ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 487

บทที่ 487 โต้ตอบ

ตะปูดอกแรกตอกลงไปที่หัวใจ กีดขวางการไหลเวียนขนส่งเลือดและลมปราณ ตะปูดอกที่สองปักเข้ากลางกระหม่อมที่จุดไป่ฮุ่ย ปิดผนึกทวารจิตใจ และปิดกั้นประสาทสัมผัสรับรู้โชคชะตา เลือดและพลังปราณของสวี่ชีอันถูกปิดกั้นพร้อมกัน ตบะทั้งร่างนั้นถูกปิดผนึก

สิ่งที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตนั่นก็คือ ตะปูสีทองที่เต็มไปด้วยสลักพุทธธรรมดอกนี้ คล้ายกับตั้งใจจะทำร้ายเสินซูโดยเฉพาะ ตะปูสองดอกพุ่งเข้าร่าง เสินซูก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ

เขาก็ถูกผนึกแล้วเรียบร้อย

ไม่มีสัญญาณบอกเหตุอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นสวี่ชีอันหรือว่าเสินซู ก็โดนซุ่มโจมตีต่อหน้าโหรชุดขาวทั้งนั้น ทั้งสองล้วนไม่ได้รับสัญญาณเตือนภัยอันตรายล่วงหน้าใดๆ

แม้ว่าร่างกายจะบาดเจ็บอย่างหนัก สถานการณ์รอบด้านล้วนแย่ลง ถ้าพูดถึงตบะของพวกเขาในตอนนี้แล้ว นี่มันช่างไร้เหตุผลเสียจริงๆ เลย

แต่โหรชุดขาวก็สามารถทำได้สำเร็จแล้ว

ปลายนิ้วของโหรชุดขาวนั้นคีบตะปูเจ็ดดอกที่เหลืออยู่ไว้ ไม่ได้เคลื่อนไหวมืออย่างรีบร้อนและยังมองไปทางด้านหอดูดาว มองไปยังทางซ่าหลุนอากู่และท่านโหราจารย์ที่อยู่บนแท่นแปดทิศ

โหรชุดขาวยิ้มหัวเราะเบาๆ พลางพูด “ไข่มุกไร้สีของสำนักพุทธ ช่างมีประโยชน์จริงๆ หากไม่มีมัน ข้าคงไม่มีทางที่จะไปมีอิทธิพลที่จะส่งเจ้ามาถึงตรงหน้าได้ คงไม่ถูกเจ้าและมารภิกษุค้นพบ” เพื่อที่จะรับมือกับเขา สำนักพุทธได้ละสิ่งที่สำคัญลง

ในฝ่ามือของเขา นั้นคือเม็ดไข่มุกประคำที่ถูกทำให้เป็นเศษละเอียด

เขา…เขาคือท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ซ่าหลุนอากู่ก็อยู่ที่เมืองหลวงเช่นกัน อีกทั้งท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน สามรุ่นรวมกันก็ครบแล้ว… ดวงใจของสวี่ชีอันค่อยๆ ดำดิ่งลึกลงไป

ของขวัญทั้งหลายที่มอบให้ ล้วนมีราคาแอบแฝงไว้อย่างลับๆ

ตอนนี้ คนที่ได้รับหนี้มาแล้ว

ตะปูสองดอกพุ่งเข้าร่าง พลังเลือดติดขัด พลังปราณหยุดนิ่ง แขนขายากที่จะเคลื่อนไหว

นอกจากความสามารถในการคิดพิจารณา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเลย

ลูกตาของสวี่ชีอันกลอกไปมาไม่หยุด มองเห็นแค่เพียงยอดบนสุดของหอดูดาว

โหรชุดขาวละสายตากลับมา มองที่สวี่ชีอันพลางพูด

“เมืองหลวงคืออาณาเขตของเขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซ่าหลุนอากู่ก็ยังมีชีวิตอยู่จนเป็นพันปีแล้ว แต่สิ่งที่แฝงอยู่ที่หยั่งรากลึกลงไป ถ้าหากพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีอย่างสุดความสามารถ การขัดขวางเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทางฝั่งลั่วอวี้เหิงก็มีผู้นำเต๋านิกายปฐพีขวางทางไว้อยู่

“คนที่สามารถช่วยเจ้าได้ มีเพียงแค่จ้าวโส่วผู้เดียวเท่านั้น แต่ทว่า ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสี่ ก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นัก”

ใบหน้าของโหรชุดขาวท่านนี้ดูพร่าเบลอและเลือนราง ราวกับว่าปกคลุมไปด้วยกระเบื้องโมเสก ทำให้สวี่ชีอันไม่มีทางที่จะมองใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูสบายใจและสงบนิ่ง ด้วยความมั่นใจอย่างที่สุดว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม

ดาบสยบดินแดน รีบมาช่วยข้าที…สวี่ชีอันกรีดร้องในใจ

ดาบสยบดินแดนสั่นครืนๆ แสดงเจตนาของดาบออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด

แต่โหรชุดขาวนั้นลูบจับอย่างตามอำเภอใจ ดาบทองเหลืองนั้นก็สงบลงไป ดาบสยบดินแดนนั้นถูกผนึกไว้ชั่วคราว

“อาวุธวิเศษได้รับแบบทดสอบอันยิ่งใหญ่แห่งโชคชะตาหกร้อยปี สำหรับระดับสูงในระบบธรรมดาทั่วไปแล้วนั้น นี่ถือเป็นเครื่องมือประหารชิ้นใหญ่ แต่สำหรับการจัดการกับโชคชะตา โหรที่มีความชำนาญในด้านการหลอมอาวุธและค่ายกล กลับไม่ได้เป็นภัยอันตรายเลยแม่แต่น้อย” น้ำเสียงของโหรชุดขาวสงบนิ่ง

ขณะที่พูดไป เขาก็รับดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์จากในมือของสวี่ชีอันมา ดาบนั้นสั่นไหว แสงสว่างไหลกระจายล้นออกมาจากปลายนิ้วของเขา แต่กลับไม่สามารถทำร้ายอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย

เวลาเพียงไม่นาน ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ก็สงบลง โดนผนึกไว้ชั่วคราว

“ดาบนี้น่ะ ต้องอยู่ในมือของลัทธิขงจื๊อ จึงจะสามารถแสดงพลานุภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้ มิเช่นนั้น ไม่ว่าอาวุธวิเศษใดๆ ที่ไม่ได้ปลุกเสกโดยนายท่าน ก็จะลอยอยู่บนน้ำเหมือนพืชน้ำ ไม่มีทางที่จะนำมาใช้งานได้ เมื่อใดที่พลังงานที่มีถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ก็จำเป็นต้องอุ่นเติมพลังอยู่พักหนึ่ง นี่คือเกร็ดความรู้เล็กๆ ที่โหรเพิ่งจะเข้าใจ เจ้าต้องศึกษาให้มาก”

เขาพูดอย่างไม่เดือดไม่ร้อน สวี่ชีอันที่พูดอยู่นั้นสีหน้าซีดขาว ในใจนั้นเป็นกังวลเป็นอย่างมาก

ฟิ้ว!

เวลานี้ แสงแปลบปลาบของดาบนั้นพุ่งออกมา ตัดไปทางโหรชุดขาว

เขาฉวยมันติดมือขึ้นมาจากในน้ำ จับดาบไท่ผิงไว้ในมือ พลางส่ายหน้าอย่างสิ้นหวังหน่อยๆ

“ในเวลาที่อาวุธแยกกับเจ้าของ มีสิ่งเดียวที่นายท่านสามารถรู้ได้ คือสำหรับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง มันก็ไม่ได้มีประโยชน์มากมายนักแล้ว”

ลำแสงในฝ่ามือของโหรชุดขาวประกายขึ้นมาปกคลุมบนดาบไท่ผิง ทันใดนั้นอย่างรวดเร็ว ตัวดาบที่สั่นระริกก็สงบลง ดาบไท่ผิงก็ถูกผนึกไว้แล้วเช่นกัน เมื่อขว้างดาบทิ้งออกจากมือไป ดาบไท่ผิงก็ตกลงที่ปากประตูเมืองที่ถล่มลงมาเป็นซากปรักหักพัง ปักลงอยู่บนพื้น

“ยังมีกลอุบายอะไรอีกหรือไม่? ถ้าหากไม่มีแล้วล่ะก็ ข้าก็จะพาเจ้าไปแล้ว” โหรชุดขาวพูด

ณ เวลานี้ สวี่ชีอันพบว่าตนเองสามารถพูดได้แล้ว เขาจึงลองเอ่ยพูด “โชคชะตาบนตัวของข้า เป็นท่านที่เก็บซ่อนไว้หรือ?”

โหรชุดขาวไม่ตอบอะไร มือข้างหนึ่งจับบ่าของเขาเอาไว้ ร่างนั้นก็กะพริบและพาเขาจากไป

ภาพตรงหน้าของสวี่ชีอันเบลอ เป็นฉากพร่ามัว เขาพบว่าร่างของตนเองนั้นอยู่แถวเขตนอกเมือง ทางด้านซ้ายเป็นไร่นาที่ถูกทิ้งร้างทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ทางด้านขวานั้นเป็นทะเลสาบเล็กๆ ภูเขาหลายลูกที่อยู่ไกลๆ รวมตัวกันคล้ายกำลังชุมนุม

ที่นี่คือที่ไหนกันนะ…

โหรส่งเขามาโดยไม่ได้บอกเหตุผลอันใด เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ร่างของเขานั้นอยู่ที่ไหน

“ที่นี่ไม่อนุญาตให้ส่งตัวมา!”

ในน้ำเสียงสุขุมทุ้มต่ำนั้นมีเงาคนปรากฏชัดเจนขึ้นมาตรงหน้า บนหัวสวมมงกุฎแห่งปราชญ์เอก สวมใส่ชุดนักปราชญ์ขงจื๊อเก่าๆ เส้นผมบางๆ บนศีรษะ ตอนนี้ได้ถูกเก็บรวบไว้ภายใต้มงกุฎแล้ว

เจ้าสำนักจ้าวโส่ว!

“ไม่อนุญาตให้แขนขาของเจ้าแตะต้อง”

น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง แต่คำพูดที่พูดออกมา นั้นเต็มไปด้วยกฎที่ทำให้ผู้คนไร้หนทางที่จะต่อต้านและคัดค้าน

ลำแสงเจิดจ้าลำนี้ทำให้โหรชุดขาวจำเป็นต้องแยกออกจากสวี่ชีอัน จ้าวโส่วอาศัยมงกุฎแห่งปราชญ์เอก ทำให้ตำแหน่งของตนเองนั้นเลื่อนขั้นเป็นถึงระดับสอง

หลังจากที่แยกโหรชุดขาวออกไป เขาก็ออกคำสั่ง “ถอยออกไปหนึ่งร้อยลี้”

ใบหน้าของโหรชุดขาวดูสับสนแล้วก็หายไปในทันที

“ได้…ได้รับการช่วยเหลือแล้วหรือ? ไม่ใช่เจ้าบอกว่าส่งตัวมาไม่ได้หรอกหรือ? ลัทธิขงจื๊อนี่ไร้ศีลธรรมอย่างที่คิดไว้จริงๆ…”

สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เกือบจะโผเข้าหาอ้อมอกของจ้าวโส่วแล้วเรียกเขาว่าท่านพ่อ

แต่ไม่นานต่อมา สวี่ชีอันมองเห็นโหรชุดขาวปรากฏตัวอยู่ข้างกาย แล้วยิ้มพลางพูด

“ไม่เลวเลย โชคชะตาบนตัวของเจ้า คือสิ่งที่ข้าปลูกฝังเข้าในร่างกายของเจ้า จุดประสงค์เพื่อจะปิดบังท่านโหราจารย์”

สวี่ชีอันชะงักงันไปชั่วครู่ “เจ้ากลับมาได้อย่างไรกัน?”

โหรชุดขาวพูดพลางยิ้มหัวเราะ “เดินกลับมาน่ะสิ”

ระหว่างที่พูด ภายใต้เท้าของสวี่ชีอันก็ปรากฏลำแสงกระบวนพยุหะแปดทิศ ภายใต้เท้าของโหรชุดขาวก็เหยียบย่ำพอดีตรงที่ประตูลม

สวี่ชีอันมองเขาอย่างงงงวย ก่อนที่จิตใจจะดำดิ่งลงไปอีกครั้ง

สีหน้าของจ้าวโส่วไม่เปลี่ยนไป พลางพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน “กักขังบริเวณ!”

แสงลำหนึ่งพุ่งตกลงมาจากฟ้า แผ่คลุมไปบริเวณรอบๆ กว่าสิบลี้ ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ภายในกรงพันธนาการนี้เป็นอีกโลกโลกหนึ่ง และภายนอกกรงพันธนาการนี้ก็เป็นอีกโลกหนึ่ง

เขากำลังถ่วงเวลาออกไป เพื่อรอให้ท่านโหราจารย์มาถึง

โหรชุดขาวหัวเราะพลางพูด “เช่นนั้นข้าก็จะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน”

เขาก้าวเหยียบลงไป แต่ละด้านแต่ละทางของค่ายกลเกิดรูปแบบรอยขึ้นอย่างไร้หลักฐานยืนยัน เพื่อปกคลุมให้จ้าวโส่วอยู่ข้างใน ค่ายกลเหล่านี้ไม่เหมือนกัน มีรอยผสานเหมือนแสงฟ้าผ่า มีรอยวนเป็นเกลียวสลัวๆ ของหมอก มีรอยถูกตีทั่วทุกสารทิศ มีรอยเปลวไฟลุกโชน แต่กลับหลอมผสมรวมกันเป็นหนึ่งค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกมันเหล่านั้นปรากฏพร้อมๆ กันใต้เท้าของจ้าวโส่ว แล้วผนึกกำลังกันรัดแน่น

มงกุฎบนหัวของจ้าวโส่วอ่อนแสงลง พลังอันยิ่งใหญ่ของการคุ้มกายา เขายกปลายนิ้วขึ้น พลางบรรจงวาดเป็นพุทธมนต์ พุทธมนต์หลอมรวมกับร่างกายของเขา ทันใดนั้นจุดสีทองเล็กๆ ก็ผลิบาน ปกป้องรักษาพลังเทพวชิระ พลังอันยิ่งใหญ่และพลังเทพวชิระทำให้เขาถูกปกป้องอย่างแน่นหนา

สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับสูงของลัทธิขงจื๊อแล้ว ขอเพียงแค่ได้พบเจอก็สามารถใช้ได้แบบฟรีๆ เหตุการณ์นี้ที่จ้าวโส่วใช้ฟรีๆ ก็คือระดับเพชรไร้พ่ายของสวี่ชีอัน

ต่อมา จ้าวโส่วก็ได้เลียนแบบโหรชุดขาว เอาเท้าเหยียบลงไป รอยต่างๆ ของค่ายกลก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายใต้ตัวเขา และค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น ต้องการที่จะครอบคลุมโหรชุดขาวไว้ภายใน แต่โหรชุดขาวเพียงแค่โบกแขนเสื้อ ก็สามารถกวาดล้างค่ายกลที่จ้าวโส่วแสดงไว้ให้ราบคาบ

รับมือกับโหรด้วยค่ายกล จะมีผลได้อย่างไร?

โหรชุดขาวปลดถุงหอมที่เอวออกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ชั่วพริบตาเดียว อาวุธเวทมนตร์แต่ละชิ้นก็บินว่อนปลิวออกมาราวกับได้มาฟรีๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง