ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 528

บทที่ 528 เจดีย์พุทธะ

สาวกตำหนักมังกรตงไห่และภิกษุวัดซานฮัวหันศีรษะมองไปยังประตูบานใหญ่ที่เปิดอยู่ของเจดีย์พุทธะอย่างพร้อมเพรียงกัน

“มีทางเข้าก็ต้องมีทางออก!”

เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยเสียงราบเรียบ วงแหวนไฟลุกโชนขึ้นที่ด้านหลังศีรษะ ร้อนระอุจนคนรอบข้างรู้สึกราวกับอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน

ที่แห่งนี้คือที่ตั้งของวัดซานฮัวและเจดีย์พุทธะอันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของสำนักพุทธ แม้ว่าจะชิงปราณมังกรไปได้แต่ก็ต้องออกมาอยู่ดี การจะแย่งชิงปราณมังกรทั้งที่อยู่ในเขตแดนศัตรูอย่างสำนักพุทธนับว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก

แม้ก่อนหน้านี้เรื่องที่ปราณมังกรถูกชิงไปจะอยู่นอกเหนือความคิดของเทพอารักษ์ตู้หนาน แต่เมื่อได้เผชิญกับสถานการณ์จริงเช่นนี้ กลับเชื่อสุดใจว่าปราณมังกรไม่มีทางหลุดรอดออกไปจากเจดีย์พุทธะและวัดซานฮัวภายใต้สายตาของเขาแน่นอน

“อมิตตาพุทธ!”

เจ้าอาวาสวัดซานฮัวที่เห็นศิษย์รักพ่วงด้วยตำแหน่งผู้สืบทอดตายลงต่อหน้าต่อตาพลันสลดใจอย่างเสียศูนย์ กล่าวว่า

“เจดีย์พุทธะจะเปิดออกทุกๆ หกสิบปี โดยแต่ละครั้งจะมีเวลาสิบสองชั่วยาม เมื่อครบเวลาแล้วประตูจะปิดลงทันที เทพอารักษ์ตู้หนานปล่อยให้พวกเขาอยู่ในเจดีย์ตลอดกาลเพื่อรับผลกรรมที่ตนก่อเอาไว้เถิด”

ด้วยผ้าคลุมที่ถูกสวมใส่จึงเผยให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งเสี้ยวของอีเอ๋อร์ปู้ที่ยิ้มเอ่ย “เป็นความคิดที่ดี”

จิ้งซินพยักหน้า

แม้ว่าพระโพธิสัตว์ขั้นสามไม่อาจเข้าเจดีย์พุทธะได้แต่ไม่ใช่กับพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง ไม่ต้องรอจนถึงวาระหกสิบปี เพียงบรรยากาศของอรัญตาคลายความตึงเครียดลงสักหน่อย พระโพธิสัตว์จะต้องมาเอาปราณมังกรออกไปด้วยตนเองแน่

น่าเสียดายที่เมื่อถึงเวลานั้น ยากที่จะบอกได้ว่าปราณมังกรจะถูกมอบให้กับเขาหรือเปล่า

สำนักพุทธไม่ได้สูญเสียปราณมังกรแต่เขาสูญเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่ เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จิ้งซินก็อดรู้สึกโกรธไม่ได้

“อมิตตาพุทธ!”

เขาเอ่ยนามองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสียงเบาออกมาเพื่อระบายอารมณ์

ฉานซือจิ้งซินเป็นผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ หาใช่ภิกษุที่ดื่มสุราล่าเนื้อและเข่นฆ่าคนโดยไร้ซึ่งสำนึกชั่วดีไม่

“ท่าไม่ดีแล้ว”

หลี่หลิงซู่ ‘ร้อง’ ออกมาเสียงหลงพลางวิเคราะห์ “มีเทพอารักษ์และปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณเฝ้าอยู่ที่ประตู ‘เจดีย์’ หากคิดจะตอบโต้จากข้างนอกก็ต้องต่อสู้กับพวกเขา”

ถึงแม้จะมีพลังวิเศษของพ่อมด ก็ไม่อาจทำให้เทพอารักษ์ระดับเพชรสะทกสะท้าน แล้วนับประสาอะไรกับปรมาจารย์ทางจิตวิญญาณ

มู่หนานจื่อขมวดคิ้ว เผลอออกแรงรัดจิ้งจอกขาวตัวน้อยโดยไม่รู้ตัว

“ชีพจร…”

ในขณะนั้นซุนเสวียนจีก็เอ่ยคำหนึ่งคำออกมา เขาก้าวเท้าลงเบาๆ ลวดลายที่สลักบนป้อมพลันส่องสว่างขึ้นทีละอัน

ขาย? (เป็นการได้ยินผิดไปจากคำว่าชีพจร เพราะภาษาจีนสองคำนี้อ่านว่า ม่าย เหมือนกัน) เขาจะขายอะไร?

หลี่หลิงซู่ไม่เข้าใจสักนิด แต่ก่อนที่จะได้ขบคิดเรื่องนี้ต่อ เขากลับเหลือบไปเห็นกระสุนปืนใหญ่ในตะกร้าลอยขึ้นเติมชนวน

ไม่นานท่ามกลางเสียง ‘ตูมตาม’ ปืนใหญ่สิบห้ากระบอกก็เรียงรายออกมาพร้อมเพรียงกัน ต่างยิงกระสุนออกจากถังบรรจุทีละนัด

ตามมาด้วยเสียงสายธนูของเตียงหน้าไม้ที่สั่นเสนาะประสานกัน หน้าไม้ที่มีปากและความสูงเทียบเท่าคนกำลังระดมยิงอย่างดุเดือด

เทพอารักษ์ตู้หนานปลีกตัวหลบไปที่ประตูทางออกของเจดีย์อย่างทุลักทุเล สองมือยกขึ้นพลางออกแรงดันขึ้นไปบนท้องฟ้า

เขาสร้างกำแพงอากาศราวคลื่นทะเลที่มองไม่เห็น ก่อนจะซัดเตียงหน้าไม้ขึ้นไปบนอากาศทำลายกระสุนปืนใหญ่ที่ถาโถมเข้ามา

เปลวเพลิงปะทุขึ้นกลางอากาศราวกับดอกไม้ไฟพร่างพราวไอรีนโนเวล
‘ตู้ม ตู้ม ตู้ม!’

การโจมตีระลอกที่สองตามมาติดๆ ทว่าเป้าหมายกลับไม่ใช่เทพอารักษ์ตู้หนานและคนอื่นๆ อีกต่อไป ทันใดนั้นป้อมปืนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่หลังเจดีย์ ถล่มยิงลงไปยังเจดีย์โดยไม่ทันตั้งตัว

มู่หนานจื่อยืนอยู่ที่ขอบป้อม เฝ้าดูกระสุนที่กระทบเจดีย์ ผนังร้าวลอกออกทีละแผ่นจนเผยให้เห็นเจดีย์สีทองเข้มด้านใน

หลังจากนั้นไม่นาน เจดีย์พุทธะก็กระดำกระด่าง ผนังสีทองเข้มและขาวผสมปนเปกันจนเละเทะไปหมด

ผนังสีขาวและกระเบื้องสีดำเป็นเพียงสิ่งอำพรางเท่านั้น เดิมทีเจดีย์พุทธะคือของวิเศษ ของวิเศษที่พระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งเฝ้าบำรุงรักษามานานหลายชั่วอายุคน

ด้วยเหตุนี้พลังยิงที่โหมกระหน่ำจึงไม่สะเทือนมันเลยแม้แต่ครึ่งเดียว…หลี่หลิงซู่ปลงตกในใจ ช่วงเวลาอันห่อเหี่ยวนี้ป้อมก็ได้เคลื่อนย้ายอีกครั้ง

ท่ามกลางความว่างเปล่าที่เดิมเป็นที่ตั้งของป้อม จู่ๆ ร่างของอีเอ๋อร์ปู้ก็ปรากฏขึ้น ซุนเสวียนจีที่ตระหนักได้ถึงภัยอันตรายล่วงหน้าจึงหลบเลี่ยงการจู่โจมของปรมาจารย์วิญญาณได้ทัน

ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายขับสู้กันกลางอากาศ แต่ซุนเสวียนจีกลับไม่ได้สนใจอีเอ๋อร์ปู้ ยังคงถล่มยิงลงไปอย่างต่อเนื่อง

เขากำลังบังคับให้เทพอารักษ์ตู้หนานลงมือ

สองพี่น้องตงฟางและภิกษุวัดซานฮัวหนีเข้าไปในชั้นแรกของเจดีย์อีกครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับปืนใหญ่ของสวี่ชีอันในเจดีย์แล้ว ปืนใหญ่ของซุนเสวียนจีนั้นทรงพลังกว่าหลายเท่า

แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นสี่ก็ยังไม่กล้ายอมต่อกร

เทพอารักษ์ตู้หนานยืนแน่นิ่งอยู่หน้าเจดีย์ ด้วยเทวราชคุ้มกายาระดับเพชร พลังของปืนใหญ่จึงไม่เป็นภัยต่อเขา

“ต่อให้วัดซานฮัวถูกทำลายแล้วทำลายอีก มันก็ถูกสร้างขึ้นใหม่อยู่ดี ขอดูหน่อยเถอะว่ากระสุนและหน้าไม้ของเจ้าจะมีสักเท่าไรเชียว”

เทพอารักษ์ตู้หนานพลันส่งเสียงดัง ‘กระหึ่ม’

“วิชาสาปสังหาร!”

เพื่อไม่ให้พลาดอีกครั้ง อี้เอ๋อร์ปู้จึงเลือกใช้วิชาลับของพ่อมด

ทว่าวิชาสาปสังหารกลับไร้ผล ภายใต้อากาศว่างเปล่าเช่นนี้ หากไม่มีตัวกลางวิชาสาปสังหารก็จะไม่แข็งแกร่งพอที่จะทะลวงผ่านการป้องกันของค่ายกลหรือส่งผลกระทบต่อซุนเสวียนจี

ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นอีเอ๋อร์ปู้เสียเองที่ถูกโจมตี จนต้องบินร่นถอยไปด้วยความอับอายไอรีนโนเวล

แต่หลี่หลิงซู่กลับไม่ได้มีความสุขแม้แต่น้อย วิสัยทัศน์ของเขายังคงดังเดิม หากมองเผินๆ อาจดูเหมือนว่าซุนเสวียนจีเป็นฝ่ายได้เปรียบ ความจริงแล้วสำนักพุทธต่างหากที่เป็นผู้ที่ไม่เสียเปรียบอย่างแท้จริง

“ด้านนอกเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว”

“พ่อมดแห่งสำนักโหราจารย์กำลังช่วยพวกเรา ถึงเวลาต้องรีบออกไปแล้วหรือเปล่า?”

“เจ้ากำลังรนหาที่ตายอยู่หรือไง ไม่เห็นหรือว่าเทพอารักษ์ระดับเพชรเฝ้าที่ปากประตูอยู่น่ะ”

“ตอนนี้พวกเราทำได้แค่ฝากความหวังไว้กับศิษย์รองอย่างท่านโหราจารย์ผู้นั้น”

เหล่าจอมยุทธ์เหลยโจวต่างตระหนักถึงชะตากรรมของตนเองได้ในทันที การที่แย่งชิงสมบัติและขับไล่สำนักพุทธไปได้ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง

กุญแจสำคัญคือการที่จะสามารถออกไปจากเจดีย์พุทธะได้อย่างปลอดภัยต่างหาก โชคดีที่เรามียอดฝีมือระดับสามเหมือนกับอีกฝ่าย เมื่อรวมกับพ่อมดของสำนักโหราจารย์แล้วนับว่าสู้แบบสองต่อหนึ่งได้อย่างสบายๆ ไร้เทียมทานโดยแท้

ที่หน้าต่างทางทิศใต้หลี่เส่าอวิ๋น หยวนอี้และถังหยวนอู่กำลังรวมตัวกันที่นั่น แม่ทัพเจิ้นฝู่พิงค้ำหอกยาว หันมองไปยังสวีเชียนที่อยู่ในชุดคลุมสีดำห่างออกไปพลางพูดเสียงเบา

“ดูเหมือนจะออกไปไม่ได้สินะ?”

ใบหน้าของถังหยวนอู่พลันเคร่งขรึม คิ้วขมวดแน่น “เจดีย์พุทธะจะเปิดออกเพียงสิบสองชั่วยาม หากไม่ออกไปก่อนหน้านั้น พวกเราจะถูกขังอยู่ที่นี่จนตาย”

หยวนอี้กล่าวเสริม “เป็นไปไม่ได้ที่ซุนเสวียนจีจะเอาชนะขั้นสามได้ถึงสองคน โดยเฉพาะเทพอารักษ์ระดับเพชรอย่างตู้หนาน พวกเราจะฝากความหวังไว้ที่เขาคนเดียวไม่ได้หรอก”

หลี่เส่าอวิ๋นส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าว่าภิกษุชรารูปนั้นก็ดูเป็นคนมีเมตตาเหลือล้น ทำไมเจ้าไม่ไปขอให้เขาพาพวกเราออกไปล่ะ?”

ผู้บัญชาการเหลือบมองไปที่ถ่าหลิงซึ่งนั่งขัดสมาธิทั้งที่หลับตาอยู่ ก่อนส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า

“แม้แต่ภิกษุของสำนักพุทธเขายังไม่ช่วย คิดหรือว่าเขาจะช่วยเรา”

“ลองโดยไม่ใช้เงินดูสิ”

หลี่เส่าอวิ๋นเดินเข้าไปพร้อมกับปืนในมือ ประสานมือเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมพลางพูดว่า “ท่านไต้ซือ ได้โปรดพาพวกเราออกไปด้วย”

ภิกษุชราลดสายตาลงยิ้ม “หนทางอยู่ที่เท้าของโยม ออกไปได้เสมอ”

ดวงตาของหลี่เส่าอวิ๋นเป็นประกาย ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงบนพื้นพลางประสานมือเข้าด้วยกัน ประดังความรู้สึกเศร้าออกมา “ท่านไต้ซือ ในครอบครัวของข้ามีแม่อายุเก้าสิบปีและเด็กเล็กที่ต้องคอยหุงหาอาหารเลี้ยงดู เห็นแก่ข้าที่มีครอบครัวใหญ่ต้องดูแล ได้โปรดท่านพาพวกเราออกไปด้วยเถอะ”

ภิกษุชรารู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “โยมอายุเท่าไร?”

“ยี่สิบห้าปีขอรับ”

“ครอบครัวมีพี่น้องหรือไม่?”

“ไม่มีขอรับ ตระกูลหลี่ของข้านั้นสืบทอดทายาทเพียงคนเดียว”

ภิกษุชรากล่าวต่อ “เช่นนั้นโยมแม่ของโยมก็อายุเพียงหกสิบห้าปีไม่ใช่หรือ?”

ใบหน้าของหลี่เส่าอวิ๋นชาหนึบฉับพลัน เสียงติดอยู่ในลำคอ เขาอ้าปากพยายามครุ่นคิดหาคำอธิบายมากมายที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง แต่กลับพูดไม่ออก

ไอ้ถ่าหลิงนี่มันนับตามทำซากอะไรวะ?

หลี่เส่าอวิ๋นก่นด่าก่อนเดินจากไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง