บทที่ 509 ศัตรูครึ่งตัว
สวี่ชีอันหันหน้าไปมองมู่หนานจือเป็นเชิงถามความเห็น
คนหลังส่ายหน้าแล้วยิ้มหวานหยด
นางมีความสุขยิ่งที่สวี่ชีอันมักจะให้ความเคารพกับนางมากที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องถามความเห็นของนาง สำหรับมู่หนานจือแล้ว เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ใหม่และไม่เคยมีมาก่อน
นางรู้สึกว่าตนได้รับความสำคัญ และรู้สึกว่าอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันกับเขา ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบอยู่ใต้บัญชาของเขา
“ขออภัย เราเดินทางตะลอนกันไปทั่ว เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางยิ่ง จึงไม่อยากย้ายไปที่ใดแล้ว”
สวี่ชีอันปฏิเสธหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีฟ้าคราม
คิ้วเรียวละเอียดอ่อนขมวดมุ่น จากนั้นจึงหยิบแท่งทองกลับมาโดยไม่พูดอะไร ก่อนหันกายจากไป
“วันนี้ถึงเจ้าไม่ย้ายก็ต้องย้าย!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเยือกเย็นดังขึ้น ชายหนุ่มรูปงามที่สงสัยว่าน่าจะเป็นเจ้าแห่งตำหนักมังกรตงไห่ เดินข้ามธรณีประตูมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
เขาสวมชุดสีดำปักดิ้นเงินดิ้นทอง เครื่องประดับหยกส่งเสียงกระทบกัน ความสูงส่งหรูหราพุ่งทะลุออกมา
สวี่ชีอันกวาดตามอง เขาเห็นจุดที่ผิดกฎหมายบนตัวชายคนนั้นสามแห่งเป็นอย่างต่ำ
ถ้าตอนนี้ข้ายังเป็นฆ้องเงินอยู่ล่ะก็ คนผู้นี้คงโดนรวบไปแล้ว…เขาลอบขมวดคิ้ว ท่าทีของ ‘ผู้ครองวัง’ ผู้นี้ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจ จึงเอ่ยตอบเสียงราบเรียบไปว่า
“หากไม่ย้ายแล้วจะทำไม”
มุมปากของชายหนุ่มรูปงามยกขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “จู๋เอ๋อร์ สั่งสอนเขา”
สตรีในชุดกระโปรงสีครามลงมือโดยไร้สัญญาณเตือน อาวุธลับสองชิ้นถูกขว้างไปหาสวี่ชีอัน และขณะเดียวกับที่เขาเบนศีรษะเพื่อหลบ หญิงสาวงดงามผู้นี้ก็ชกกำปั้นหนักๆ เข้าหาสวี่ชีอันด้วยการเคลื่อนไหวราวกับกระต่าย
แรงหมัดส่งเสียงกรีดอากาศ
ทันใดนั้นนางก็ร้องเสียงแหลมออกมา หมัดเพิ่งมาได้ครึ่งทาง ร่างกายก็ราวกับไร้แรง ฝีเท้าซวนเซ ยืนได้ไม่มั่นคง
“หลอมปราณขั้นสูงสุด ยังด้อยไปหน่อย”
สวี่ชีอันแค่นเสียง เพียงสะบัดเท้าก็เตะหญิงสาวกระเด็นออกไป นางกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรงจนร่างกายสั่นสะท้าน ต้องกุมเอวเอาไว้ ใบหน้าน้อยซีดขาวราวกับกระดาษ เหงื่อเย็นหลั่งออกมาจนชุ่ม
จอมยุทธ์ขั้นหลอมปราณแทบจะไร้กำลังต่อกรกับเขาอยู่แล้ว เขารวมอากาศแล้วหายใจเอาไอพิษไร้สีไร้กลิ่นออกมา เท่านี้ก็ทำให้ขั้นหลอมปราณเป็นอัมพาตได้ง่ายๆ โดยไร้สัญญาณเตือน
ตู๋กู่สามารถสร้างพิษออกมาได้ตามแต่สภาพแวดล้อม เมื่อรวมกับอากาศก็จะสร้างพิษไร้สีไร้กลิ่นออกมา ผลลัพธ์อาจจะด้อยไปหน่อย เพราะแค่ทำให้เป็นอัมพาต แต่ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนลี่กู่ก็มาช่วยเสริมพลังให้เขาได้อย่างมาก เมื่อครู่ยังออมมือให้ ไม่อย่างนั้นแค่สะบัดเท้าครั้งเดียวก็คงตัดเอวของหญิงในชุดครามผู้นี้ได้แล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มในชุดดำกลับไม่โกรธ ทว่าดีใจเสียอย่างนั้น เขาปรบมือร้องบอกว่า
“สุดยอด สุดยอดมาก!”
ตอนนี้เอง เสียงแหบพร่าของหญิงสาวที่ฟังดูเยือกเย็นก็ดังขึ้น “คุณชายหลี่ ท่านสร้างเรื่องอีกแล้ว”
นอกประตูมีสตรีผู้งดงามชวนตะลึงผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวและเสื้อคลุมลายกิ่งไผ่สีขาวนวล ให้ความรู้สึกสงบและสง่างามแบบหญิงสาวผู้บำเพ็ญตบะ
“พี่ชิงมาได้จังหวะพอดีเลย”
ชายหนุ่มรูปงามในชุดดำปักดิ้นเงินดิ้นทองดูสูงส่งหรูหราชี้ไปยังสวี่ชีอันแล้วเอ่ย
“จู๋เอ๋อร์เกลี้ยกล่อมเขาด้วยคำพูดดีๆ เพื่อเชิญให้เขาออกจากเรือนแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอม ทั้งยังลงมือทำร้ายคนอีก จู๋เอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้าจึงเจ็บขนาดนี้”
พูดตามตรง รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มแสนสง่างามผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่สวี่ชีอันเคยพบเห็นมา
เมื่อเอ่ยถึง ‘ความสง่างามละเอียดอ่อน’ ก็ยังมีสวี่เอ้อร์หลางก็พอจะเทียบกับเขาได้
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘พี่ชิง’ ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองพินิจสวี่ชีอันก่อนจะเอ่ย
“เหตุใดท่านถึงทำร้ายคน”
ดูเหมือนว่าจะต้องให้ความเคารพกับสตรีผู้นี้…สวี่ชีอันกำลังจะเอ่ยปากอธิบาย ใครจะรู้ว่าชายในชุดดำผู้นั้นจะชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน เขาเข้าไปใกล้หูของหญิงสาวสง่างามเย็นชาแล้วพูดเสียงเบา
“ข้าอยากพักที่นี่ ที่นี่สงบเงียบกว่า ทิวทัศน์ก็ดีที่สุด ตอนกลางคืนหากได้พูดคุยร่ำสุรากับพี่ชิง จะต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ”
ดวงหน้าขาวสล้างของสตรีผู้เย็นชาสง่างามเกิดสีแดงเรื่อขึ้น เพิ่มเสน่ห์ให้กับความเย็นชาขึ้นไปอีก
สมกับเป็นหญิงงามที่หายาก
ดวงตางามล้ำของนางเบิกโต ท่าทีเปลี่ยนไป นางเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้ารีบย้ายออกไปตอนนี้เสีย เรื่องทำร้ายคนข้าจะไม่เอาความ ไม่อย่างนั้น…”
สวี่ชีอันเอ่ยขัดเสียงเย็น “ไม่อย่างนั้นจะทำไม”
แม้ว่าอยู่ในยุทธภพจะสบายใจ แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่เมื่อพูดจาไม่ถูกหูก็จะลงไม้ลงมือกัน ช่างชวนให้ปวดหัวโดยแท้
บางครั้งเพียงคำพูดไม่ถูกใจไม่กี่คำหรือเพียงแค่ประสานสายตากัน เท่านั้นก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจและอาจทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกันยกใหญ่ได้
เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพ หากมีคนไร้สมองกระโดดออกมาหาเรื่องก็อย่าได้ตกใจไป เพราะนี่เป็นเรื่องพื้นฐาน
สำหรับคนที่คลุกคลีอยู่ในเมืองหลวงเช่นสวี่ชีอัน เรื่องนี้เป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้และยังต้องใช้เวลาปรับตัวอีกพักหนึ่ง
สตรีผู้เยือกเย็นแค่นเสียง “รับมือข้าสิบกระบวนท่า หากไม่ตายค่อยว่ากัน”
นางกดมือไว้บนบ่าแล้วสะบัดมือแรงๆ จนเกิดเสียงลมดัง ‘พรึ่บพรั่บ’ เสื้อคลุมลายไผ่สีขาวนวลบินวนไปยังสวี่ชีอัน
เสื้อคลุมค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา มันไม่ได้ปกคลุมสวี่ชีอัน เขาไปโผล่อยู่ใต้ร่มไม้ที่ห่างออกไปสองจั้งล่วงหน้าก่อนแล้ว
สตรีเยือกเย็นผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นที่ตำแหน่งเดิมของเขาซึ่งอยู่ข้างกายมู่หนานจือ จากนั้นก็ยื่นมือไปคว้าเสื้อคลุมแล้วหันหน้าไปมองสวี่ชีอันที่อยู่ใต้ร่มไม้
เรียวคิ้วงามสล้างเลิกขึ้น “คนจากเผ่าพันธุ์กู่แห่งซินเจียงตอนใต้อย่างนั้นหรือ?”
ตะปูสำนักพุทธที่ตอกไว้บนจุดไป่ฮุ่ยของเขาเพื่อผนึกจิตเดิมเอาไว้ ทำให้เขาสูญเสียสัญชาตญาณระวังภัยของจอมยุทธ์ไป แต่มันไม่ได้ส่งผลต่อการคาดการณ์ของเขา ชั่วขณะที่หญิงสาวผู้เยือกเย็นลงมือ เขาก็กระโดดข้ามเงาล่วงหน้าก่อนแล้ว
“หนานจือ เข้าไปอยู่ในห้อง”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ
พระชายาเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของนางนั้นดีเยี่ยมมาเสมอ จึงไม่มีทางรั้งอยู่เป็นตัวถ่วงแน่
หญิงงามไม่ได้ขัดขวาง เมื่อมู่หนานจือกลับเข้าไปในห้อง นางก็พุ่งเข้าไปหลายก้าว โดยเหยียบอิฐเขียวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแล้วกลายเป็นภาพเงาพุ่งเข้าหาสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันใช้การกระโดดทะลุเงาอีกครั้งแล้วไปปรากฏตัวอยู่ใต้ชายคา ร่างของเขาเพิ่งจะวาบปรากฏออกมาก็ถูกหญิงงามจับตำแหน่งได้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
สายลมเบาสบายพัดโชย หญิงงามสง่าผู้นี้ลงมือได้ดุเดือดยิ่ง ชายกระโปรงตลบขึ้น หัวเข่าอันน่าสะพรึงพุ่งพรวดเข้ามา
สวี่ชีอันหน้าไม่เปลี่ยนสี มือซ้ายพยายามกดหัวเข่าของนางไว้ ส่วนมือขวาก็กลายเป็นกรงเล็บวิชาเต้าหู้หมัก
หญิงงามเลิกคิ้ว ใบหน้าเย็นชายิ่งปกคลุมด้วยความเยือกเย็นกว่าเดิม นางกำหมัดแน่นแล้วชกไปที่ใจกลางฝ่ามือ
‘พลั่ก!’
สวี่ชีอันกระเด็นออกไปกระแทกกับบานประตูเข้าสู่ห้องข้างใน ร่างกายของเขาพลันหายวับทันใด และที่ใต้เงาไม้ ร่างของใครคนหนึ่งก็พุ่งออกมา ก่อนจะหายไปอีกครั้ง
ที่ใต้โต๊ะ เงาคนพุ่งออกมา ก่อนจะหายไปอีกครั้ง
ในร่มเงาด้านหลังชายในชุดดำ มีเงาคนพุ่งออกมา แล้วก็หายไปอีกครั้ง
เงาร่างของสวี่ชีอันไปปรากฏอยู่ในเงาภายในลานเรือนอย่างต่อเนื่องในท่วงท่ากลับหัว หลังจากหายวับและปรากฏเช่นนี้สิบกว่าครั้ง ในที่สุดก็สลายพลังแปลกประหลาดน่าสะพรึงของหญิงงามไปได้
‘ตึง ตึง ตึง’…สวี่ชีอันถอยหลังติดต่อกันเพื่อสลายพลังสายสุดท้าย เขามองไปยังสตรีชุดเขียวใต้ชายคา ใบหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา
จอมยุทธ์ขั้นสี่ ไม่สิ ขั้นสี่สูงสุด เป็นจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงไม่ต่างจากหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จง
ผิงโจวเล็กๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงมีจอมยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดมาปรากฏตัวได้?
แถมยังต้องให้ข้ามาเจอนางด้วย ยิ่งกว่านั้นก็ดันมีเรื่องขัดแย้งกับข้าอีก…สวี่ชีอันลอบก่นด่าอยู่ในใจ ภายนอกยังวางท่าเยือกเย็นและมองหญิงงามใต้ชายคานิ่งๆ
นางค่อยๆ ยกมือขึ้น หลังมือเปื้อนสีดำอมเขียวอยู่หนึ่งชั้นแบบที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ปราณสีดำพันวนล้อมผิวสีขาวสล้างและมีท่าทีจะแพร่ขึ้นไป
ใต้ผิวเนื้อมีแผงเส้นเลือดสีดำอมเขียวนูนเด่นออกมา
พลังปราณร้อนผ่าวสาดลงมา มันพยายามขจัดพิษนั่นออกจากร่างกาย ปราณสีดำอมเขียวและพลังปราณร้อนผ่าวอยู่ในภาวะชะงักงันแบบที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
“พี่ชิง ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มสูงศักดิ์ชุดดำเผยสีหน้ากังวลใจ ท่าทางรักหยกถนอมบุปผาอย่างยิ่ง
“อย่าเข้ามา!”
หญิงงามตวาดลั่น จากนั้นหว่างคิ้วและแววตาก็อ่อนโยนลง นางเอ่ยเสียงเบาว่า “พิษนี้รุนแรงยิ่ง”
สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก ช่วงนี้เขากลืนพิษของศพโบราณที่ถูกกลั่นมาแล้ว ตู๋กู่จึงเลื่อนไปอีกระดับขั้นที่อยู่สูงมากทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง