ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 551

บทที่ 551 ความจริงปรากฏ

ดวงตาของสวี่ชีอันแข็งทื่อ จิตวิญญาณตึงเครียดชั่วขณะ ประโยคเพียงสั้นๆ นี้กระตุ้นความรู้สึกเร่งด่วนขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เหตุใดจิ้งซินและจิ้งหยวนถึงจับไฉเสียนได้รวดเร็วเช่นนี้? ช่างไม่สมเหตุสมผลเสียจริง

หลังจากเรื่องที่ครอบครัวในหมู่บ้านเสี่ยวชุนถูกฆ่าตายทั้งหมด ไฉเสียนก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาก ต่อให้เป็นข้าที่มีคลื่นพลังปราณมังกรก็ยังหาที่ที่ไฉเสียนซ่อนตัวไม่พบ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิ้งซินและจิ้งหยวน พวกเขาไม่มีทางมองเห็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัยท่ามกลางทะเลฝูงชนอย่างแน่นอน

“ข้าต้องมองข้ามอะไรบางอย่างไปแน่ หรือไม่ จิ้งซินและจิ้งหยวนก็รู้ความลับบางอย่างที่ข้าไม่รู้…”

หลังจากสงบจิตสงบใจลงแล้ว สวี่ชีอันก็กล่าวเสียงเบาว่า “รับทราบ”

หลี่หลิงซู่กล่าวทันทีว่า “ข้าจะไปจับตาดูสถานการณ์ทางฝั่งของซิ่งเอ๋อร์ก่อน ผู้อาวุโสมีแผนอะไรรึ?”

“เจ้ารักษาตัวให้ดีเถอะ”

หลี่หลิงซู่กระตุกมุมปากเล็กน้อย พลางพยักหน้าและทะลุผ่านประตูห้องใต้ดินออกไป

ทันทีที่เทพบุตรจากไปแล้ว สวี่ชีอันก็กัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง

จิ้งซินและจิ้งหยวนเป็นยอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่ ด้วยการผสมผสานของภิกษุนิกายฉานและจอมยุทธ์ภิกษุ โดยพื้นฐานแล้วย่อมสามารถปราบปรามพวกที่อยู่ขั้นก่อร่างในระบบอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน เกรงว่ามีเพียงขั้นสี่ของลัทธิขงจื๊อที่สามารถใช้ปากต่อต้านสำนักพุทธทรงศีลได้

ภิกษุถ่าหลิงไม่อนุญาตให้ข้าใช้เจดีย์มาปราบปรามและสังหารศิษย์สำนักพุทธ แต่สามารถใช้ปกป้องตนเองได้ แต่ตอนนี้ข้าต้องการกระทำต่อภิกษุสำนักพุทธ ย่อมไม่สามารถพึ่งบารมีของเจดีย์พุทธะได้

ไฉเสียนเป็นหนึ่งในเก้าของผู้ถูกปราณมังกรอาศัย ย่อมไม่มีทางตกอยู่ในมือของสำนักพุทธ โชคดีที่ศัตรูอยู่ในที่สว่าง ส่วนข้าอยู่ในที่มืด พวกเขาย่อมไม่รู้ถึงการมีอยู่ของข้า…

สวี่ชีอันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาแบ่งงู แมลง หนูและมดออกครึ่งหนึ่ง และควบคุมส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งในการสำรวจศาลบรรพบุรุษของตระกูลไฉต่อไป ส่วนจิตเดิมที่สำรองไว้ถูกใช้เพื่อควบคุมแมวส้ม

ด้านนอกห้องใต้ดิน แมวส้มที่กำลังนอนหลับด้วยความขี้เกียจก็ลืมตาสีเหลืองอำพันขึ้น เผยให้เห็นรูม่านตาแนวตั้งจางๆ มันยกหางเล็กๆ ขึ้นด้วยความหยิ่งยโสราวกับลูกธนูที่แหลมคม

ท่ามกลางคืนอันมืดมิด ไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่ได้พาทหารยามมาด้วย และไม่ได้แจ้งให้สมาชิกในตระกูลไฉทราบด้วยเช่นกัน

นางเดินอยู่ตามทางเดินเพียงลำพังท่ามกลางสายลมอันเย็นยะเยือก โคมไฟที่แขวนอยู่บริเวณชายคาทั้งสองข้างแกว่งไกวเล็กน้อย แสงไฟสีแดงส่องใบหน้าอันบอบบางของนาง สะท้อนเข้ากับรูม่านตา ส่องประกายราวกับอัญมณี

หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง ก็เห็นแสงเทียนสว่างไสวส่องผ่านประตูและหน้าต่างออกมาจากห้องโถงชั้นใน

มีคณะภิกษุแดนประจิมมากกว่าสิบรูปยืนอยู่ด้านนอกห้องโถง ราวกับพื้นที่โดยรอบถูกกำหนดให้เป็นเขตหวงห้าม

ไฉซิ่งเอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้ ผลักประตูห้องโถงชั้นใน เห็นศิษย์พี่น้องจิ้งซินและจิ้งหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนอีกบุคคลหนึ่งที่ยืนอยู่ในห้องกำลังถูกมัดด้วยเชือกสีทองเข้ม

“ไฉเสียน!”ไอรีนโนเวล

ดวงตาของไฉซิ่งเอ๋อร์เบิกกว้าง ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ นางเดินเข้าไปสองก้าวอย่างรวดเร็วและตวัดฝ่ามือลงบนใบหน้าของไฉเสียนโดยไม่พูดไม่จาใดๆ

“อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต!” จิ้งซินแสดงศีลได้ทันเวลา เพื่อปัดเป่าความคิดที่จะจู่โจมของไฉซิ่งเอ๋อร์

“ประสกไฉซิ่งเอ๋อร์อย่าได้หุนหันพลันแล่น” จิ้งซินลุกขึ้นและพนมมือ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบว่า “อาตมาได้ใช้วรยุทธ์สำนักพุทธทรงศีลไต่ถามไฉเสียนแล้ว เขามิใช่ฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าไฉเจี้ยนหยวน และมิใช่คนที่ก่อความวุ่นวายในเมืองเซียงโจวในช่วงที่ผ่านมา ฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังคือบุคคลอื่น”

ดวงตาไฉซิ่งเอ๋อร์สั่นไหว และเห็นว่าทั้งสามคนกำลังจ้องมาที่นาง

“ไต้ซือจิ้งซินกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ไฉซิ่งเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “หรือว่าท่านสงสัยว่าข้าใส่ร้ายเขา คนในตระกูลไฉทั้งหมดใส่ร้ายเขา วีรบุรุษเซียงโจวใส่ร้ายเขางั้นรึ?”

ภิกษุจิ้งหยวนยืนขึ้นและก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผย ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราจึงกลับมาที่นี่เพราะเหตุนี้ สำนักพุทธไม่ลงโทษผู้บริสุทธิ์ และไม่ละเว้นคนบาปเช่นกัน”

“ดูเหมือนในสายตาของไต้ซือทั้งสองท่าน ในจวนของข้าจะมีคนบาปอย่างไรอย่างนั้น”

เวลานี้เอง ประตูห้องโถงชั้นในก็ถูกผลักออก หลี่หลิงซู่ผู้มีรูปลักษณ์หล่อเหลาและสวมชุดคลุมสีดำก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา

หลี่หลิงซู่…จิ้งซินและจิ้งหยวนหันมาสบตากัน พวกเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของหลี่หลิงซู่ดี แต่ก็จงใจเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของเขา

‘ช่างยโสโอหังจริงๆ หากเทพบุตรอย่างตัวข้าอยู่ในช่วงรุ่งเรือง ย่อมตีพวกเจ้าทั้งสองได้สบายๆ…’ หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าตนเองถูกเพิกเฉยจึงกล่าวพึมพำในใจ

เขาชายตามองไฉเสียนที่อยู่ไม่ไกล พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ไฉเสียน ไม่ได้พบกันนานนะ”

หากย้อนกลับไปตอนที่เขาและไฉซิ่งเอ๋อร์ยังดีต่อกัน เขาก็เคยพบไฉเสียนสองสามครั้ง

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ดูเหมือนไฉเสียนจะผ่านโลกมาค่อนข้างโชกโชน

นอกจากนี้ สายตาอันเฉียบแหลมของหลี่หลิงซู่ก็ตระหนักถึงตำแหน่งที่จิ้งหยวนยืนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถ ‘สนับสนุน’ ไฉเสียนได้โดยพลัน

และจิ้งซินก็พนมมือตั้งแต่ต้นจนกระทั่งตอนนี้ ราวกับพร้อมที่จะแสดงศีลทุกเมื่อ

‘การคุ้มกันของพวกเขารัดกุมมาก แม้จะอาศัยวิธีการที่เล่ห์เหลี่ยมของสวีเชียน ก็ยังยากที่จะลักพาตัวไฉเสียนไปต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง…’ หลี่หลิงซู่คิดในใจด้วยสีหน้าสงบ

“เจ้านั่นเอง!”

เห็นได้ชัดว่าไฉเสียนจำหลี่หลิงซู่ได้และกล่าวอย่างกะทันหันว่า “วันก่อนข้ายังคิดว่าท่านอาปล่อยตัวไปในทางที่เสื่อมโทรม ที่แท้ก็เป็นเจ้า”

ไฉซิ่งเอ๋อร์มองค้อนไฉเสียนอย่างโหดเหี้ยม แต่ก็ทำได้เพียงประนีประนอมต่อหน้าภิกษุทั้งสองท่าน นางสูดหายใจเข้าลึกๆ และถามกลับว่า “เช่นนั้นพวกท่านคิดจะทำอะไร?”

จิ้งซินกล่าวว่า “ง่ายมาก อาตมาจะใช้คุณสมบัติของวรยุทธ์ทรงศีลมาถามเจ้า หากเจ้าสามารถทนการทดสอบไปได้ เจ้าก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์ หากไม่สามารถทนได้…”

เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ความหมายก็ชัดเจนในตัวเองแล้ว

ตอนนี้จับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพะว้าพะวังกับตระกูลไฉและไฉซิ่งเอ๋อร์อีกต่อไป ด้วยฐานการบำเพ็ญของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงเซียงโจว ต่อให้เป็นจางโจวก็สามารถปราบปรามได้

ภิกษุจิ้งหยวนจ้องมองไฉซิ่งเอ๋อร์ด้วยรังสีอันแข็งแกร่ง

ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากัน แมวส้มตัวหนึ่งยืนพิงอยู่ที่กำแพงด้านนอกที่ใต้หน้าต่าง พลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

‘หลังจากจับไฉเสียนได้แล้ว สำนักพุทธก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกต่อไป จึงแสดงท่าทีอวดดีได้สินะ…’ แมวส้มกระดิกหูเล็กน้อยเพื่อระบุตำแหน่งที่มาของเสียง พบว่าจิ้งซินและจิ้งหยวนอยู่ใกล้กับไฉเสียนมาก

‘ต่อให้ตัวข้าจะใช้เงามืดกระโดดเข้าไปลักพาตัวไฉเสียน เกรงว่าคงถูกภิกษุจิ้งหยวนจับได้ทั้งที่ยังไม่ปรากฏตัวเสียอีก…อืม ดูเหมือนคืนนี้จะไม่ใช่โอกาสเหมาะในการลักพาตัวใคร’

สีหน้าของแมวแสดงอาการบึ้งตึงออกมาอย่างชัดเจน

ในห้องโถง ไฉซิ่งเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย “ตกลง ไต้ซือลองถามดู”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่น รวมทั้งสวี่ชีอันที่อยู่ด้านนอกก็ดูเหมือนจะกลั้นหายใจพร้อมกันเพื่อรอคำตอบ

จิ้งซินพนมมือ “ขอบคุณประสกมากที่ให้ความร่วมมือ”

เขาแสดงศีลทันที พลางกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าเป็นคนฆ่าไฉเจี้ยนหยวนใช่หรือไม่?”

ทันทีที่สิ้นประโยคคำถาม พลังที่มองไม่เห็นแต่เต็มไปด้วยอำนาจก็สร้างแรงกดดันในร่างกายของไฉซิ่งเอ๋อร์ ทำให้นางรู้สึกว่าผู้คนควรเกิดมาด้วยความจริงใจ คนที่พูดปดไม่คู่ควรกับการเป็นมนุษย์

ในสภาพการณ์เช่นนี้ นางไม่มีทางพูดปดออกมาได้ จึงตอบกลับว่า “ข้าไม่ได้ฆ่า”

นางไม่ใช่คนฆ่าไฉเจี้ยนหยวน…นี่…นี่ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้เลยสักนิด หรือว่านางจะวางยาพิษ หลังจากนั้นก็ฆ่าไฉเจี้ยนหยวนอย่างรวดเร็ว แล้วล่อให้ไฉเสียนไปเพื่อใส่ร้ายเขา?

จิ้งซินใช้ศีลถามไฉเสียนแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพูดปดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หากไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่ใช่คนฆ่า และไม่ใช่ไฉเสียนด้วย งั้นจะเป็นใครไปได้?

ความคิดของสวี่ชีอันล่องลอยอยู่ที่ใต้หน้าต่าง แต่จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าคดีนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก

จิ้งซินและจิ้งหยวนหันมาสบตากันและขมวดคิ้วเล็กน้อย

‘ซิ่งเอ๋อร์ไม่ได้เป็นคนฆ่า ข้ารู้ว่าซิ่งเอ๋อร์คงไม่ทำเรื่องเช่นนี้ เช่นนั้นใครเป็นคนฆ่าไฉเจี้ยนหยวน?’ หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้วด้วยความยินดี เขารู้สึกว่าคดีนี้เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น

จิ้งซินถามเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง “คนที่เที่ยวเข่นฆ่าผู้อื่นไปทั่วเซียงโจวและทำการหลอมศพคือเจ้าใช่หรือไม่?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ข้า ไฉเสียนเป็นคนทำต่างหาก”

นางตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของวรยุทธ์ ‘ทรงศีล’ ทำได้เพียงกล่าวความจริง ไม่สามารถพูดปดได้

“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร?” ไฉเสียนโกรธจัดจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “เจ้ายังมีผู้สมรู้ร่วมคิด”

จิ้งซินดวงตาเป็นประกาย เขาฉวยโอกาสตอนที่วรยุทธ์ทรงศีลยังอยู่ด้วยการรีบถามว่า “ผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าคือใคร ผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิด ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าพี่ใหญ่ และข้าก็ไม่ใช่คนก่อคดีฆาตกรรมข้างนอกนั่นด้วย”

ไม่ได้โกหก นี่…จิ้งซินและจิ้งหยวนสบตากันด้วยความประหลาดใจ ต่างคนต่างก็เห็นความสับสนในแววตาของกันและกัน

มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็สามารถตัดสินได้เบื้องต้นว่าไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์ ในเมื่อไม่ได้ฆ่าและไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง

แต่คดีก็เดินทางมาสู่ทางตันใหม่เช่นกัน

ไฉเสียนกล่าวพึมพำ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”

ดูเหมือนเขาจะรับไม่ได้กับจุดจบเช่นนี้

สวี่ชีอันที่อยู่ใต้หน้าต่างจมสู่ห้วงแห่งความคิด ไม่ใช่ไฉซิ่งเอ๋อร์ และไม่ใช่ไฉเสียน เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นไฉหลาน…แต่ปัญหาคือ แม่นางท่านนี้ไม่เคยปรากฏตัวออกมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เบาะแสน้อยเกินไปที่จะทำการตัดสินชี้ขาด

สวี่ชีอันรู้สึกราวกับได้กลับไปตอนแรกที่อยู่เมืองหลวง ตอนที่ตนเองเผชิญกับคดีต่างๆ มากมาย และทุ่มเททั้งกายและใจในการสืบสวน

จู่ๆ หลี่หลิงซู่ก็กล่าวว่า “ไฉหลานเล่า? ท่านทั้งหลายลืมไฉหลานไปแล้วรึ”

เมื่อได้ยินหลี่หลิงซู่กล่าว ไฉเสียนก็หลุดพ้นจากความสับสนและกล่าวด้วยหน้าตาบูดบึ้ง “เสี่ยวหลานหายตัวไปนานแล้ว เจ้าก็เลยคิดจะปรักปรำอะไรก็ได้รึ”

ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดวรยุทธ์ทรงศีลถึงใช้ไม่ได้ผลกับไฉเสียน แต่เขาเป็นคนฆ่าพี่ใหญ่จริงๆ คดีฆาตกรรมในเมืองเซียงโจวเขาก็เป็นคนทำ ทุกคนในจวนตระกูลไฉเห็นกับตาตัวเอง ภายนอกก็มีพยานที่เห็นการกระทำชั่วของเขาไม่น้อย เหตุใดไต้ซือถึงไม่เชื่อ”

จิ้งซินกล่าวว่า “ไม่มีทางที่ไฉเสียนจะต้านทานวรยุทธ์ทรงศีลของอาตมาได้ เขาไม่ได้พูดปดจริงๆ นอกจากนี้ คำพูดของประสกไฉซิ่งเอ๋อร์ก็มีข้อสงสัยมากมาย ไฉเสียนมิใช่คนที่มีนิสัยชั่วร้ายโดยสันดาน เขาจะฆ่าพ่อบุญธรรมที่มีพระคุณยิ่งใหญ่เพื่อแต่งงานกับประสกไฉหลานได้อย่างไร? หากเทียบกันแล้ว การหนีตามกันไปน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าไม่ใช่รึ”

ฉลาด ภิกษุและสวีเชียนต้องการไปยังสถานที่หนึ่ง…หลี่หลิงซู่พยักหน้าเล็กน้อย

ไฉซิ่งเอ๋อร์ถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าปกปิดบางเรื่องเอาไว้เอง…อันที่จริงไฉเสียน เขา…เขาเป็นลูกนอกสมรสของพี่ใหญ่”

ประโยคนี้เป็นเหมือนสายฟ้าฟาดที่ดังก้องอยู่ในหูทุกคน จิ้งซินและจิ้งหยวนตกใจอย่างมาก

สวีเชียนพูดถูก ไฉเสียนเป็นบุตรนอกสมรสของไฉเจี้ยนหยวนจริงๆ…ที่แท้ซิ่งเอ๋อร์ก็รู้เรื่องนี้…เพราะหลี่หลิงซู่รู้ความลับนี้นานแล้ว เขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจมาก

สำหรับไฉเสียน รูม่านตาของเขาหดตัวอย่างรุนแรงราวกับเผชิญแสงจ้า ใบหน้าแข็งทื่อราวกับหิน จากแววตาที่เฉื่อยชาและท่าทางที่มึนงง เห็นได้ชัดว่าเวลานี้เขาสับสนและว่างเปล่ามาก

ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวต่อไปว่า “เขามีนิสัยรุนแรงมาตั้งแต่เด็ก พี่ใหญ่เกรงว่าเขาจะรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ ก็เลยเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด และเลี้ยงเขาไว้ในฐานะลูกบุญธรรม จากนั้นเมื่อเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ เกิดความรักกับน้องสาวของตนเอง พี่ใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงเกี่ยวดองกับตระกูลหวงฝู่ และให้เสี่ยวหลานรีบแต่งงานออกไปโดยเร็วที่สุด คิดไม่ถึงว่าไฉเสียนจะโกรธเคืองเพราะเหตุนี้ และสังหารพี่ใหญ่ นิสัยรุนแรงของเขาก็ยังอยู่มาจนถึงตอนนี้…”

“เหลวไหล!”

เสียงตะโกนดังขึ้นขัดจังหวะนาง เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากไฉเสียนปูดโปน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธจัด

“ไฉซิ่งเอ๋อร์ เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ พ่อแม่ของข้าตายไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก พ่อบุญธรรมเห็นข้าน่าสงสารและมีพรสวรรค์จึงเก็บข้ามาเลี้ยง เจ้าจะใส่ร้ายข้าก็ช่าง แต่ยังจะใส่ร้ายเขาอีก เจ้าช่างเป็นหญิงชั่วจริงๆ”

ภิกษุจิ้งหยวนขมวดคิ้วและถามไฉซิ่งเอ๋อร์ว่า “เจ้ามีหลักฐานอะไร?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์หันไปมองที่หน้าประตูพลางกล่าวว่า “หลักฐานมาแล้ว”

ทันใดนั้น ก็ได้ยินภิกษุที่เฝ้าอยู่นอกห้องโถงตะโกนตำหนิว่า “ใครกัน?”

จิ้งหยวนหันไปมองทางประตูและกล่าวเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้น”

ภิกษุที่อยู่นอกประตูตอบกลับว่า “ศิษย์พี่จิ้งหยวน มีมนุษย์ศพกำลังเดินใกล้เข้ามาขอรับ”

จิ้งหยวนชายตามองไฉซิ่งเอ๋อร์และกล่าวว่า “ให้ ‘เขา’ เข้ามา”

ประตูด้านในห้องโถงถูกเปิดออก คนที่สวมชุดสีเทาเดินเข้ามา ดวงตาไร้ซึ่งชีวิต ผิวซีดขาวไร้เลือด ราวกับซากศพเดินได้

เป็นไฉเจี้ยนหยวนที่ตายไปเมื่อยี่สิบวันที่แล้ว

“ท่านพ่อบุญธรรม…”

ริมฝีปากไฉเสียนสั่นเทา

ไฉซิ่งเอ๋อร์ควบคุมมนุษย์ศพเข้าที่นั่ง ให้เขาถอดรองเท้าด้วยตนเอง เผยให้เห็นเท้าข้างซ้าย

ทุกคนจับตามองอย่างใกล้ชิด พบว่าไฉเจี้ยนหยวนมีนิ้วเท้าหกนิ้ว แต่นี่หมายความว่าอย่างไร?

ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวว่า “ไฉเสียนก็มีนิ้วเท้าหกนิ้วเช่นกัน”

จิ้งซิน จิ้งหยวน หลี่หลิงซู่หันไปมองไฉเสียนอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่กลับเห็นเพียงสายตาสับสนของเขา เขามองเท้าซ้ายของไฉเจี้ยนหยวนด้วยความงุนงง สีเลือดฝาดบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ จางลง

ฉานซือผู้หล่อเหลาถามว่า “ประสกไฉเสียน เจ้ามีหกนิ้วรึ?”

ริมฝีปากของไฉเสียนขยับเล็กน้อย กรามแข็งทื่อ ราวกับสูญเสียความสามารถในการพูดไปแล้ว

จิ้งซินและจิ้งหยวนเข้าใจแล้ว จิ้งหยวนถามไฉซิ่งเอ๋อร์ว่า “เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าจึงไม่พูด?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายศีรษะด้วยความเศร้าใจ “พี่ใหญ่ตายด้วยน้ำมือของลูกบุญธรรม ตระกูลไฉยังก็มีศักดิ์ศรี หากตายด้วยน้ำมือของบุตรนอกสมรส แล้วข่าวอื้อฉาวออกไป ตระกูลไฉจะมีที่ยืนในเซียงโจวได้อย่างไร? สุดท้ายไต้ซือทั้งสองก็เป็นคนนอก ข้าจะบอกความจริงกับพวกท่านได้อย่างไร หากเรื่องไม่มาถึงขั้นนี้ ข้าคงไม่เปิดเผยสู่สาธารณะเด็ดขาด”

ไม่ถูก เพียงเพราะนิสัยรุนแรงของเขา ก็เลยไม่บอกเขางั้นรึ? แมวส้มใต้หน้าต่างขมวดคิ้ว

จิ้งหยวนพยักหน้ายอมรับคำอธิบายของไฉซิ่งเอ๋อร์ และกล่าวด้วยความงุนงงว่า “แต่ไฉเสียนผ่านการทดสอบจากวรยุทธ์ทรงศีลแล้ว คนที่ฆ่าไม่ใช่เขา…”

“ไม่!” จิ้งซินส่ายศีรษะกล่าวว่า “เป็นเขานั่นแหละ”

เมื่อสิ้นประโยค ในขณะที่ทุกคนอยู่ในความงุนงง ปรมาจารย์ขั้นสี่ท่านนี้ก็จ้องไฉเสียนและกล่าวว่า “อาตมามีเรื่องที่ยังไม่ได้ถามประสก เจ้าบอกว่าเจ้าไปที่เมืองซานสุ่ยเพื่อสืบหาคนที่อยู่เบื้องหลัง เช่นนั้น ประสกรู้ได้อย่างไรว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะโจมตีเมืองซานสุ่ย?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไฉเสียนก็ราวกับถูกตีศีรษะด้วยของแข็ง รูม่านตาของเขาขยายออกและค่อยๆ ก้มหน้าลง

“ข้ารู้ได้อย่างไร ข้ารู้ได้อย่างไร…”

เขายืนตัวแข็งทื่อ พลางก้มศีรษะและพึมพำถามตนเองอย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนนี้กินเวลานานกว่าสิบวินาที ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอันแผ่วเบาก็ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งในที่สุด

ไฉเสียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าอันหล่อเหลาบิดเบี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท เสียงหัวเราะแหลมสูงและแหบแห้ง

“ข้ารู้ได้อย่างไรงั้นรึ? เพราะข้าคือฆาตกรยังไงเล่า!”

เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็ราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคนอย่างไรอย่างนั้น

“ใช่แล้ว ข้าคือคนที่ฆ่าไฉเจี้ยนหยวน คดีฆาตกรรมในเซียงโจวข้าก็เป็นคนทำ ข้าเป็นคนทำทั้งหมด”

เขาหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่งและกล่าวว่า “ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ไม่มีพ่อ ท่านแม่ของข้าเป็นโรคซึมเศร้า นางทำงานหนักจนตายเพื่อหาเลี้ยงข้า ข้ากลายเป็นขอทานตั้งแต่ยังเด็ก ถูกคนอื่นรังแก ทั้งเจ็บปวดและทรมาน ถึงเขาตายก็ยังไม่สาสม พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายปีที่ผ่านมาข้าอดทนมาได้อย่างไร? ชีวิตของข้าเลวร้ายกว่าหมาเสียอีก แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เสี่ยวหลานอยู่ข้างข้า ข้าก็สามารถละทิ้งความแค้นในอดีตไปได้ แต่เขากลับพรากเสี่ยวหลานไปจากข้าอีก คนเช่นนี้ไม่สมควรตายรึ? ไม่สมควรตายรึ!”

ไฉเสียนในเวลานี้ แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและหล่อเหลาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

โรคประสาทหลอน? หลี่หลิงซู่ตระหนักได้ในทันใด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เขาเป็นโรคประสาทหลอน”

โรคหลายบุคลิก?! สวี่ชีอันที่อยู่ใต้หน้าต่างตระหนักได้ในทันใดเช่นกัน

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมคดีนี้ถึงได้วุ่นวายและมีความขัดแย้งเกิดขึ้นทุกขั้นตอน เพราะมีไฉเสียนถึงสองคนนั่นเอง

แน่นอนว่าไฉเสียนในแบบปกติไม่มีแรงจูงใจที่จะฆ่าไฉเจี้ยนหยวน แต่ไฉเสียนอีกคนที่รู้ประวัติชีวิตของตนเองมีแรงจูงใจนี้ เขาคือคนที่มีแต่ความหวาดระแวง

ไฉเสียนในแบบปกติเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์และมีคนใส่ร้ายเขาอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น เขาจึงยืนกรานที่จะไม่ไปจากเซียงโจวเพื่อสืบหาความจริงต่อไป

แต่แท้จริงแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือตัวเขาเอง แต่เป็นตัวเขาในอีกบุคลิกหนึ่ง สิ่งนี้เองที่ทำให้คดีเกิดความไม่สอดคล้องกัน

คดีฆาตกรรมหมู่บ้านเสี่ยวชุนเขาก็เป็นคนทำ…ในที่สุดสวี่ชีอันก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ไฉซิ่งเอ๋อร์มีข้อพิสูจน์ในช่วงเวลาที่นางไม่อยู่ และไม่ได้มีความจำเป็นในการก่อเหตุเช่นกัน

ในตอนแรกเขาก็รู้สึกแปลก หากไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นคนฆ่ายกครัวทั้งสามคนนั้นจริงๆ แล้วทำไมนางถึงไม่ใช้โอกาสนั้นซุ่มโจมตีไฉเสียนไปด้วย? การฆ่าชาวบ้านบริสุทธิ์เหล่านั้นไม่มีประโยชน์อันใดกับนาง

แต่สำหรับอีกบุคลิกหนึ่งแล้ว เขาจำเป็นต้องขัดขวางไม่ให้ไฉเสียนเข้าร่วมชุมนุมมือสังหารมาร เพราะฆาตกรก็คือตัวเขาเอง เขาเป็นคนลงมือทำคดีฆาตกรรมทั้งหมด โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์

หากเข้าชุมนุมมือสังหารมาร ก็มีเพียงหนทางแห่งความที่รออยู่ ดังเช่นตอนนี้

“เอ๋ มีความคืบหน้าบางอย่างที่ศาลบรรพบุรุษ…” แมวส้มหลับตาลง

ในห้องใต้ดินอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันได้รับข้อมูลจากหนูตัวหนึ่ง หนู ‘บอก’ เขาว่า ใต้ศาลบรรพบุรุษมีห้องลับ มันแอบเข้าไปในห้องลับนั้นผ่านโพรงเล็กๆ ที่พื้น

งู แมลง หนูและมดทั้งภายในและภายนอกศาลบรรพบุรุษทั้งหมดสูญเสียการควบคุมในเวลาเดียวกัน

หนูเริ่มจับแมลงรอบตัว งูที่ตื่นจากการจำศีลก็จับหนูกินตามสัญชาตญาณเดิม

“ห้องลับใต้ศาลบรรพบุรุษ ช่างคุ้มค่าจริงๆ…” สวี่ชีอันปล่อยพวกมัน มุ่งไปควบคุมแมวส้มและหนูตัวที่พบห้องลับแทน ทำให้ภาระของเขาเบาลงในทันที และอาการปวดศีรษะก็หายไป

บรรยากาศภายในห้องลับมืดสลัวเล็กน้อย ตามซอกกำแพงมีตะเกียงน้ำมันอยู่หลายดวง

ในส่วนลึกของห้องลับ มีผู้หญิงผมเผ้ากระเซอะกระเซิงนางหนึ่งถูกล่ามโซ่ที่แขนขาทั้งสองข้าง นั่งอยู่บนกองฟางที่มีกลิ่นเหม็นเน่า

ริมฝีปากของนางถูกปิดด้วยที่ครอบปากที่ทำจากหนัง ศีรษะเอียงไปด้านหนึ่งอย่างอ่อนแรง หน้าอกยังคงกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย ลมหายใจคงที่ราวกับกำลังหลับ

คืนก่อนไฉซิ่งเอ๋อร์มาทางใต้ของจวน ก็เพื่อมาพบผู้หญิงคนนี้รึ?

ไฉซิ่งเอ๋อร์ขังนางไว้ที่นี่รึ?

หนูเดินผ่านรัศมีไฟสลัวของตะเกียงน้ำมันมาหยุดที่เบื้องหน้าผู้หญิงคนนั้นและกล่าวว่า “ตื่น!”

ศีรษะของนางขยับเล็กน้อย นางค่อยๆ ตื่นขึ้น เมื่อเห็นหนูที่อยู่เบื้องหน้า ก็เห็นได้ชัดว่านางตกตะลึงอย่างยิ่งและไม่ตอบสนองอยู่นาน

หนูกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“อือ อือ อือ…”

ภายใต้ผมที่ยุ่งเหยิงของนาง เผยให้เห็นดวงตาที่สว่างขึ้นทันใด ราวกับคนสิ้นหวังที่มองเห็นความหวังขึ้นมา

นางพยายามดิ้นรนอย่างหนัก เสียงโซ่เหล็กกระทบกันดังเซ็งแซ่

“เจ้าเป็นใคร?”

หนูถามอีกครั้ง มันก้มลงไปมองอุ้งเท้าหน้าเล็กๆ ของตนเองและกล่าวว่า “เจ้าเขียนก็ได้”

นิ้วมือของนางเขียนลงบนกำแพงอย่างงกๆ เงิ่นๆ

“ไฉหลาน!”

……………………………………….……

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง