บทที่ 486 โจมตีอย่างไม่คาดคิด…โหรชุดขาว
ตายแล้ว ในที่สุดก็ตายแล้ว…
สวี่ชีอันค่อยๆ ถอนหายใจออกมา หลังจากความตึงเครียดก็ต่อด้วยความเหนื่อยล้าสุดขีด และความเหนื่อยล้าเช่นนี้ก็มาจากทั้งร่างกายและจิตใจ
การต่อสู้ติดต่อกันทำให้สภาพของเขาย่ำแย่อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ขี่มังกรสังหาร มองแวบแรกดูเหมือนเขาจะดุดันน่าเกรงขามและสังหารเจินเต๋อได้อย่างง่ายดาย
แต่ความจริงแล้วล้วนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ประเภทสังหารศัตรูหนึ่งพัน แต่ตนเสียไปแปดร้อย
การโจมตีโต้กลับของเจินเต๋อและการแว้งกัดของหยกสลายทำให้สวี่ชีอันได้รับบาดเจ็บอย่างหนักหน่วง
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนคุ้มค่า ทั้งหมดล้วนคุ้มค่า
สวี่ชีอันยืนเด่นอยู่บนหลังของมังกรวิญญาณแล้วมองไปยังผืนดินอันกว้างใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
มันคือการระบายความอัดอั้นที่กดทับอยู่ในใจในช่วงเวลานี้ออกมาจนหมดสิ้น
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ฉีกผืนผ้าแถบหนึ่งออกแล้วนำมามัดผมยาวสลวย ก่อนจะจัดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นให้เรียบร้อยแล้วค้อมกายคำนับไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
เว่ยกง โปรดไปสู่สุคติ
เว่ยกง ชาติหน้าจงเป็นวีรบุรุษ!
…
‘ตายแล้ว เสด็จพ่อตายแล้ว…’ องค์รัชทายาทยืนอยู่บนกำแพงเมืองและเหม่อมองฟ้าไกลอย่างโง่งม
ในหัวของเขามีภาพต่างๆ นานาวาบเข้ามา ‘เสด็จพ่อผู้น่าเกรงขามนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เสด็จพ่อผู้น่าเกรงขามตวาดดุเสียงดัง เสด็จพ่อผู้น่าเกรงขามที่สวมชุดคลุมเต๋า เสด็จพ่อผู้เข้มงวดที่ควบคุมท้องพระโรง เสด็จพ่อที่กุมอำนาจมาเกือบสี่สิบปี สิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือของคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง…’ น้ำตาแห่งอารมณ์อันพลุ่งพล่านหลั่งไหล
สมุหราชเลขาธิการหวางก็มองไปเช่นกัน สีหน้าและแววตาของชายชราผู้นี้ซับซ้อนเกินใคร และมีทั้งความสุข เศร้า ทอดถอนใจ และเจ็บปวดใจ…
เขามองดูอย่างนิ่งงัน เนิ่นนานก็ยังไม่ขยับ คงเป็นเพราะคิดว่าอาชีพขุนนางของเขากำลังจะจบลงไปพร้อมกับการตายขององค์จักรพรรดิกระมัง
สีหน้าของเหล่าขุนนางช่างซับซ้อน ต่างก็พูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่งและจมจ่อมอยู่กับฉากสุดท้ายขององค์จักรพรรดิ
สวี่ชีอัน สังหารจักรพรรดิ!
ต้าฟ่งก่อตั้งขึ้นมาหกร้อยปี นอกจากการกำจัดขุนนางชั่วช้าในรัชศกของจักรพรรดิอู่จงที่มีการร่วมมือกันกำจัดทรราชแล้ว…จักรพรรดิของต้าฟ่งก็ไม่เคยถูกใครสังหารมาก่อน
หยวนจิ่งหรือเจินเต๋อคือจักรพรรดิองค์แรกในประวัติศาสตร์ต้าฟ่งที่ถูกคนธรรมดาสังหารในเมืองหลวง
เหตุการณ์ในวันนี้จะทิ้งร่องรอยล้ำลึกไว้ในประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะผ่านไปพันหมื่นปี เมื่อคนรุ่นหลังเอ่ยถึงประวัติศาสตร์ช่วงนี้ก็จะต้องพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติแน่
เมื่อเอ่ยถึงรัชศกหยวนจิ่งที่สิบหกถึงรัชศกหยวนจิ่งที่สามสิบเจ็ดก็จะต้องกล่าวถึงการเสียสละของเว่ยเยวียนและการกำจัดทหารแปดหมื่นนายอย่างเลี่ยงไม่ได้ จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งเอาแต่หมกมุ่นอยู่ในการบำเพ็ญธรรม สุดท้ายก็ถูกสังหารในเมืองหลวงด้วยน้ำมือของคนธรรมดานามว่า สวี่ชีอัน
ขณะที่ขุนนางทั้งหลายทอดถอนใจอย่างเนิ่นนาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ
เมื่อมองไปก็เห็นฝ่ายตรวจการจางสิงอิงเกาะกำแพงเมืองและร้องไห้เป็นเผาเต่า
อดีตสมาชิกพรรคเว่ยแต่ละคนมีน้ำตาเอ่อคลอทั้งสองข้าง บ้างก็ก้มหน้าเช็ด บ้างก็เงยหน้าไม่ให้น้ำตาไหล
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น สมาชิกพรรคเว่ยที่กุมอำนาจใหญ่และรวมไปถึงจางสิงอิงที่ร้องไห้เสียกิริยาเหล่านี้ก็ได้เคลื่อนไหวอย่างหาญกล้าต่อหน้าฝักฝ่ายอื่นๆ
พวกเขาจัดเสื้อผ้าของตนแล้วคำนับไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นก็หันกายคำนับไปยังคนผู้นั้นที่อยู่บนเส้นขอบฟ้า เนิ่นนานก็ไม่ลุกขึ้น
…
ขณะนี้เอง อีกด้านหนึ่งของเขตพระราชฐาน ฮว๋ายชิ่งยืนหันหน้าไปทางลม ชุดกระโปรงสง่างามพลิ้วไสว
ลมพัดโชยผ่านเส้นผมของนาง สายลมลูบไล้ใบหน้าอันงดงามของนาง ธิดาคนโตขององค์จักรพรรดิคลายหมัดที่กำเอาไว้แน่นแล้วถอนหายใจโล่งอกจากก้นบึ้งหัวใจ
เขาไม่เคยทำให้นางผิดหวังจริงๆ ทั้งกล้าหาญ เด็ดขาด ชาญฉลาด และไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้…การต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะมีจุดพลิกผันและความกังวล อย่างเช่นตอนที่ดาบสยบดินแดนบินขึ้นไปกลางอากาศ
แต่ฮว๋ายชิ่งก็ยังไม่คิดว่าสวี่ชีอันจะพ่ายแพ้ เพราะเขาไม่เคยแพ้
นี่คือชายหนุ่มแสนอัศจรรย์ แม้แต่นางก็ยังชื่นชมและเลื่อมใสชายหนุ่มสุดอัศจรรย์ผู้นี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ฮว๋ายชิ่งรวบเส้นผมข้างขมับที่เริงระบำอยู่แล้วนำไปทัดไว้ข้างหู นางไม่เหมือนองค์รัชทายาทที่หลั่งน้ำตาอันเปี่ยมด้วยอารมณ์ จิตใจของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ก็หนักอึ้งด้วยเช่นกัน
การสวรรคตของจักรพรรดิเจินเต๋อเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ปัญหาที่ตามมาหลังจากนี้คือสิ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุด
หลักๆ แบ่งได้เป็นสองอย่าง หนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงของที่ราบภาคกลาง
ในนั้นรวมถึงประชาชนของเมืองต่างๆ สถานที่ราชการของแต่ละท้องถิ่น กองทัพแต่ละแห่ง และชาวยุทธภพ
ในด้านประชาชน ส่วนสำคัญที่จำเป็นต้องพิจารณาก็คือ ‘จิตใจของประชาชน’ จะประกาศอย่างจริงใจหรือจะเก็บซ่อนไว้ก็ล้วนทำให้ประชาชนเสียน้ำใจได้
ส่วนกองทัพก็ใช้เหตุผลเดียวกัน ในแง่หนึ่ง การทำให้จิตใจของกองทัพมั่นคงได้นั้นสำคัญยิ่งกว่าจิตใจของประชาชนเสียอีก โดยเฉพาะทหารในชายแดนแถบเหนือกับเมืองทั้งสามทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
คนพวกนี้มีแนวโน้มที่จะก่อกบฏได้มากที่สุด
หากในการต่อสู้ครั้งนี้สวี่ชีอันพ่ายแพ้ ทหารหนึ่งหมื่นกว่าคนที่ด่านอวี้หยางก็จะต้องทำการต่อต้านแน่
ที่ทำการในแต่ละแห่งก็ต้องได้รับการบำรุงขวัญด้วย จะให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัวไม่สงบใจเพราะเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด แบบนี้ต่างหากจึงจะช่วยทำให้จิตใจของประชาชนสงบลงได้ และป้องกันไม่ให้ชาวยุทธภพก่อความวุ่นวายด้วย
ด้านที่สอง จักรพรรดิองค์ใหม่
สำหรับเมืองหลวงในตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ นั่นคือการสถาปนาจักรพรรดิองค์ใหม่
การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิองค์ใหม่คือเงื่อนไขแรกของทุกๆ สิ่ง ขอแค่ให้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็จะสามารถทำให้แต่ละฝักฝ่ายสงบลงได้แล้ว หากไม่มีผู้นำในหมู่มังกร บวกกับพฤติกรรมแต่ละอย่างของจักรพรรดิเจินเต๋อแล้ว ที่ราบภาคกลางจะต้องโกลาหลวุ่นวายแน่ๆ
“องค์รัชทายาท นับว่าสำเร็จแล้ว”
ฮว๋ายชิ่งหันหน้าไปมองที่กำแพงเมืองประตูอู่ เมื่อมองดูกลุ่มคนเล็กๆ ที่แน่นขนัดอยู่ในความมืด นางก็เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมาราวกับเหยียดหยันเยาะเย้ย
…
“ในที่สุดเจ้าจักรพรรดิชาติหมาก็ตายแล้ว!”
หลี่เมี่ยวเจินกำหมัดแน่น ทั้งตื่นเต้นและตื้นตันจนแทบอยากจะกรีดร้องออกมานานๆ เพื่อแสดงถึงความดีใจที่อยู่ในใจของตัวเอง
แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความเศร้าเล็กน้อย จักรพรรดิชาติหมานั่นสิ้นลง ก็หมายความว่าวัยเยาว์ของนางจบสิ้นไปด้วยน่ะสิ
เทพธิดานิกายสวรรค์ลงจากเขาเมื่อยาวเยาว์วัยและท่องไปในยุทธภพ ในช่วงสองปี คำพูดติดปากของนางก็คือ
‘ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจักรพรรดิชาติหมานั่นต้องโดนแทงตาย’
จนถึงตอนนี้ช่วงเวลาสองปีนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิองค์นั้นตายแล้ว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเศร้าโศก สรรพสิ่งยังเหมือนเดิมแต่คนกลับเปลี่ยนไป ราวกับการเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิตมาถึงจุดหมายสุดท้ายแล้ว
ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้พูดอะไร เขามีน้ำตานองอยู่เต็มใบหน้า
สิบปีในที่อยู่ในห้วงอารมณ์ของปัญญาชน ในที่สุดตอนนี้ความหดหู่ในใจก็สงบลงแล้ว
เหิงหย่วนประนมมือแล้วก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเงียบงันไม่พูดจา ราวกับกำลังหวนนึกถึงศิษย์น้องที่ตนเองเลี้ยงมากับมือ
“ถ้าพ่อข้ารู้ว่าจักรพรรดิต้าฟ่งถูกฆ่า แบบนี้เขาต้องดีใจแน่ แล้วก็คงอยากคิดจะทำสงคราม”
ลี่น่าพูด “เขาชอบทำสงครามมาก บอกว่าผู้หญิงชาวต้าฟ่งนั้นดีที่สุด เสื้อผ้าก็ดีที่สุด บ้านเรือนก็ดีที่สุด อะไรๆ ก็ดีที่สุดทั้งนั้น และก็จะแย่งเอามาหมดเลย”
พ่อของลี่น่าเป็นร่างแยกทางจิตวิญญาณ แต่วิธีการคิดนั้นออกจะผิดปกติ
‘ข้าชื่นชมวัฒนธรรมของต้าฟ่งมาก ชื่นชมทุกอย่างของต้าฟ่ง ดังนั้นข้าก็จะแย่งมันมาทั้งหมด’
…
“เจ้าขยะ ขยะ ขยะ!”
ผู้นำเต๋านิกายปฐพีที่เหยียบอยู่บนดอกบัวดำ พลางตะโกนก้องด้วยเสียงแหบแห้ง
“เจินเต๋อคือขยะของแท้ บำเพ็ญตนมาสี่สิบปีเอาไปลงที่แมวหมดแล้ว ดันมาถูกเด็กที่ฝึกวรยุทธ์มาไม่ถึงปีสังหารซะได้”
เขามีท่าทางว้าวุ่นใจเล็กน้อย
จักรพรรดิเจินเต๋อขอให้เขากักขังลั่วอวี้เหิง รางวัลคือ หลังจากเรื่องนี้จบลง เขาจะช่วยลงมือกำจัดจินเหลียน
เฮยเหลียนต้องการให้จิตเดิมสมบูรณ์แบบมานานหลายปี ที่วันนี้เขาแพ้แก่ลั่วอวี้เหิงก็เพราะพลังของเขาไม่พอ ทุกคนล้วนเป็นบุคคลระดับหนีเคราะห์กรรมขั้นสูงสุดทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร
แต่จิตเดิมของเขาเสียหาย และวิธีการที่ร้ายกาจที่สุดของลัทธิเต๋าก็คือการใช้ขอบเขตจิตเดิม
เขาถูกลั่วอวี้เหิงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสทันที แต่หากเจินเต๋อชนะได้ก็ช่างเถอะ ล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น
ผลสุดท้ายกลับขโมยไก่ไม่ได้ ดันเสียข้าวสารอีกกำมือ
ผู้นำเต๋านิกายปฐพีโกรธเกรี้ยวจนพื้นสั่นสะเทือน
ลั่วอวี้เหิงผู้มีเอวเรียวบางเปี่ยมเสน่ห์โบกกระบี่บุปผาของตนแล้วเอ่ย “ข้าก็บำเพ็ญธรรมมาได้เพิ่งจะสามสิบสี่ปีนะ อาจารย์อา…”
สีหน้าของเฮยเหลียนแข็งทื่อ ลั่วอวี้เหิงอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งรุ่น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ดันเป็นเขาที่ถูกลั่วอวี้เหิงสยบได้
เขาเพิ่งจะด่าว่าจักรพรรดิเจินเต๋อเอาสิ่งที่บำเพ็ญมาไปไว้บนร่างแมวหมดแล้ว ลั่วอวี้เหิงก็หันมาตบศีรษะเขาเต็มๆ
ต่อจากนั้น เขาก็เอ่ยคำรามราวกับเป็นสิงโตที่โกรธเกรี้ยว
“เจ้าอย่าได้ใจนักเลย อย่าได้ใจนักเลย หากวันนี้กลิ่นอายของเจ้าพุ่งพรวดราวกับกระแสน้ำไหลหลาก ไฟแห่งกรรมที่สะกดเอาไว้ก็จะออกฤทธิ์ทันที ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะรอดพ้นจากหายนะนี้ได้อย่างไร”
ลั่วอวี้เหิงใช้ชีวิตสันโดษอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปีและไม่เคยประมือกับใคร อย่างมากสุดก็คือแบ่งร่างแยกมาออกหน้าแทนร่างจริงเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง