บทที่ 495 ความรักอันหวานซึ้งต้องห้าม
รุ่งเช้า สำนักอวิ๋นลู่
ในลานเล็กที่บ้านสกุลสวี่อาศัย สวี่ชีอันหน้าซีดขาว ค้ำไม้เท้ายืนอยู่กลางห้อง ทอดมองสวี่ผิงจื้อพลางเอ่ย
“อารอง พวกเราไม่จำเป็นต้องไปเจี้ยนโจวแล้ว อีกพักหนึ่งพวกท่านก็กลับจวนไปเถอะ”
จักรพรรดิองค์ปัจจุบันสวรรคตแล้ว ภัยพิบัติซ่อนเร้นที่ใหญ่หลวงสุดในเมืองหลวงก็ถูกขจัดสิ้น คนอื่นๆ รวมถึงองค์รัชทายาทไม่ได้ขัดผลประโยชน์กับเขาโดยตรง ตอนนี้องค์รัชทายาทแทบจะถึงขั้นมอบธงชนะเลิศให้เขาเป็นการขอบคุณ
นอกจากนี้ชื่อเสียจากการประหารทรราช ใครจะกล้ายั่วยุฆ้องเงินสวี่อีกเล่า
ดังนั้นครอบครัวอารองจึงปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องไปลี้ภัยที่เจี้ยนโจว
สวี่ผิงจื้อส่งเสียง ‘อืม’ จ้องมองเขา แล้วพูดอึกอัก
สวี่ชีอันหันหลังจ้องมองอาสะใภ้ หยิบตั๋วเงินซ้อนเป็นชั้นออกมาจากอกพร้อมเอ่ย
“อาสะใภ้ ขอบคุณที่ดูแลในหลายปีมานี้ เมื่อก่อนข้าไม่รู้ประสีประสา นิสัยหุนหันพลันแล่น ท่านโปรดอย่าถือตำหนิโทษเลย ข้าสะสมตั๋วเงินไว้ส่วนหนึ่ง ท่านเก็บไว้ให้ดี ค่าอาหารใช้สอยของครอบครัวยังอาศัยให้ท่านจัดการ รับเอาไว้ ข้าจะออกจากเมืองหลวงระยะหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้เมื่อใด”
อาสะใภ้เม้มปาก รับตั๋วเงินมาพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ข้าจะเก็บตั๋วเงินแทนเจ้าเอง เป็นค่าตบแต่งลูกสะใภ้ในอนาคต”
งั้นแค่นี้คงไม่พอ ภรรยาข้ามีมากนัก…สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก แล้วหันกลับไปมองสวี่หลิงเยวี่ยพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่ออกจากเมืองหลวงในครั้งนี้ อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย สั้นหน่อยก็สักปีหรือครึ่งปี นานหน่อยก็สามปีขึ้นไป ถึงตอนนั้นหลิงเยวี่ยคงออกเรือนไปแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ดื่มสุรามงคลในงานของเจ้า”
สวี่หลิงเยวี่ยกัดริมฝีปาก น้ำตาเอ่อคลอนัยน์ตาสวย
สาวน้อยวัยสิบแปดปีราวกับดอกพุดตานที่ไหวพลิ้วท่ามกลางธารใสในเดือนหก งามวิจิตร เจิดจ้า และสะอาดสะอ้าน
ดอกไม้อันบอบบางที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องแสนลึกของบ้านสกุลสวี่ โศกเศร้าเหลือล้นกับความจริงที่พี่ใหญ่กำลังจะจากไป
จากนั้นสวี่ชีอันยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเสี่ยวโต้วติง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ให้พี่ใหญ่กอดเจ้าหน่อย พี่ใหญ่ไม่เคยได้กอดเจ้าดีๆ เลยสักครั้ง…”
สวี่หลิงอินกอดคอพี่ใหญ่ แล้วประกาศเสียงดัง
“พี่ใหญ่ ข้าจะซ่อนน่องไก่ไว้ให้ดีรอท่านกลับ”
ซ่อนในรองเท้าอีกน่ะหรือ มันยังกินได้ใช่ไหม กินแล้วจะไม่ตายคาที่ใช่หรือเปล่า…สวี่ชีอันลูบศีรษะของน้องเล็กอย่างตื้นตัน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ซ่อนไว้ในรองเท้าสักไม่กี่วัน จากนั้นก็เหลือให้ท่านอาจารย์กินบ้างนะรู้ไหม”
สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างแรง “อื้อ!”
สวี่ชีอันอำลาครอบครัวก่อนจะออกจากลานเล็กไปตามขั้นภูเขาและลงเขาไปเพียงลำพัง
“พี่ใหญ่…”
เสียงเรียกของสวี่หลิงเยวี่ยดังตามหลัง น้องสาวคนโตไล่ตามมาอย่างกระหืดกระหอบ แล้วตะโกนไล่หลังเขา
“ข้าคิดจะไปบำเพ็ญเพียรที่อารามรัตนะ ขะ ข้าจะรอท่านกลับมา”
สวี่ชีอันฝีเท้าหยุดชะงัก ไม่ได้หันกลับและลงเขาต่อไป
ภายในห้อง หลังจากสวี่ชีอันจากไป อาสะใภ้ก็ทอดมองตั๋วเงินในมือ แล้วเอ่ยเสียงเบา
“นายท่าน ข้าคิดออกแล้ว มารดาของต้าหลางให้กำเนิดเขาก่อนจะจากไป ก่อนจากไปกำชับข้าว่าจะต้องเลี้ยงดูเขาให้ดีจนเติบใหญ่ ข้าจำได้ว่าพี่สาวเป็นคนดีมาก สง่าอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ตอนนั้นนางจับมือข้า ฝากฝังให้ข้าดูแลต้าหลาง พูดด้วยความนอบน้อมจริงใจเช่นนั้น…ข้ารู้ว่าตอนนั้นนางก็เสียใจที่ทอดทิ้งต้าหลาง”
อาสะใภ้เงยหน้าขึ้นด้วยน้ำตาที่ไหลอาบเต็มใบหน้า “นายท่าน ข้าเลี้ยงดูเขามานานแรมปีเช่นนี้ เขาก็เป็นลูกชายคนหนึ่งของข้า แต่ตอนนี้คนผู้นั้นกลับมาหมายจะเอาชีวิตเขา ขะ ข้าเสียใจยิ่งนัก…”
หัวใจของอารองสวี่ราวกับโดนมีดกรีด
…
อารามรัตนะ
สวี่ชีอันค้ำไม้เท้าไปหาเณรน้อยที่เฝ้าประตู แล้วส่งยิ้มให้น้อยๆ “ข้ามาพบราชครู”
ก่อนหน้าที่จะมา เขาได้เคยสืบข่าวจากท่านโหราจารย์เรื่องที่ราชครูประมือกับผู้นำเต๋านิกายปฐพี
ท่านโหราจารย์บอกว่าบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็ส่งเสียง ‘คิก’
“ไฟแห่งกรรมแผดเผาร่าง”
เณรน้อยชำเลืองมองเขาพร้อมเอ่ย “ผู้นำเต๋าเคยกำชับไว้ หากคุณชายสวี่มาพบนางให้เข้าไปได้เลย”
อารามรัตนะให้สิทธิ์ข้าฝ่าตรงเข้าไปได้เลย งั้นลั่วอวี้เหิงล่ะ
สวี่ชีอันพึมพำในใจ แล้วยันไม้เท้าเข้าไปในอารามรัตนะ
เมื่อมาถึงลานเล็กอันเงียบเหงาก็ผลักประตูห้องสงบใจออกอย่างชำนาญลู่ทาง
สวี่ชีอันชะงัก จากบนร่างของนางมองเห็นภาพลักษณ์ท่านน้าผู้ใจดี สหายของมารดา และพี่สาวที่เป็นเพื่อนบ้านไปพร้อมกัน
นี่จึงทำให้เขาตกตะลึง เพราะลั่วอวี้เหิงเหมือนจะควบคุมตนไม่ได้อยู่หน่อยๆ และมิอาจกักเก็บ ‘เสน่ห์’ ของนางได้
สำหรับยอดฝีมือขั้นสองคนหนึ่ง ประจักษ์ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี นี่หมายความว่าสถานการณ์ของไฟแห่งกรรมแผดเผาร่างรุนแรงนัก
“คิดว่าเจ้าคงจะเห็นแล้วว่าสภาพข้าย่ำแย่นัก”
ริมฝีปากแดงของลั่วอวี้เหิงเปิดขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเผยให้เห็นความงามล้ำที่ไม่เหมือนใครของสาวใหญ่
“ข้ารู้”
สวี่ชีอันทอดถอนใจ “ข้าก็อาบน้ำก่อนหน้าที่จะมาแล้ว”
การมาเยือนของเขาในครั้งนี้ นอกเสียจากมาดูสถานการณ์ของลั่วอวี้เหิง อันที่จริงยังมีความคิดที่จะ ‘ต่อรอง’ หวังว่าลั่วอวี้เหิงจะยืดเวลาไปได้อีกสักหน่อย รอเขาได้รับชีเจวี๋ยกู่ หากสภาพร่างกายดีขึ้น ค่อยทำตามสัญญา
คาดไว้ว่าสถานการณ์ของลั่วอวี้เหิงย่ำแย่ถึงระดับนี้
ลั่วอวี้เหิงสีหน้าราบเรียบและเอ่ยต่อ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นเพียงร่างอวตารของข้า ซึ่งจะสลายไปภายในสามวัน ร่างเดิมตัดขาดไปแล้ว”
ในคราแรกสวี่ชีอันก็แยกไม่ออกว่าตนยินดีหรือผิดหวัง
ด้วยสภาพร่างของเขาตอนนี้ ฝืนบำเพ็ญคู่ก็มีแต่ต้อง ‘เชิญท่านน้าทำเอง’
ประจักษ์ชัดว่านี่ไม่เข้ากับภาพลักษณ์หอกยาวพุ่งชี้ อานุภาพขจัดทุกอุปสรรคของเขา จะทำให้ลั่วอวี้เหิงดูแคลนเอา
ตะ แต่ว่า…นางช่างเย้ายวนใจจริงๆ
ร่างอวตารของลั่วอวี้เหิงเอ่ยต่อ “บำเพ็ญคู่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่ง ครั้งหนึ่งอย่างน้อยเจ็ดวัน หลังจากสู้กับผู้นำเต๋านิกายปฐพี ร่างเดิมก็ยากจะหยุดยั้งไฟแห่งกรรม ไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์ของเจ้าเป็นอย่างไร เพื่อช่วยเหลือตนเองจึงได้แต่ตัดขาดจากโลก ฝืนขจัดไฟแห่งกรรม”
ครั้งหนึ่งอย่างน้อยเจ็ดวัน ครั้งหนึ่งอย่างน้อยเจ็ดวัน…สวี่ชีอันเหลือแค่ประโยคนี้อยู่ในหัว
ตกใจอยู่บ้าง
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยต่อ
“หลังจากครั้งนี้ เกรงว่าร่างเดิมก็ยากจะเริ่มหยุดยั้งไฟแห่งกรรมได้อีก ดังนั้นการบำเพ็ญคู่จึงมิอาจหลีกเลี่ยง ไฟแห่งกรรมจะปะทุขึ้นเดือนละครั้ง วันนี้ของเดือนถัดไปนางจะไปหาเจ้า”
นางเอ่ยพลางสะบัดแขนเสื้อ ยันต์กระดาษเหลืองพับเป็นสามเหลี่ยมปรากฏขึ้นบนโต๊ะ
“นี่เป็นยันต์ตรึงตำแหน่ง เก็บมันไว้ให้ดี หลังจากนี้หนึ่งเดือน ร่างเดิมจะมาหาเจ้าเอง”
พูดจบร่างอวตารก็เริ่มสลายไป
นี่คือเขินหรือ สวี่ชีอันหยิบยันต์สามเหลี่ยมขึ้นมา แล้วเก็บลงไปอย่างเงียบๆ
ดูท่าว่าหลังจากปลงพระชนม์ ลั่วอวี้เหิงจะยอมรับเขาอย่างเต็มที่ จึงตัดสินใจผูกเป็นคู่บำเพ็ญธรรมกับเขา
ก่อนหน้านี้ลังเลมาตลอดว่าจะบำเพ็ญคู่กับตนดีหรือไม่ เพราะยังไม่ยอมรับอย่างเต็มที่ อย่างไรเสียคู่บำเพ็ญธรรมก็เป็นเรื่องของทั้งชีวิต ลั่วอวี้เหิงปฏิบัติด้วยความระมัดระวังก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
ก่อนที่เขาจะไปด่านซานไห่ พลังบำเพ็ญอยู่แค่ขั้นห้า สำหรับยอดฝีมือขั้นสองก็กระจอกไปหน่อยจริงๆ
ตอนนี้สวี่ชีอันอยู่ขั้นสาม ทหารขั้นสามในต้าฟ่งที่มีน้อยนับนิ้วได้ พอที่จะเทียบเคียงกับสถานะตัวตนของลั่วอวี้เหิงได้
ก็ดี หนึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน…สวี่ชีอันออกจากอารามรัตนะมุ่งไปที่พระราชวัง
…
ตำหนักเส้าอิน
ห้องบรรทมปูด้วยไส้เดือนดินเผาถ่านนับไม่ถ้วน ปลายสารทฤดูภายในห้องอบอุ่นราวกับวสันตฤดู ไม้จันทน์ตลบอบอวลอยู่กลางอากาศ กลิ่นของแป้งน้ำสีชาด และกลิ่นกายเบาบางของหญิงสาว
ชั่วขณะหนึ่ง หญิงสาวที่ขดตัวนอนอยู่บนตั่งผ้าแพรพลันตื่นขึ้น พลิกตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าซีดขาว
“หง หงซิ่ว…”
นางเรียกหาเสียงแผ่ว น้ำเสียงไร้ซึ่งพลัง
สาวใช้ที่นอนพิงอยู่ข้างตั่งพลันตื่นขึ้น แล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “องค์หญิงเพคะ!”
หลินอันเอ่ยกระซิบ “น้ำ ข้าอยากดื่มน้ำ…”
สาวใช้รีบเดินไปที่ข้างโต๊ะ ปัดกาสุราที่เดี๋ยวก็พลิกหงายเดี๋ยวก็ตั้งตรงออกเบาๆ จากนั้นรินชาอุ่นให้นาง
องค์หญิงหลินอันดื่มสุราเมื่อคืน เมามายไม่ได้สติ แม้จะดื่มสุราเข้าไปมาก ทว่านางก็ไม่ได้คลุ้มคลั่ง เพียงก้มหน้าร้องไห้ฟูมฟายอยู่ริมโต๊ะ
เหล่าสาวใช้ในใจกระจ่างชัด องค์หญิงอาศัยสุราดับกลุ้มก็ยิ่งกลุ้ม
กลางดึกของคืนวาน องค์รัชทายาทส่งคนมาแจ้งข่าวองค์หญิงหลินอันว่า สำนักพ่อมดสมคบคิดกับหยวนสยงรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวาคนสนิทของฝ่าบาทและฉินหยวนเต้ารองเจ้ากรมกรมทหาร
ใช้เวทมนตร์ควบคุมฝ่าบาทและตัดเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าของกองกำลัง สังหารทหารแปดหมื่นนายและเว่ยเยวียนที่เมืองจิ้งซาน
ด้วยโทสะของฆ้องเงินสวี่ จึงปลงพระชนม์ฝ่าบาทที่นอกเมืองหลวง
เมื่อองค์หญิงฟังจบก็ตกตะลึง ไปที่ตำหนักตะวันออกด้วยสีหน้าซีดขาว เหมือนจะไปเผชิญกับองค์รัชทายาท
เป็นเวลานานนักกว่านางจะกลับมา จากนั้นก็เริ่มดื่มสุราไม่จบไม่สิ้น ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ร้องเสร็จก็ดื่มต่อ
เมื่อเหล่าสาวใช้เห็น หัวใจก็ราวกับถูกมีดกรีด ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า
รับใช้องค์หญิงหลินอันมานานแรมปีเช่นนี้ ไม่เคยเห็นนางโศกเศร้าเช่นนี้มาก่อน
เมื่อคิดดูก็ไม่ใช่เพียงฝ่าบาทที่เอ็นดูนางที่สุด ยิ่งเป็นเพราะผู้ที่ปลงพระชนม์พระบิดาคือชายผู้นั้น
ตอนนี้เมื่อนึกย้อนขึ้นมา หงซิ่วแทบจะยืนยันได้ว่าองค์หญิงตกหลุมรักฆ้องเงินสวี่
จะทำอย่างไรดี องค์หญิงยังเป็นหญิงไร้คู่หมั้นหมาย เมื่อได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้ กลัวว่าจะโศกเศร้าไปอีกแสนนาน
จะให้แนะนำพวกนางก็ไม่กล้า
บ่าวก็คือบ่าว จะกล้าพูดสอดเรื่องขององค์หญิงได้อย่างไร
“องค์หญิง ชาเพคะ ค่อยๆ ดื่มนะเพคะ”
หงซิ่วประคองชาอย่างระมัดระวังและยื่นส่งมา
หลินอันประคองชาและดื่มอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาที่อดีตเคยมีชีวิตชีวากลับมัวหมองและมืดมน
ทันทีที่ดื่มชาเสร็จก็มีสาวใช้มายังนอกห้องบรรทม เคาะประตูสองครั้งก่อนจะเอ่ยกระซิบ
“องค์หญิง ฆ้องเงินสวี่มาแล้วเพคะ…”
หงซิ่วมองไปที่หลินอันทันที เห็นเพียงนัยน์ตาขององค์หญิง ในพริบตานั้นก็เปล่งประกายสีสันอันลานตาออกมา ทว่าวินาทีต่อมาก็กลับดับมอดลงช้าๆ
หลินอันเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ ไม่พบเขา!”
“เพคะ บ่าวคนนี้จะไปบอกให้”
“ช้าก่อน…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง