บทที่ 527 สังหารเหิงอิน
นอกจากกระบวนวิชาสายตรงและเครื่องรางแล้ว มีเพียงไม่กี่คนในโลกเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมปราณมังกรได้ ซึ่งแม้แต่ท่านโหราจารย์เองก็ไม่มีกำลังมากพอ นับประสาอะไรกับถ่าหลิงล่ะ?
ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและสัจคาถาที่ท่านโหราจารย์ได้สอนให้ รวมถึงโชคชะตาอันหนักอึ้งของครึ่งประเทศ จึงเป็นเพียงผู้เดียวในโลกที่สามารถควบคุมปราณมังกรได้
ภายใต้สาเหตุสำคัญเช่นนี้ สิ่งที่สวี่ชีอันต้องทำคือเขาจะต้องปรากฏตัวทันทีที่สำนักพุทธเข้าช่วงชิงปราณมังกร
ไม่มีใครคาดคิดว่าในหมู่ทหารของเหลยโจวจะมีผู้ที่สามารถควบคุมปราณมังกรซุกซ่อนอยู่ และเพราะจิ้งซินไม่ได้คาดการณ์มาก่อน เมื่อรู้ว่าถ่าหลิงสามารถเบิกปราณมังกรได้ เขาจึงยิ่งมั่นใจกับตัวเอง
หลังปราณมังกรเข้าสู่ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี มันจะกลืนกินมังกรตัวน้อยในกระจก แล้วผนึกให้ขดตัวอยู่ในช่องว่างของหนังสือ กลายเป็นประติมากรรมแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว
ทันใดนั้นทุกสายตาที่ติดตามปราณมังกรก็จับจ้องไปที่สวี่ชีอัน
ชาวเหลยโจวต่างมีสีหน้าอิจฉาริษยา ในขณะที่เจ้าอาวาสของสำนักพุทธพลันน้ำตาไหล
“เจ้า…”
สีหน้าของเหิงอินบูดบึ้ง ชี้ไปที่สวี่ชีอันพร้อมกับแผดเสียงดัง “พวกนอกรีต วันนี้เจ้าจะต้องตาย”
คนผู้นี้ทำร้ายจอมยุทธ์ภิกษุในวัด จากนั้นก็ใช้วาทศิลป์อันแยบยลปลุกปั่นชาวยุทธ์เหลยโจว ก่อนจะเรียกตัวซุนเสวียนจีโหรของสำนักโหราจารย์ไป…
ตลอดเวลาที่ซุ่มซ่อนอยู่แดนฝัน หลังหลุดพ้นออกมาได้ก็เอาแต่ตำหนิติเตียนตัวเอง
ภายใต้การสั่งสมอันหนักอึ้ง ฉานซือเหิงอินจึงพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
ใบหน้าฉานซือจิ้งซินค่อยๆ บิดเบี้ยว ความรู้สึกทุกข์ระทมดั่งมีดกรีดกลางใจแล่นปรี่ โอกาสและโชคชะตาที่ควรเป็นของเขากลับถูกคนอื่นช่วงชิงไป
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนตะเบ็งเสียงเอ่ย “ส่งสมบัติของสำนักพุทธมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
สวี่ชีอันกล่าวเย้ยหยัน “สมบัติอันล้ำค่าใครคว้าได้ก่อนย่อมเป็นของคนผู้นั้น ซึ่งมันเลือกข้าแล้ว สำนักพุทธคิดจะข่มแย่งขโมยไปเป็นของตนอย่างนั้นหรือ? พี่น้องทุกคนล้วนสู้รบมาด้วยกัน แบ่งสมบัติให้เท่าเทียมเถิด”
ดวงตาของหลี่เส่าอวิ๋นทอประกาย “นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?”
ชาวยุทธ์เหลยโจวต่างพากันมองดูอย่างอิจฉาใคร่ได้ไปตามๆ กัน
“หากโกหก เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าฆ่าข้าได้เลย” สวี่ชีอันยิ้มเอ่ย
นัยน์ตาของหลิวอวิ๋นเปล่งประกาย พูดเสียงดังลั่น “สมเหตุสมผลแล้ว ก่อนอื่นก็ฆ่ากลุ่มภิกษุนี้ก่อน เมื่อออกไปจากเจดีย์พุทธะได้ พวกเราค่อยมาแบ่งสมบัติกัน หากออกไปจากเจดีย์ไม่ได้ ทุกอย่างที่ทำมาก็ล้วนสูญเปล่า”
ตอนนี้นางกำลังเข้าข้างสวีเชียนอย่างไร้คุณธรรม ตอบแทนที่เขาเคยช่วยชีวิตเอาไว้
‘เข้าท่า’ ชาวยุทธ์เหลยโจวพลันขบคิด ทันใดนั้นพวกเขาก็ลุกฮือปกป้องที่ด้านข้างปืนใหญ่ โดยมือข้างหนึ่งถืออาวุธ ส่วนอีกข้างยกปืนพกหรือหน้าไม้ขึ้นพร้อมเพรียงกัน ประจันหน้ากับเหล่าภิกษุของสำนักพุทธ
เหิงอินโกรธจัด ความอดทนพลันขาดสะบั้น “หากจะมีใครคิดข่มแย่งขโมยไป ก็คงเป็นเจ้านั่นแหละ! ปราณมังกรถือเป็นสมบัติประจำสำนักพุทธของข้า ทหารหยาบช้าเช่นเจ้าน่ะหรือจะคู่ควรกับมัน หากวันนี้เจ้าไม่ยอมส่งปราณมังกรนั่นมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากเจดีย์พุทธะเลย เจ้าสำนักทั้งหลายขจัดมารพร้อมอาตมา”
เขานั่งลงขัดสมาธิ ณ ที่ตรงนั้น สองมือประนมพลางสวดคาถา
จากนั้นเหล่าฉานซือทั้งหมดก็นั่งลงขัดสมาธิ ประนมมือสวดเช่นเดียวกัน
หัวของชาวยุทธ์เหลยโจว ‘สะเทือน’ เลือนลั่น เสียงเซ็งแซ่เหล่านั้นดังอยู่ในโสตประสาทก้องกังวานอยู่ในหัว สลัดล้างปรปักษ์ในใจก่อนจะครอบงำให้ผู้คน ‘เทิดทูนสำนักพุทธ’
ในด้านพลังต่อสู้ ฉานซือตามแนวทางของสำนักพุทธนับว่าไม่เป็นที่รู้จักมากนัก โดยวิถีการโจมตีหลักมักมาจาก ‘คาถา’ ของภิกษุขั้นห้า สามเณรขั้นเก้าที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์และขั้นแปดผู้ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ภิกษุที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางของสำนักพุทธ
ปรมาจารย์ระดับเจ็ดจะเชี่ยวชาญในพระธรรม สามารถชุบวิญญาณคนตายและครอบงำคนเป็น
ส่วนฉานซือขั้นหกจะเชี่ยวชาญในฌาน ทำให้ขณะนั่งฌานไม่หวั่นเกรงต่อการรุกรานจากมารผจญรอบนอก
ส่วนนักพรตขั้นสี่และสามเณรขั้นเก้านั้น มีศักดิ์เทียบเท่ากัน เนื่องจากอยู่ในระดับก่อนถึงขั้นสูงสุดจึงไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆ เพิ่มเติม
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือก่อนจะบรรลุถึงพระอรหันต์ขั้นสอง พลังการต่อสู้ของฉานซือนั้นจะมีจำกัดเป็นอย่างมาก
จากจุดนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดพระพุทธศาสนาจึงแบ่งออกเป็นสองแนวทาง จอมยุทธ์ภิกษุเปรียบเสมือนผู้คุ้มกันของฉานซือ คอยปกป้องพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะบรรลุเห็นแจ้ง
ดังนั้นชื่อเรียกอื่นของระดับเพชรขั้นสามจึงได้ชื่อว่าผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชร
ขณะที่เหิงอินนำฉานซือทั้งหมดสวดคาถา สิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมาคืออิทธิฤทธิ์ของปรมาจารย์ระดับเจ็ด…สามารถครอบงำคนเป็นได้
เสียงสวดประสานทะลุผ่านช่องว่างบนชั้นสอง ค่อยๆ ครอบงำชาวยุทธ์เหลยโจวทีละน้อย ยกเว้นแต่หลี่เส่าอวิ๋น เหล่าจอมยุทธ์ขั้นสี่และห้าสองสามนาย ส่วนคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนใบหน้าบิดเบี้ยวและแสดงท่าทีต่อต้าน
แม้จะไม่ได้แปรพักตร์เข้าหาสำนักพุทธแต่ก็นับว่าสูญเสียกองกำลังรบแล้วสิ้นเชิง เพราะทุกคนมัวแต่ต่อสู้กับความเลื่อมใส คิดอยากจะออกบวชที่พรั่งพรูเต็มหัวใจ
โชคดีที่สาวกของตำหนักมังกรตงไห่เองก็ได้รับผลกระทบและสูญเสียกองกำลังรบเช่นเดียวกัน
‘ตู้ม…’
สวี่ชีอันหยิบปืนใหญ่ออกมาอย่างใจเย็น ก่อนจะหันเหไปที่ภิกษุของสำนักพุทธ ปลายนิ้วปลดชนวนแล้วเหนี่ยวไกออกไป
ภายใต้แว่วเสียง ‘ตูม’ ปืนใหญ่กระตุกถอยหลังอย่างรวดเร็ว กระสุนปืนใหญ่ดังโครมครามโผเข้าปะทะเหิงอิน
จากนั้นจอมยุทธ์ภิกษุก็ประจันหน้ากับเหล่าฉานซือ หมัดพุ่งใส่ปืนใหญ่จนเกิดแรงระเบิดพร้อมกับประกายไฟกวาดทั่วเป็นวงกว้างกว่าหนึ่งในสามของพื้นที่
ด้วยพื้นที่ที่ค่อนข้างคับแคบ ปืนใหญ่จึงสร้างความเสียหายที่รุนแรงมากโข
ทุกคนถูกแรงระเบิดซัดออกไปสะเปะสะปะ ทั้งคิ้วและผมถูกเปลวไฟแผดเผา ด้านฉานซือที่นั่งขัดสมาธิต่างก็โอนเอนไปมา ไม่นานก็กลับมานั่งในท่าเดิมอีกครั้งพลางสวดคาถาต่อไป
ตงฟางหว่านชิงคว้าดาบหัวตัดเล่มหนึ่งของจอมยุทธ์ภิกษุไว้แน่น ก่อนจะวิ่งห่างออกไปแล้วหันหลังกลับมา ทันใดนั้นปลายดาบก็ตัดผ่านอากาศอันบิดเบี้ยว
ปลายดาบฟันร่างชาวยุทธภพทั้งสองออกเป็นเสี่ยง ทะลุลำกล้องปืนใหญ่กระแทกลงบนพื้นดินที่แข็งกระด้างจนเกิดแรงระเบิด
ลำกล้องถูกแบ่งเป็นสองส่วน แยกออกเสมอกัน
หยวนอี้แค่นเสียงขึ้นจมูก ผู้บัญชาการเคลื่อนไหวในพริบตา ไม่กี่ย่างก้าวก็เข้าถึงตัวตงฟางหว่านชิง หารู้ไม่ว่าในระหว่างนั้นเขาได้แอบเหน็บดาบไว้ที่เอวด้วย
ตงฟางหว่านหรงเป็นพ่อมด ขอเพียงได้มีโอกาสเข้าประชิดตัว ไม่กี่อึดใจก็สามารถบั่นคอคู่ต่อสู้ได้แล้ว
ขณะเดียวกันฉานซือจิ้งซินก็สอดประสานมือ ตรึงหยวนอี้ไว้กับที่พร้อมเอ่ย
“วางอาวุธลง…”
ตูม!
เสียงปืนดังขึ้น เป็นสวี่ชีอันที่เหนี่ยวไกปืนพยายามเป่าหัวเหล่าสาวกของฉานซือจิ้งซิน ทำให้เขาต้องคลายคาถา
ตงฟางหว่านชิงหันกลับมาพร้อมขว้างดาบหัวตัดจนเกิดเสียง ‘แกร๊ง’ ดาบหัวตัดที่ลอยเคว้งปะทะเข้ากับดาบคาดเอวของหยวนอี้ กระแทกคมมีดกระเด็นออกไป
เมื่อสบโอกาสจากช่องว่างนี้ ตงฟางหว่านหรงจึงร่ายม่านลวงตาไปที่ร่างกายของตัวเอง ทำให้นางมีการป้องกันและพลังกายเฉกเช่นจอมยุทธ์
‘แกร๊งแกร๊งแกร๊ง!’
ทว่าเมื่อหยวนอี้ผนวกเข้ากับการโจมตีของจิตดาบ ตงฟางหว่านหรงที่ปะทะแรงฟาดฟันจึงราวกับผจญสายฝนห่าใหญ่ ทำให้นางต้องร่นถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สามารถปัดป้องทำได้เพียงต้านทานเท่านั้น
แม้จะมีร่างกายและการป้องกันดั่งจอมยุทธ์ แต่การต่อสู้ระยะประชิดก็เป็นขอบเขตของจอมยุทธ์เช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง หลี่เส่าอวิ๋นกำลังโบกหอกยาวปะทะกับตงฟางหว่านชิงไม่รู้จบ จิตหอกราวกับมังกร ทุกครั้งที่ขว้างออกไปก็ขู่คำรามดังเสียดแทงหูเสียทุกครา
“หึ!”
ตงฟางหว่านหรงฉีกมุมเสื้อของหยวนอี้ พลางเปิดฉากวิชาสาปสังหาร
หยวนอี้ที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วเมื่อครู่ จู่ๆ ก็แข็งทื่อในวินาทีต่อมา ใบหน้าซีดเผือดราวกับได้รับบาดเจ็บฉับพลัน อาการบาดเจ็บที่มาจากภายในร่างกาย
น่าเสียดายที่ตงฟางหว่านหรงไม่สามารถฉกชิงเส้นผมของหยวนอี้มาได้ ไม่เช่นนั้นพลังอำนาจของวิชาสาปสังหารคงแข็งแกร่งมากกว่านี้
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้โต้กลับ ร่างเงาหนึ่งก็ฉายวาบขึ้นที่ด้านข้าง ดาบคู่ตัดไขว้เชือดเฉือนเข้าที่ลำคอ จนเกิดประกายไฟสาดกระเซ็นและเสียงเสียดหูที่ดังก้องกังวานไปทุกหนแห่ง
ม่านลวงตาเหนือหัวของตงฟางหว่านหรงพลันสั่นไหวรุนแรงใกล้จะพังทลายเต็มที บนคอระหงขาวราวหิมะปรากฏรอยคมดาบบาดลึก เลือดสีแดงฉานรินไหลเป็นสาย
“เจ้าพระงั่ง ยังไม่มาข้าช่วยอีก?”
ตงฟางหว่านหรงก่นด่าด้วยความโกรธเคือง
เดิมทีเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่นางจะต่อกรกับจอมยุทธ์ขั้นสี่ที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิดถึงสองคนได้ด้วยตัวเอง
จิ้งหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่วมสู้ ทั้งยังต้องช่วยเจ้าสำนักดาบคู่ที่ถูกตรึงไว้ ทั้งต้องคอยระวังเหล่าฉานซือ
…
ภายในเจดีย์ หลี่หลิงซู่กำลังยืนอยู่บนป้อมพลางแอบดูลูกปัดในมือของตู้หนานระดับเพชรด้วยความกลัวเล็กน้อย ระคนเป็นห่วงสหายตัวน้อยทั้งสองของเขา
สำหรับหลี่หลิงซู่แล้ว สิ่งที่สวีเชียนต้องการไขว่คว้านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่สำคัญ ขอเพียงผู้อาวุโสคนนี้สามารถออกจากเจดีย์ได้เท่านั้นเป็นพอ
“ซุน ผู้อาวุโสซุน…”
หลี่หลิงซู่เอ่ยขึ้น “ต้นกำเนิดของปราณมังกรเมื่อครู่นั่นคืออะไรกัน?”
ซุนเสวียนจีกล่าวตอบ “คือ… “
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง