ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 493

บทที่ 493 หลังจบเรื่อง

องค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจไม่ได้ตามไป หางทั้งเก้าห่อหุ้มร่างของสวี่ชีอันเอาไว้ และวางลงเบื้องหน้าจ้าวโส่ว

หางทั้งเก้ากางออก คลอเคลียผะแผ่วอยู่บนแผ่นหลังของสวี่ชีอัน ก่อนจะหายไปทีละหาง

“เดี๋ยวก่อน ฝูเซียงหายไปอยู่ที่ใด”

สวี่ชีอันที่อยู่ในสภาพร่อแร่ ฝืนตัวเองให้ถามออกไป

หางจิ้งจอกโบกไล้ ตามมาด้วยเสียงหวานของหญิงสาว แค่นหัวเราะเย้ยหยัน

“ชีวิตจะหาไม่อยู่แล้ว ยังถามหาผู้หญิงอีก ช่างเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนเสียไม่มี”

สมกับเป็นยายปีศาจนิสัยไม่ดี ไร้การอบรมจริงๆ สินะ…สวี่ชีอันเข้าใจในคำพูดถากถางของอีกฝ่าย เขาขมวดคิ้วมุ่น สายตาจ้องมองหางจิ้งจอกที่แผ่สยายไปทั่วทิศทางของอีกฝ่าย ก่อนจะเค้นถามต่อว่า

“ใครจริงใจต่อข้า ข้าก็จริงใจต่อคนผู้นั้น”

นี่เป็นพื้นฐานการอบรมของเจ้าแห่งท้องทะเล

“ข้าจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับชายในเผ่าคนหนึ่งไปแล้ว”

เสียงหัวเราะคิกคักขององค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจดังขึ้น

แม่คุณวอนหาที่ตายจริงๆ ใช่หรือไม่ ดวงตาของสวี่ชีอันเบิกกว้างขึ้นทันที!

“ล้อเล่นหรอกน่า”

ประโยคต่อมาขององค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ ทำให้สวี่ชีอันคลายโทสะลง นางจึงพูดต่อ

“ฝูเซียงกลับมารับใช้ข้าแล้ว บทบาทของนางคณิกาแห่งสำนักสังคีต สำหรับนางแล้วก็เป็นเพียงภาระหน้าที่แสนธรรมดาสามัญ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในเส้นทางชีวิตของนางเท่านั้น”

สวี่ชีอันพยักหน้า พร้อมตอบกลับอย่างอ่อนแรง

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว”

แม้จะรู้ว่าฝูเซียงเป็นบุตรในเงามืดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ และการตายของนางก็เป็นเพียงการหลบหนี แต่เมื่อได้ยินว่าตอนนี้นางยังปลอดภัยดี สวี่ชีอันก็โล่งอก ตอนนี้คงต้องปล่อยปลาตัวนี้กลับสู่ทะเลไปก่อน

ไว้หาโอกาสเหมาะๆ ค่อยเอากลับมาเลี้ยงในบ่อปลาอีกครั้งก็ได้

องค์หญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจคลี่ยิ้มหวานพลางเอ่ย ก่อนที่หางสุดท้ายจะหายไป

“จริงสิ กายเนื้อของฝูเซียงเป็นศพที่ข้าไปคุ้ยหาจากกองศพมาศพหนึ่ง เพิ่งตายได้ไม่นาน กายเนื้อยังใช้ได้ ก็เลยใช้อวิชชาคืนวิญญาณ เรียกวิญญาณของฝูเซียงมาใส่ในร่าง

“ร่างนั้นถึงจะไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่ถึงอย่างไรก็เป็นศพ ใช้การได้ไม่กี่ปี ก็เน่าเสีย ผุพังอย่างควบคุมไม่ได้ ฝูเซียงไม่มีทางเลือก จึงต้องแกล้งตายเพื่อสละร่าง”

สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อโดยฉับพลัน ราวกับกลายเป็นภาพวาด

“ต้าหลาง ต้าหลาง…”

อารองสวี่กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเห็นหางจิ้งจอกหายไปหมดแล้ว เขาก็แทบจะพุ่งตัวเข้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลานชายทันที

สีหน้าของสวี่ผิงจื้อระคนด้วยความโศกเศร้า ความคับแค้นใจ ความกังวล และความหวาดกลัว เขาจับมือของหลานชายเอาไว้แน่น กลัวว่าหากคลายมือออก หลานชายก็จะหายไป

“เหตุใดบาดแผลถึงยังไม่สมานกันเล่า ขั้นสามเขาเรียกกันว่าร่างอมตะไม่ใช่หรือ”

อารองสวี่ตรวจดูรอบหนึ่ง ด้วยความร้อนรนใจ

เพราะอาการบาดเจ็บของหลานชายไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย บาดแผลจากหยกสลายสองครั้งคงอยู่ ตะปูตอกวิญญาณเก้าดอกยังฝังอยู่ในเลือดเนื้อของเขา บาดแผลในช่องท้องก็ยังมีเลือดสีแดงข้นคลั่กไหลทะลักออกมาไม่หยุด

นอกจากนี้เลือดยังไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ดูสภาพน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง เขาคิดว่าอาจจะตายจากพิษบาดแผลได้ตลอดเวลา

“เขาก้าวมาถึงขีดจำกัดแล้ว จำเป็นต้องรักษาโดยด่วน”

จ้าวโส่วพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง อดทนต่ออาการปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ห้ามเลือด”

เลือดจากบาดแผลฉกรรจ์เหวอะหวะจนน่ากลัวเหล่านั้นค่อยๆ หยุดลง ทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น

ในสายตาของจ้าวโส่ว มองว่าที่สวี่ชีอันยังไม่ตายในตอนนี้ เป็นภาพสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของพลังชีวิตของทหารได้เป็นอย่างดี

เขาผลาญพลังชีวิตไปมหาศาลในศึกชี้ชะตากับเจินเต๋อ บาดเจ็บมาไม่น้อย โดยเฉพาะบาดแผลจากการเอาทองไปรู่กระเบื้อง สังหารศัตรูหนึ่งพันส่วน เข้าตัวเองแปดร้อยส่วน ซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

จากนั้นเขาก็ตะปูตอกวิญญาณฝังแน่น สกัดกั้นพลังปราณและปราณโลหิต ทำให้ทหารผู้มีตบะขั้นสามอย่างเขา ออกแรงไม่ได้แม้แต่นิด

สุดท้าย เขายังใช้วิชาสาปสังหารจากบันทึกลัทธิขงจื๊อ สละตนเองเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เพื่อให้โหรชุดขาวสวี่ผิงเฟิงได้ลิ้มรสผลสะท้อนของโชคชะตา

ผลสะท้อนจากการสังหารผู้มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่

เป็นการสังหารศัตรูแปดร้อยส่วน เข้าตัวเองหนึ่งพันส่วน

ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ทั้งที่อาการบาดเจ็บทับถมกันหนักเช่นนี้ หากไม่เป็นเพราะพลังชีวิตอันแข็งแกร่งของทหารแล้วจะเป็นอะไรได้อีก

“รีบกลับไปเมืองหลวงก่อนเถิด ตอนนี้คนเดียวที่จะช่วยเขาได้มีแต่ท่านโหราจารย์”

จ้าวโส่วมองสงครามที่อยู่ไกลออกไป ด้วยตบะขั้นสามของเขา ไม่อาจสอดแนมการปะทะระหว่างพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง และอาณัติสวรรค์ขั้นหนึ่งได้ เพราะที่นั่นถูกค่ายกลครอบคลุมไว้ทั้งหมด

ท่านโหราจารย์กำลังตัดทางหนีของพระโพธิสัตว์หญิง เขาต้องการสังหารพระโพธิสัตว์

สวี่ผิงจื้ออุ้มหลานชายของเขาขึ้นมาและพยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

เขาจำทุกอย่างได้แล้ว เขาจำเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา จำพี่ใหญ่ อัจฉริยบุคคลแห่งใต้หล้า ผู้เป็นหนึ่งไม่มีสองได้แล้ว

เขาจำภาพของบ้านสกุลสวี่ที่เคยรุ่งเรืองได้

ทว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงกลุมควันแห่งอดีตไปเสียแล้ว แต่ละปีมีขุนนางใหญ่และเศรษฐีผู้ร่ำรวยทั้งหลายในเมืองหลวงสูญสิ้นอำนาจ และถูกยึดทรัพย์ทุกปี ในระหว่างที่เกิดการอำพรางความลับสวรรค์ ไม่มีใครจดจำความรุ่งเรืองของบ้านสกุลสวี่เมื่อยี่สิบปีก่อนได้เลย

กลางดึก ณ ห้องทรงพระอักษร

แสงเทียนสว่างไสวเหมือนเวลากลางวัน

องค์รัชทายาทนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทรงพระอักษร ด้วยความรู้สึกที่คละเคล้า ทั้งปลงตก ตื่นเต้น ระทึกใจ และหวาดหวั่น…ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ต้องเผชิญกับงานแต่งงานเพียงครั้งเดียวในชีวิต

องค์รัชทายาทรู้ดีว่าตนจะได้ขึ้นครองราชย์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับค่ำคืนนี้

ในขณะนี้เอง ใต้เท้าขุนนางทั้งหลายก็นั่งจิบชา รับประทานของว่างรอการหารืออยู่ในห้องโถงด้านข้าง

จักรพรรดิถูกบั่นคอ บ้านเมืองกลายเป็นมังกรไร้หัว องค์รัชทายาทต้องก้าวขึ้นมาเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวมเป็นเรื่องปกติ และยังถือเป็นความหมายในการดำรงอยู่ขององค์รัชทายาทด้วย

ประเทศชาติไม่อาจขาดกษัตริย์ได้แม้เพียงหนึ่งวัน และจะขาดมกุฎราชกุมารไม่ได้แม้แต่วันเดียว

บทบาทของมกุฎราชกุมารถูกขับเน้นขึ้นมาในเวลานี้ หากต้าฟ่งไร้ซึ่งองค์รัชทายาท บ้านเมืองจะถึงคราวระส่ำระสายก็ตอนนี้

หลังจากการปลอบขวัญในช่วงกลางวัน ชาวเมืองทุกชนชั้นในเมืองหลวงดูจะทำใจได้แล้ว แต่พวกที่มีปัญหารุนแรงที่สุดคือเหล่าชนชั้นรากหญ้าทั้งหลาย พวกเขารวมตัวกันที่หน้าประตูเขตพระราชฐาน และที่ทำการปกครอง และโห่ร้องขอพบฆ้องเงินสวี่

ชาวเมืองต่างสงสัยว่าราชสำนักแอบจับกุมเขา หรือถึงขั้นปลิดชีพเขาอย่างลับๆ

สมุหราชเลขาธิการหวางให้องค์รัชทายาทระดมกำลังทหารรักษาวังเข้าควบคุมสถานการณ์ในเมือง ขณะเดียวกันก็สั่งการให้ขุนนางในเมืองหลวงออกมาปลอบขวัญประชาชนด้วย ต้องใช้การรับมือสองทาง จึงจะป้องกันการจลาจลที่อาจปะทุขึ้นได้

“ฝ่าบาท ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีชราก้าวข้ามธรณีประตู ยืนอยู่เบื้องล่าง พร้อมกล่าวทูลด้วยเสียงแผ่วเบา

สมุหราชเลขาธิการหวางสวมชุดคลุมสีแดง พร้อมหมวกขุนนางเต็มยศ ย่างก้าวเข้าไปในห้องทรงพระอักษรอย่างมั่นคง

เมื่อเทียบกับกลุ่มขุนนางที่มีท่าทีตื่นตระหนก สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการกลับราบเรียบ ท่าทางจิตใจดีพร้อม ราวกับได้เกิดใหม่ ปัดเป่าโรคภัยของเขาออกไปจนหมด

“ฝ่าบาท!”

สมุหราชเลขาธิการหวางโค้งคำนับ

“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ ในเวลานี้เราควรทำอย่างไรดี”

องค์รัชทายาทจ้องมองไปยังสมุหราชเลขาธิการหวาง

เขารู้ดีว่าสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยให้เขาก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ได้ และเป็นคนที่เขาสามารถพึ่งพาได้ในอนาคต ตราบใดที่เขาเป็น ‘พันธมิตร’ กับสมุหราชเลขาธิการหวางได้ เขาก็สามารถสยบทุกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว และก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคง

ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะในพรรคหวางมีสมาชิกพรรคขององค์รัชทายาทอยู่มากมาย

แน่นอนว่าสมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้เข้าเป็นพวกด้วย เนื่องจากในเวลานั้นถูกพระราชบิดากดทับอยู่ สมุหราชเลขาธิการหวางจึงไม่อาจเข้าพวกไปโดยปริยาย

แต่ในความเป็นจริงตัวสมุหราชเลขาธิการหวางเองก็อยู่ในพรรคขององค์รัชทายาทเช่นกัน หรืออย่างน้อยก็เอนเอียงเข้าหาตัวเขาอยู่บ้าง มิฉะนั้นคงไม่ทนดูสมาชิกพรรคหวางแอบเข้าพวกกับเขาอย่างลับๆ เช่นนี้

สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าว “สิ่งที่พระองค์ต้องทำมีอยู่สามประการ ประการแรก ปลอบขวัญประชาชน ประการที่สอง ปลอบขวัญกองทัพ ประการที่สาม ปลอบขวัญท้องพระโรง”

องค์รัชทายาทโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางคิดว่าเราควรจะปลอบขวัญทั้งสามฝ่ายเช่นไร”

สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวถ้อยแถลงเนิบช้า ราวกับวางแผน เตรียมโครงร่างมาแล้วเป็นอย่างดี

“ฝ่าบาท เรื่องที่สวี่ชีอันบั่นคออดีตองค์จักรพรรดิเป็นที่รู้กันโดยทั่วนอกเมืองหลวง เรื่องนี้ไม่อาจปกปิดได้ หากฝืนปิดบังเรื่องราว มีแต่จะทำให้ประชาชนเดือดดาล และสิ้นความเชื่อใจในราชสำนัก”

ตอนนี้ เมื่อนึกถึงสวี่ชีอัน ผู้คนในเมืองหลวงต่างนึกถึงเขาในฐานะยอดคนผู้บั่นคอจักรพรรดิ

องค์รัชทายาทถอนหายใจหนึ่งครั้ง เรื่องนี้เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่ผิด

หวางเจินเหวินกล่าวต่อ

“ป่าวประกาศการกระทำของอดีตจักรพรรดิออกไปต่อสาธารณชน ให้รู้ทั่วกันในใต้หล้า ว่าเขาเป็นผู้ตัดเสบียงอาหารกองทัพ ทำร้ายขุนนางตงฉิน ส่งผลให้พลทหารกว่าแปดหมื่นรายต้องถูกปลิดชีพด้วยน้ำมือของสำนักพ่อมด จากนั้น องค์รัชทายาทในนามของบุตรแห่งสวรรค์ ท่านจงประณามความต่ำช้าของอดีตจักรพรรดิ ห้ามไม่ให้ตั้งแผ่นป้ายจารึกของอดีตจักรพรรดิตั้งไว้ในศาลบรรพบุรุษ ไม่ให้นำอัฐิฝังไว้ในสุสานจักรพรรดิ

“และท้ายที่สุด โปรดตกรางวัลแก่สวี่ชีอัน คืนตำแหน่งขุนนางให้กับเขา พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ และประกาศให้ประชาชนในใต้หล้ารับรู้โดยทั่วกัน เช่นนี้ ความเชื่อใจของประชาชนและกองทัพก็จะกลับมามั่นคงดังเดิม การกระทำของอดีตจักรพรรดินั้นจะนำพาความอัปยศอย่างใหญ่หลวงมาสู่ท้องพระโรงและราชวงศ์อย่างแน่นอน ทว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทกระทำนั้นจะทำให้ประชาชนใต้หล้าและบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ พวกเขาจะคาดหวังถึงความเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ จากพระหัตถ์ของจักรพรรดิองค์ใหม่”

หวางเจินเหวินกล่าวถึงอดีตจักรพรรดิ ซึ่งหมายถึงจักรพรรดิหยวนจิ่ง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”

องค์รัชทายาทตกตะลึงจนหน้าถอดสี ในใจคิดว่าเจ้าอยากให้ข้าเป็นลูกอกตัญญูให้ได้ใช่หรือไม่

ต่อให้อดีตจักรพรรดิผู้ล่วงลับจะเลวทรามปานใด แต่พ่อลูกก็ยังคงเป็นพ่อลูกกันอยู่วันยังค่ำ ใครจะด่าทออดีตจักรพรรดิอย่างไรก็ว่าไป แต่ในฐานะลูกชายเขาทำไม่ลง

แม้จะมีเหตุผลมารับรอง แต่ก็ต้องถูกตีตราว่าเป็นลูกอกตัญญูอยู่ดี

ความอัปยศอดสูนี้อาจจะไม่เลือนหายไปในเวลาอันสั้น แต่จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ตราบนานเท่านาน

ตลอดชั่วราชวงศ์ ต่อให้ราชโอรสก่อกบฏช่วงชิงบัลลังก์ แต่ก็ยังต้องเคารพพระราชบิดา ด้วยการจองจำในพระราชวัง

ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีกรณีทารุณพระศพของพระราชบิดาสักครั้ง เพราะเป็นประเด็นที่อ่อนไหวเกินไป คนฉลาดทั่วไปล้วนไม่ทำเช่นนั้น

“องค์รัชทายาทต้องสั่งสมบารมีชื่อเสียงโดยเร็ว เอาชนะใจประชาชน สร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อราชวงศ์ใหม่ นี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว มีจักรพรรดิที่ทรงพระปรีชาสามารถเช่นพระองค์ขึ้นครองราชย์ และสวี่ชีอันที่ได้รับบรรดาศักดิ์ เข้าไปอยู่ในท้องพระโรงเช่นนี้ สถานการณ์โดยรวมย่อมคลี่คลาย”

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” องค์รัชทายาทกล่าวพร้อมส่ายหน้า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง