเสียงคำรามดังสนั่น ความปลื้มปีติยินดีฉายชัดบนใบหน้า นิ้วดาบกำลังควบคุมดาบยักษ์ด้วยความพยายามอย่างเต็มกำลัง

สวี่ชีอันเบิกตากว้าง เมื่อเห็นดาบกำลังพุ่งลงมาจากท้องฟ้า เขาก็ก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว พลางแบมือออก และคำรามว่า “ดาบจงมา!”

ลำแสงจากฟากฟ้าแผดเสียงดังก้องไปทั้งแผ่นดิน มันเคลื่อนตัวราวกับดาวตกซึ่งถูกล้อมรอบด้วยชั้นเมฆอันปั่นป่วน

‘ดาบสลักปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์’

สมบัติชิ้นแรกของลัทธิขงจื๊อ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เคยใช้มันสลักคัมภีร์ลงบนตำราม้วนไม้ไผ่ทีละตัวอักษร ซึ่งตกทอดกันจากรุ่นสู่รุ่นมานับช้านาน

ดาบสลักสั่นสะเทือนหึ่งๆ ด้วยความปีติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันไม่ปรากฏตัวเหมือนตอนที่ปฏิบัติงานราชการเมื่อสองครั้งก่อนอีกต่อไป ครั้งนี้ ดาบสลักมีความผันผวนทางอารมณ์อย่างรุนแรง มันกำลังยินดี มีความสุข และเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ราวกับมันได้กลับคืนสู่มือเจ้าของอีกครั้ง

สวี่ชีอันกระชับดาบสลักแน่น ดวงตาทั้งสองข้างฉายแสงอย่างชัดเจน เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกก้าว พลางตวัดดาบสลักปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ไปข้างหน้า

ปราณกระบี่และจิตดาบปะทะกันที่เบื้องหน้า แต่ก่อนการปะทะ มีเปลวเพลิงที่พร่างพราวปะทุขึ้นที่ช่องว่างระหว่างทั้งสอง ราวกับสองคุณลักษณะที่ขัดแย้งกันมาบรรจบกัน จนทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรง

‘ตูม!’

การปะทะกันของพลังงานทั้งสองก่อให้เกิดแรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว พื้นที่ทั้งหมดราวกับพังทลายลง พลังแห่งการทำลายล้างแผ่ซ่านไปทั่ว

พลทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง ต่างก็ล้มลงและเสียชีวิตโดยพลัน

ค่ายกลป้องกันกำแพงเมืองที่ด้านหลังสวี่ชีอันทลายลงเป็นอันดับแรก ตามด้วยกำแพงที่เริ่มแตกร้าว และทลายลงในที่สุด กำแพงกว่าครึ่งหนึ่งทลายลงอย่างกะทันหัน ฝุ่นบนพื้นดินถูกขูดออกไปทีละชั้น ก่อนจะม้วนขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับกระแสลมที่เดือดพล่านราวกับพายุทราย

เสียงโครมครามดังขึ้นอีกครั้ง พื้นทรุดตัวลงเป็นหลุมลึกกว่าสิบเมตร สวี่ชีอันและจักรพรรดิเจินเต๋อยืนนิ่ง โดยที่ฝ่าเท้าเหยียบอยู่บนอากาศอันว่างเปล่า

จู่ๆ ใบหน้าของจักรพรรดิเจินเต๋อก็บิดเบี้ยว กล้ามเนื้อแก้มกระตุก เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน แขนขวาที่ถือนิ้วดาบของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง ฝีเท้าไม่มั่นคงอย่างยิ่ง

ดวงตาของสวี่ชีอันเปล่งประกายอีกครั้ง พลางคำรามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ชีวิตข้า ไม่เชื่อในจักรพรรดิ!”

หลังจากสิ้นสุดเสียงคำรามนี้ ปีศาจพันมือที่มีแขนสิบสองคู่ และภาพเสมือนของชายชราผู้สวมเสื้อคลุมและมงกุฎขงจื๊อที่อยู่เหนือศีรษะของเขาก็หายวับไปทันที ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์และเสินซูล้วนชื่นชมเขามาก

‘ชิ้ง’

ณ จุดที่ดาบสลักปะทะกันกับดาบยักษ์ เกิดเสียงที่ทำให้คนที่ได้ยินถึงกับเสียวฟัน

ดาบเหล็กพังทลายลงทีละเล่ม บ้างก็ระเบิดกลายเป็นชิ้นส่วนเหล็ก บ้างก็ละลายกลายเป็นเหล็กหลอม

อาวุธธรรมดาก็คืออาวุธธรรมดา หลังจากปราณกระบี่ของยอดฝีมือขั้นสองแห่งนิกายมนุษย์หมดลง พวกมันก็จะสลายตัวลงอย่างรวดเร็ว เริ่มจากจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ ไปจนถึงดาบยักษ์ทั้งหมด

สวี่ชีอันก้าวไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเหล็กหลอมสีแดงเข้มและชิ้นส่วนเหล็กที่ตกลงมา ก่อนจะแทงดาบสลักไปที่หน้าอกของจักรพรรดิเจินเต๋อ ใช้พลังยกร่างเขาขึ้น ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด

ร่างหนึ่งถูกกระชากออกมา

กายเนื้อของจักรพรรดิเจินเต๋อฉีกขาดออกจากกันด้วยเจตนาดาบของดาบสลัก

เทพเจ้าหยางซึ่งล้อมรอบด้วยแสงสีทองและแสงสีดำออกจากกายเนื้อ ลำแสงที่พุ่งมายังหน้าอกของเขาดุจดั่งกองกำลังศัตรูที่บุกเข้ามาภายในซึ่งยากจะกำจัด

เจินเต๋อร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด

ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังฉวยโอกาสฆ่าเทพเจ้าหยาง จู่ๆ ภาพอันตรายก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา เขาหันตัวกลับ พลางหยิบดาบไท่ผิงออกมา

‘ชิ้ง ชิ้ง…’

ร่างทั้งสองแยกออกจากกันเพียงสัมผัสเดียว ท่ามกลางเสียงปะทะ

ไหวอ๋องไถลออกมา ในระหว่างนั้น เทพเจ้าหยางของเจินเต๋อก็โถมเข้าไป และหลอมรวมกับร่างสุดท้ายนี้

สวี่ชีอันสะบัดดาบไท่ผิงอย่างสงบ ฟันกายเนื้อของเจินเต๋อออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้เขาสูญเสียร่างเดิม และตัดขาดความเป็นไปได้ในการฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์

“ลั่วอวี้เหิงเคยบอกข้าว่า ช่วงเวลาข้ามผ่านหายนะของผู้แข็งแกร่งในลัทธิเต๋า สิ่งที่เป็นข้อห้ามเด็ดขาดคือการสูญเสียกายเนื้อ เพราะความหมายอันลึกซึ้งของเทพเจ้าแห่งแผ่นดินขั้นหนึ่ง ความจริงแล้วคือการรวมตัวกันอีกครั้งของเทพเจ้าหยางและกายเนื้อ เจินเต๋อ หากไร้ซึ่งกายเนื้อที่เกิดตามธรรมชาตินี้แล้ว ก็จะตัดโอกาสในการก้าวสู่ขั้นหนึ่งของเจ้า ถึงแม้จะเข้าสิงได้ ก็ยังเข้ากับเทพเจ้าหยางไม่ได้ เว้นแต่เจ้าจะยอมใช้เวลาหลายร้อยปีในการค่อยๆ ปรับตัว”

สวี่ชีอันถือดาบสลักไว้ในมือซ้าย ถือดาบไท่ผิงไว้ในมือขวา สีหน้าสงบนิ่ง

เมื่อเทียบกับการจัดการกับทหารขั้นสาม ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์มีความร้ายแรงถึงชีวิตสำหรับเทพเจ้าหยาง นี่คือสิ่งที่จ้าวโส่วบอกเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง