ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 529

บทที่ 529 ชดเชย

แสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงแบฝ่ามือออก ปล่อยให้แสงสีทองตกลงบนฝ่ามือของตนเอง นั่นคือเหรียญทองแดงที่มีจารึกพุทธมนต์

เดิมทีเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะนิกายมหายานที่ทำให้ภิกษุถ่าหลิงกล่าวเช่นนี้ออกมา แต่เมื่อสวี่ชีอันเห็นพระเครื่องชิ้นนั้นอย่างชัดเจน ท่าทางของเขาก็แปลกประหลาดไปในทันที

ของสิ่งนี้เป็นของที่อ๋องสยบแดนเหนือได้มาจากร่างของรองแม่ทัพฉู่เซียงหลงตอนที่กำจัดเขาในตอนนั้น

ในเวลานั้น สวี่ชีอันเพียงแค่ทำการตรวจสอบคร่าวๆ ก่อนจะโยนมันเข้าไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีโดยไม่ได้คิดอะไร

“นี่คือ…” เขาจ้องไปที่ฝ่ามือของภิกษุเฒ่า และถามหยั่งเชิง

“นี่คือพระเครื่องที่แสดงถึงตัวตนของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ เห็นเครื่องรางนี้ ก็เหมือนได้พบกับพระโพธิสัตว์” ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงยิ้มเล็กน้อย

พระเครื่องที่แสดงถึงตัวตนของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้…สวี่ชีอันตกตะลึง คลื่นทะเลแห่งความคิดกลายเป็นกระแสอันปั่นป่วน ทำไมพระเครื่องของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ถึงไปอยู่บนร่างของฉู่เซียงหลงได้?

ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร? ข้าฆ่าเซียงหลงไปแล้ว นี่จะเป็นการกระตุ้นความแค้นของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้หรือไม่?

“เจ้ามีพระเครื่องของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเจ้าของเจดีย์พุทธะ”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ภิกษุเฒ่าก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ประสกอยู่ที่ใด เคยพบกับพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้เมื่อใด?”

“…”

สวี่ชีอันไม่สามารถตอบโต้ได้ชั่วขณะ แต่ในใจกลับกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ประทับอยู่ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาไม่ใช่รึ แล้วข้าจะเคยพบเขาได้อย่างไร

เดี๋ยวนะ! ฉู่เซียงหลงก็ไม่เคยไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาอย่างแน่นอน แล้วเขาได้รับพระเครื่องของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มาได้อย่างไร?

ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองของเขา สวี่ชีอันส่ายศีรษะ พลางกล่าวอย่างกำกวมว่า “ข้าไม่เคยพบพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มาก่อน”

ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงกล่าวอธิบายว่า “พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้หายสาบสูญไปโดยไร้ซึ่งข่าวคราวมาสามร้อยหกสิบปีแล้ว แม้แต่พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็ยังหาพระองค์ไม่พบ”

หายสาบสูญไปสามร้อยหกสิบปี…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีใครสามารถเปิดโปงตัวตนในฐานะผู้สืบทอดปลอมของข้าได้

เขาแสร้งทำเป็นงงงวย “ข้าจำได้แล้ว พระเครื่องชิ้นนี้เป็นของที่ภิกษุธุดงค์รูปหนึ่งมอบให้ข้าเพื่อตอบแทนสำหรับอาหาร แต่ แต่ข้าไม่เคยคิดว่ามันจะล้ำค่าเช่นนี้ นอกจากนี้ ทำไมจู่ๆ พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ถึงได้หายสาบสูญไปเล่า สำนักพุทธก็หาไม่พบรึ?”

คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงแต่อธิบายที่มาของเครื่องรางเท่านั้น แต่ยังเน้นแสดง ‘ความบริสุทธิ์’ ของตนเองอย่างชัดแจ้ง และยังถือโอกาสสอบถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในการหายสาบสูญของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้อีกด้วย

“ผิดแล้ว!” ภิกษุเฒ่ากล่าว

ผิดแล้ว? หรือว่าพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้เป็นผู้หญิง? สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปอย่างมาก

ภิกษุเฒ่ามองสวี่ชีอันอย่างพิจารณา และกล่าวด้วยความลังเลว่า “พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มอบพระเครื่องนี้ให้แก่เจ้ามิใช่เพื่อตอบแทนอาหาร เมื่อเจ้าได้รับพระเครื่องนี้ ย่อมหมายถึงเจ้ามีกรรมกับพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องดี แต่ข้าเห็นว่าประสกมีกรรมรัดตัวอยู่ เพิ่มกรรมอีกสักข้อก็คงไม่ถึงกับแน่นมาก คาดว่าพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ก็คงเห็นจุดนี้ในตัวเจ้า”

‘ถุย’ ภิกษุเฒ่า ดูเหมือนท่านกำลังพูดว่า ประสก เจ้าดูเหมือนแม่ทัพอาวุโสบนเวทีที่มีธงเสียบอยู่ทั่วร่างอย่างไรอย่างนั้น

สวี่ชีอันฝืนยิ้ม “ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น…จริงสิ บังอาจถามไต้ซือ หากเมื่อครู่ข้าเลือกที่จะปล่อยเสินซู ท่านจะรับปากจริงรึ?”

ภิกษุเฒ่าพยักหน้า กล่าวว่า “การปลดผนึกเป็นเวลาแห่งความตายของพวกเจ้า รอให้เสินซูกลืนกินแก่นโลหิตของพวกเจ้า ข้าจะวางกับดักมัน จากนั้นก็รอให้พระโพธิสัตว์แห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตามาจัดการ”

ขิงเก่าย่อมร้อนกว่าขิงใหม่สินะ…สวี่ชีอันมองแขนที่ขาดของเสินซูอีกครั้ง และถามว่า “เจ้าของมือข้างนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่?”

ภิกษุเฒ่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือ แขนเสื้อคลุมขนาดใหญ่ตวัดไปบนท้องฟ้า ปรากฏเป็นม้วนภาพที่มีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้

ในม้วนภาพ ปรากฏพระพุทธเจ้าร่างทองกำลังนั่งตัวตรงตระหง่าน เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาที่แฝงไปด้วยความสง่างาม

ด้านซ้ายและด้านขวาของพระพุทธเจ้ามีพระโพธิสัตว์เก้าองค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธรรมทั้งเก้า และพระอรหันต์สิบแปดรูป

นี่คือฉากที่ปรากฏในชั้นแรกของเจดีย์พุทธะ

เสินซูซ่อนอยู่ในพระโพธิสัตว์รึ? สวี่ชีอันเกิดความสงสัยในใจ จู่ๆ ก็เห็นฉากภาพลอยสูงขึ้น เข้าไปในส่วนลึกของหมอกซึ่งไม่สามารถมองเห็นยอดเจดีย์ได้

เหนือเศียรพระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธ ลึกลงไปในหมอกหนาทึบ คือร่างธรรมแห่งความมืดขนาดยักษ์ เขามีแขนสิบสองคู่ วงแหวนไฟลุกโชนอยู่ด้านหลังศีรษะ และมีตราเปลวไฟสีดำจารึกอยู่ที่หน้าผาก

เขาแสดงใบหน้าอันดุร้าย แยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความกระหาย พลางจ้องพระพุทธเจ้าลงมาจากด้านบนตาเขม็ง พระโพธิสัตว์และพระอรหันต์เป็นเหมือนเหยื่อที่อร่อยที่สุด

ภาพรวมทั้งหมดปรากฏลำดับชั้นอย่างชัดเจน รัศมีของพุทธศาสนาที่ชั้นล่างสุดเต็มเปี่ยมไปด้วยความโอ่อ่าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ในขณะที่ชั้นบนเป็นเหมือนแดนนรกที่มืดมนน่าสะพรึงกลัว ซึ่งกระทบอย่างรุนแรงต่อการมองเห็น

จู่ๆ หัวใจของสวี่ชีอันก็เต้นแรงและกระชั้นถี่ขึ้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังได้ยินเสียง ‘ตุบ ตุบ’

เห็นเพียงแวบเดียว เขาก็จำร่างธรรมแห่งความมืดได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือเสินซู

ตอนที่สังหารอ๋องสยบแดนเหนือที่ฉู่โจว เสินซูใช้พลังของยาโลหิตเพื่อแสดงวิธีลับ และร่างธรรมนี้ก็ปรากฏออกมา

ภาพนี้กำลังสื่อถึงอะไร? เสินซูกินสำนักพุทธเป็น ‘อาหาร’? เสินซูเป็นศัตรูของทั้งสำนักพุทธ? เขาสามารถคุกคามถึงพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ และแม้กระทั่งพระพุทธเจ้างั้นรึ? เขาอยู่ในส่วนลึกของหมอกหนาและจ้องสำนักพุทธตาเป็นมัน? การคาดเดาปรากฏขึ้นในจิตใจอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์สะเทือนขวัญทำให้จิตใจของเขากระสับกระส่ายอย่างยิ่ง

ภิกษุเฒ่าโบกมือ ลบล้างภาพที่ปรากฏ ก่อนจะประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน “เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันอ้าปากพะงาบด้วยความอยากถาม แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถถามออกไปได้

ถ่าหลิงจารึก ‘อักษรว่าน (卍)’ ลงบนเครื่องราง และมอบให้สวี่ชีอันพร้อมกับกล่าวว่า “เมื่อครอบครองเครื่องราง จะสามารถควบคุมเจดีย์พุทธะได้เบื้องต้น ประสกสามารถเลือกที่จะขี่เจดีย์ไปจากเหลยโจวได้ แต่อย่าใช้เจดีย์ทำร้ายลูกศิษย์สำนักพุทธ”

ข้าสามารถขี่เจดีย์พุทธะได้งั้นรึ? สวี่ชีอันกำลังจะขอบคุณ แต่จู่ๆ ก็ได้ยินคำถามของหลี่เส่าอวิ๋นดังมาจากด้านหลัง “เหม่ออะไรอยู่รึ?”

เขาตื่นขึ้นอย่างฉับพลันราวกับเพิ่งตื่นจากความฝันอันยิ่งใหญ่ ในมือไม่มีสร้อยข้อเท้าอีกต่อไป แขนซ้ายของเสินซูก็ไม่คืนสู่สภาพเดิม หากไม่ใช่เพราะถือเครื่องรางอยู่ในมือ เขาก็คงสงสัยว่าการที่อยู่ด้วยกันต่อหน้านี้เป็นความฝันทั้งหมด

สวี่ชีอันหันไปมองภิกษุเฒ่าถ่าหลิงโดยไม่รู้ตัว เขายังคงนั่งขัดสมาธิ ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างนิ่งสงบราวกับรูปปั้น

“ไม่ต้องมองเขา เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นับประสาอะไรกับช่วยพวกเรา”

หลี่เส่าอวิ๋นมองตามสายตาเขาไปยังภิกษุเฒ่า “เมื่อครู่ข้าขอร้องเขาแล้ว หวังว่าเขาจะส่งพวกเราออกไปได้ แต่ก็ถูกปฏิเสธ นอกจากนี้ ภิกษุรูปนี้ยังเก่งเรื่องการคำนวณคำพูดอีกด้วย”

เก่งเรื่องการคำนวณคำพูดงั้นรึ? ภิกษุทุกรูปในโลกนี้ต้องศึกษาวิชาหลักด้วยรึ…สวี่ชีอันหยอกล้อในใจ เขาเก็บเครื่องรางลงไปอย่างเงียบๆ และกล่าวว่า “เจ้าจะพูดอะไร?”

หลี่เส่าอวิ๋นกลอกตา พลางกล่าวว่า “ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ซุนเสวียนจีก็ยังไม่สามารถแก้ไขศัตรูด้านนอกได้ หากรอจนถึงพรุ่งนี้เช้า แล้วพวกเรายังไม่สามารถออกไปได้ก็จะถูกขังตายอยู่ในเจดีย์ ทุกคนร้อนใจอย่างมาก เจ้ามีวิธีหรือไม่?”

สวี่ชีอันมองออกไปนอกหน้าต่างเจดีย์ทันที ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม พระอาทิตย์ตกดินจนลับขอบฟ้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว

ข้างนอกเงียบสงัด บางครั้งก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นสองสามนัด ทำให้รู้ว่าสงครามยังไม่หยุดลง

เหล่าจอมยุทธ์เหลยโจวที่อยู่ในเจดีย์ เริ่มเปลี่ยนจากท่าทางสงบนิ่งในตอนกลางวันเป็นกระสับกระส่ายด้วยความร้อนใจมากขึ้น

เพราะพวกเขาตระหนักได้ว่า ซุนเสวียนจีดูเหมือนจะไม่สามารถช่วยพวกเขาออกไปจากการจับกุมของยอดฝีมือขั้นสามทั้งสองคนได้ ประกอบกับเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ทุกคนกำลังจมสู่ ‘ความพ่ายแพ้’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“กระสุนปืนใหญ่ของโหรขั้นสามถูกใช้หมดแล้ว”

“เอะอะก็ถล่มยิงด้วยปืนใหญ่ ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ รู้แต่การยิงปืนใหญ่ใส่ภิกษุ ไม่มีวิธีอื่นแล้วรึ?”

“พลังต่อสู้ของโหรไม่สามารถเชื่อมั่นได้อย่างที่คิดไว้จริงๆ หากฆ้องเงินสวี่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นผู้ปกปักษ์รักษาศาสนาพุทธระดับเพชรก็กลับชาติมาเกิดแล้ว”

“ใช่ ฆ้องเงินสวี่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นจอมยุทธ์”

บรรยากาศแห่งความวิตกกังวลกำลังคุกรุ่นและหมักหมมท่ามกลางฝูงชน หลายคนรู้สึกเสียใจที่ติดตามผู้อื่นมาทำชั่วที่วัดซานหัว

เวลานี้เอง หยวนอี้ ถังหยวนอู่และหลิวอวิ๋นก็เดินเข้ามา ผู้บัญชาการถามว่า “ท่านมีวิธีรับมืออย่างไร?”

เขามาหาสวี่ชีอันเพื่อปรึกษาหารือ หากไม่ได้จริงๆ ก็สามารถพิจารณานำปราณมังกรส่งคืนสำนักพุทธ และยังมีซุนเสวียนจีออกหน้าไกล่เกลี่ย ก็อาจจะช่วยชีวิตพวกเขาได้

ในขณะที่กำลังพิจารณาว่าจะกล่าวอย่างไร หยวนอี้ก็ได้ยินสวีเชียนกล่าวว่า “ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้”

อะไรกัน?!

หลิวอวิ๋นและคนอื่นๆ กำลังสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่ วินาทีต่อมา ก็หันไปมองสวีเชียนด้วยความประหลาดใจและดีใจอีกครั้ง

คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ให้ดี…สวี่ชีอันหยอกล้อเล็กน้อย เขาถ่ายทอดพลังปราณลงไปในเครื่องราง แยกจิตวิญญาณและความคิดให้ดื่มด่ำอยู่ในเครื่องราง เขารู้สึกได้ทันทีว่าร่างของตนเองได้เชื่อมสัมพันธ์กับเจดีย์พุทธะอย่างมั่นคงแล้ว

การเชื่อมสัมพันธ์นี้อยู่ในระดับต่ำกว่าดาบไท่ผิง แต่อยู่ในระดับเดียวกับชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

หมายความว่า ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นเจ้าของเจดีย์พุทธะ แต่ก็ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง

คำอธิบายโดยใช้ภาพ ดาบไท่ผิงเป็นบุตรชายของเขา ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและเจดีย์พุทธะเป็นพ่อเลี้ยงของเขา

ด้วยสถานะของหนังสือปฐพีและเจดีย์พุทธะ ย่อมต้องเป็นเหมือนพ่อเลี้ยงของเขาจริงๆ

สวี่ชีอันถือเครื่องรางไว้แน่น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำว่า “ขึ้นไป!”

ด้านนอกเจดีย์พุทธะ สองพี่น้องตงฟางและพระสงฆ์ของวัดซานฮัว กำลังนั่งสมาธิเป็นกลุ่มๆ ละสองถึงสามคน

เมื่อเทียบกับแรงกระสุนที่รุนแรงในตอนกลางวัน การโจมตีด้วยปืนใหญ่เป็นครั้งคราวในตอนนี้ ไม่พอที่จะสร้างภัยคุกคามต่อพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่กล้าออกจากบริเวณใกล้เคียงเจดีย์พุทธะ เนื่องจากทุกคนเดาว่าซุนเสวียนจีในเวลานี้จะต้องกำลังโกรธแค้นสุดชีวิตเนื่องจากไร้ความสามารถอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะระบายความโกรธใส่พวกเขา สังหารหมู่พวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้น วัดซานฮัวส่วนใหญ่ยังถูกทำลายด้วยกระสุนปืนใหญ่ ห้องโถงหลักพังทลาย เกิดหลุมลูกระเบิดนับไม่ถ้วน เต็มไปด้วยรอยแผลอยู่ทุกหนทุกแห่ง

เจ้าอาวาสวัดซานฮัวผานหลงสวดพระนามของพระพุทธเจ้า และกล่าวด้วยความทอดถอนใจว่า “หลังจากผ่านคืนนี้ไปแล้ว เจดีย์พุทธะก็จะปิดประตู ทำให้กลุ่มขโมยเหล่านั้นตายอยู่ในเจดีย์พุทธะ ถือว่าเป็นคำอธิบายให้แก่เหิงอินและสหายทุกคนที่ตายไป”

เหล่าภิกษุวัดซานฮัวทั้งดีใจทั้งเสียดาย

ตงฟางหว่านหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่ผู้บัญชาการหยวนอี้ตายอยู่ในเจดีย์ ราชสำนักต้าฟ่งย่อมต้องสอบถาม สำนักพุทธก็ต้องเตรียมพร้อมรับความโกรธของราชสำนักให้ดี”

“ประสกหญิงไม่จำเป็นต้องปลุกปั่น”

ภิกษุจิ้งหยวนกล่าวเสียงเบาว่า “ต้าฟ่งอ่อนแอมานานแล้ว ตั้งแต่การตรวจสอบข้าราชสำนักจนถึงตอนนี้ การตายของอ๋องสยบแดนเหนือ จักรพรรดิ และเว่ยเยวียนตามลำดับ ชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างสวี่ชีอันก็ถูกละทิ้งไปแล้ว ราชสำนักต้าฟ่งจะมีความกล้าจากที่ใดมาถามหาความ?”

“ก็จริง หยวนอี้ยุยงให้ชาวยุทธ์องอาจแห่งเหลยโจวโจมตีวัดของข้า สำนักพุทธยังต้องถามหาความกับเขา” ภิกษุวัดซานฮัวกล่าวด้วยความไม่พอใจ

ลูกศิษย์ตำหนักมังกรตงไห่กล่าวต่อไปว่า “นอกจากท่านโหราจารย์ ต้าฟ่งก็ไม่มียอดฝีมือระดับสูงแล้ว”

กลุ่มลูกศิษย์ส่วนหนึ่งของสำนักพ่อมดระเบิดหัวเราะขึ้นมา

ในระยะไกลออกไป เทพอารักษ์ตู้หนานยืนอยู่นอกประตูเจดีย์อย่างสงบนิ่ง

ปรมาจารย์แห่งวิญญาณอีเอ๋อร์ปู้และซุนเสวียนจีผู้ควบคุมป้อมปืนยังคงเล่นเกม ‘แมวจับหนู’

เวลานี้เอง จู่ๆ เจดีย์พุทธะก็สั่นสะเทือนขึ้นมา รัศมีในการสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผิวกำแพงหลุดร่วงออกมาเป็นชิ้นๆ แผ่นกระเบื้องหล่นลงมาดัง ‘เพล้ง’ และแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมองเจดีย์ด้วยความประหลาดใจ

“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นในเจดีย์”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง