ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 551

สรุปบท บทที่ 551 ความจริงปรากฏ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 551 ความจริงปรากฏ – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 551 ความจริงปรากฏ ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 551 ความจริงปรากฏ

ดวงตาของสวี่ชีอันแข็งทื่อ จิตวิญญาณตึงเครียดชั่วขณะ ประโยคเพียงสั้นๆ นี้กระตุ้นความรู้สึกเร่งด่วนขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เหตุใดจิ้งซินและจิ้งหยวนถึงจับไฉเสียนได้รวดเร็วเช่นนี้? ช่างไม่สมเหตุสมผลเสียจริง

หลังจากเรื่องที่ครอบครัวในหมู่บ้านเสี่ยวชุนถูกฆ่าตายทั้งหมด ไฉเสียนก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาก ต่อให้เป็นข้าที่มีคลื่นพลังปราณมังกรก็ยังหาที่ที่ไฉเสียนซ่อนตัวไม่พบ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิ้งซินและจิ้งหยวน พวกเขาไม่มีทางมองเห็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัยท่ามกลางทะเลฝูงชนอย่างแน่นอน

“ข้าต้องมองข้ามอะไรบางอย่างไปแน่ หรือไม่ จิ้งซินและจิ้งหยวนก็รู้ความลับบางอย่างที่ข้าไม่รู้…”

หลังจากสงบจิตสงบใจลงแล้ว สวี่ชีอันก็กล่าวเสียงเบาว่า “รับทราบ”

หลี่หลิงซู่กล่าวทันทีว่า “ข้าจะไปจับตาดูสถานการณ์ทางฝั่งของซิ่งเอ๋อร์ก่อน ผู้อาวุโสมีแผนอะไรรึ?”

“เจ้ารักษาตัวให้ดีเถอะ”

หลี่หลิงซู่กระตุกมุมปากเล็กน้อย พลางพยักหน้าและทะลุผ่านประตูห้องใต้ดินออกไป

ทันทีที่เทพบุตรจากไปแล้ว สวี่ชีอันก็กัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง

จิ้งซินและจิ้งหยวนเป็นยอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่ ด้วยการผสมผสานของภิกษุนิกายฉานและจอมยุทธ์ภิกษุ โดยพื้นฐานแล้วย่อมสามารถปราบปรามพวกที่อยู่ขั้นก่อร่างในระบบอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน เกรงว่ามีเพียงขั้นสี่ของลัทธิขงจื๊อที่สามารถใช้ปากต่อต้านสำนักพุทธทรงศีลได้

ภิกษุถ่าหลิงไม่อนุญาตให้ข้าใช้เจดีย์มาปราบปรามและสังหารศิษย์สำนักพุทธ แต่สามารถใช้ปกป้องตนเองได้ แต่ตอนนี้ข้าต้องการกระทำต่อภิกษุสำนักพุทธ ย่อมไม่สามารถพึ่งบารมีของเจดีย์พุทธะได้

ไฉเสียนเป็นหนึ่งในเก้าของผู้ถูกปราณมังกรอาศัย ย่อมไม่มีทางตกอยู่ในมือของสำนักพุทธ โชคดีที่ศัตรูอยู่ในที่สว่าง ส่วนข้าอยู่ในที่มืด พวกเขาย่อมไม่รู้ถึงการมีอยู่ของข้า…

สวี่ชีอันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาแบ่งงู แมลง หนูและมดออกครึ่งหนึ่ง และควบคุมส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งในการสำรวจศาลบรรพบุรุษของตระกูลไฉต่อไป ส่วนจิตเดิมที่สำรองไว้ถูกใช้เพื่อควบคุมแมวส้ม

ด้านนอกห้องใต้ดิน แมวส้มที่กำลังนอนหลับด้วยความขี้เกียจก็ลืมตาสีเหลืองอำพันขึ้น เผยให้เห็นรูม่านตาแนวตั้งจางๆ มันยกหางเล็กๆ ขึ้นด้วยความหยิ่งยโสราวกับลูกธนูที่แหลมคม

ท่ามกลางคืนอันมืดมิด ไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่ได้พาทหารยามมาด้วย และไม่ได้แจ้งให้สมาชิกในตระกูลไฉทราบด้วยเช่นกัน

นางเดินอยู่ตามทางเดินเพียงลำพังท่ามกลางสายลมอันเย็นยะเยือก โคมไฟที่แขวนอยู่บริเวณชายคาทั้งสองข้างแกว่งไกวเล็กน้อย แสงไฟสีแดงส่องใบหน้าอันบอบบางของนาง สะท้อนเข้ากับรูม่านตา ส่องประกายราวกับอัญมณี

หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง ก็เห็นแสงเทียนสว่างไสวส่องผ่านประตูและหน้าต่างออกมาจากห้องโถงชั้นใน

มีคณะภิกษุแดนประจิมมากกว่าสิบรูปยืนอยู่ด้านนอกห้องโถง ราวกับพื้นที่โดยรอบถูกกำหนดให้เป็นเขตหวงห้าม

ไฉซิ่งเอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้ ผลักประตูห้องโถงชั้นใน เห็นศิษย์พี่น้องจิ้งซินและจิ้งหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนอีกบุคคลหนึ่งที่ยืนอยู่ในห้องกำลังถูกมัดด้วยเชือกสีทองเข้ม

“ไฉเสียน!”ไอรีนโนเวล

ดวงตาของไฉซิ่งเอ๋อร์เบิกกว้าง ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ นางเดินเข้าไปสองก้าวอย่างรวดเร็วและตวัดฝ่ามือลงบนใบหน้าของไฉเสียนโดยไม่พูดไม่จาใดๆ

“อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต!” จิ้งซินแสดงศีลได้ทันเวลา เพื่อปัดเป่าความคิดที่จะจู่โจมของไฉซิ่งเอ๋อร์

“ประสกไฉซิ่งเอ๋อร์อย่าได้หุนหันพลันแล่น” จิ้งซินลุกขึ้นและพนมมือ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบว่า “อาตมาได้ใช้วรยุทธ์สำนักพุทธทรงศีลไต่ถามไฉเสียนแล้ว เขามิใช่ฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าไฉเจี้ยนหยวน และมิใช่คนที่ก่อความวุ่นวายในเมืองเซียงโจวในช่วงที่ผ่านมา ฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังคือบุคคลอื่น”

ดวงตาไฉซิ่งเอ๋อร์สั่นไหว และเห็นว่าทั้งสามคนกำลังจ้องมาที่นาง

“ไต้ซือจิ้งซินกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ไฉซิ่งเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “หรือว่าท่านสงสัยว่าข้าใส่ร้ายเขา คนในตระกูลไฉทั้งหมดใส่ร้ายเขา วีรบุรุษเซียงโจวใส่ร้ายเขางั้นรึ?”

ภิกษุจิ้งหยวนยืนขึ้นและก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผย ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราจึงกลับมาที่นี่เพราะเหตุนี้ สำนักพุทธไม่ลงโทษผู้บริสุทธิ์ และไม่ละเว้นคนบาปเช่นกัน”

“ดูเหมือนในสายตาของไต้ซือทั้งสองท่าน ในจวนของข้าจะมีคนบาปอย่างไรอย่างนั้น”

เวลานี้เอง ประตูห้องโถงชั้นในก็ถูกผลักออก หลี่หลิงซู่ผู้มีรูปลักษณ์หล่อเหลาและสวมชุดคลุมสีดำก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา

หลี่หลิงซู่…จิ้งซินและจิ้งหยวนหันมาสบตากัน พวกเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของหลี่หลิงซู่ดี แต่ก็จงใจเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของเขา

‘ช่างยโสโอหังจริงๆ หากเทพบุตรอย่างตัวข้าอยู่ในช่วงรุ่งเรือง ย่อมตีพวกเจ้าทั้งสองได้สบายๆ…’ หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าตนเองถูกเพิกเฉยจึงกล่าวพึมพำในใจ

เขาชายตามองไฉเสียนที่อยู่ไม่ไกล พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ไฉเสียน ไม่ได้พบกันนานนะ”

หากย้อนกลับไปตอนที่เขาและไฉซิ่งเอ๋อร์ยังดีต่อกัน เขาก็เคยพบไฉเสียนสองสามครั้ง

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ดูเหมือนไฉเสียนจะผ่านโลกมาค่อนข้างโชกโชน

นอกจากนี้ สายตาอันเฉียบแหลมของหลี่หลิงซู่ก็ตระหนักถึงตำแหน่งที่จิ้งหยวนยืนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถ ‘สนับสนุน’ ไฉเสียนได้โดยพลัน

และจิ้งซินก็พนมมือตั้งแต่ต้นจนกระทั่งตอนนี้ ราวกับพร้อมที่จะแสดงศีลทุกเมื่อ

‘การคุ้มกันของพวกเขารัดกุมมาก แม้จะอาศัยวิธีการที่เล่ห์เหลี่ยมของสวีเชียน ก็ยังยากที่จะลักพาตัวไฉเสียนไปต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง…’ หลี่หลิงซู่คิดในใจด้วยสีหน้าสงบ

“เจ้านั่นเอง!”

เห็นได้ชัดว่าไฉเสียนจำหลี่หลิงซู่ได้และกล่าวอย่างกะทันหันว่า “วันก่อนข้ายังคิดว่าท่านอาปล่อยตัวไปในทางที่เสื่อมโทรม ที่แท้ก็เป็นเจ้า”

ไฉซิ่งเอ๋อร์มองค้อนไฉเสียนอย่างโหดเหี้ยม แต่ก็ทำได้เพียงประนีประนอมต่อหน้าภิกษุทั้งสองท่าน นางสูดหายใจเข้าลึกๆ และถามกลับว่า “เช่นนั้นพวกท่านคิดจะทำอะไร?”

จิ้งซินกล่าวว่า “ง่ายมาก อาตมาจะใช้คุณสมบัติของวรยุทธ์ทรงศีลมาถามเจ้า หากเจ้าสามารถทนการทดสอบไปได้ เจ้าก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์ หากไม่สามารถทนได้…”

เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ความหมายก็ชัดเจนในตัวเองแล้ว

ตอนนี้จับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพะว้าพะวังกับตระกูลไฉและไฉซิ่งเอ๋อร์อีกต่อไป ด้วยฐานการบำเพ็ญของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงเซียงโจว ต่อให้เป็นจางโจวก็สามารถปราบปรามได้

ภิกษุจิ้งหยวนจ้องมองไฉซิ่งเอ๋อร์ด้วยรังสีอันแข็งแกร่ง

ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากัน แมวส้มตัวหนึ่งยืนพิงอยู่ที่กำแพงด้านนอกที่ใต้หน้าต่าง พลางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

‘หลังจากจับไฉเสียนได้แล้ว สำนักพุทธก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกต่อไป จึงแสดงท่าทีอวดดีได้สินะ…’ แมวส้มกระดิกหูเล็กน้อยเพื่อระบุตำแหน่งที่มาของเสียง พบว่าจิ้งซินและจิ้งหยวนอยู่ใกล้กับไฉเสียนมาก

‘ต่อให้ตัวข้าจะใช้เงามืดกระโดดเข้าไปลักพาตัวไฉเสียน เกรงว่าคงถูกภิกษุจิ้งหยวนจับได้ทั้งที่ยังไม่ปรากฏตัวเสียอีก…อืม ดูเหมือนคืนนี้จะไม่ใช่โอกาสเหมาะในการลักพาตัวใคร’

สีหน้าของแมวแสดงอาการบึ้งตึงออกมาอย่างชัดเจน

ในห้องโถง ไฉซิ่งเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย “ตกลง ไต้ซือลองถามดู”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่น รวมทั้งสวี่ชีอันที่อยู่ด้านนอกก็ดูเหมือนจะกลั้นหายใจพร้อมกันเพื่อรอคำตอบ

จิ้งซินพนมมือ “ขอบคุณประสกมากที่ให้ความร่วมมือ”

เขาแสดงศีลทันที พลางกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าเป็นคนฆ่าไฉเจี้ยนหยวนใช่หรือไม่?”

ทันทีที่สิ้นประโยคคำถาม พลังที่มองไม่เห็นแต่เต็มไปด้วยอำนาจก็สร้างแรงกดดันในร่างกายของไฉซิ่งเอ๋อร์ ทำให้นางรู้สึกว่าผู้คนควรเกิดมาด้วยความจริงใจ คนที่พูดปดไม่คู่ควรกับการเป็นมนุษย์

ในสภาพการณ์เช่นนี้ นางไม่มีทางพูดปดออกมาได้ จึงตอบกลับว่า “ข้าไม่ได้ฆ่า”

นางไม่ใช่คนฆ่าไฉเจี้ยนหยวน…นี่…นี่ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้เลยสักนิด หรือว่านางจะวางยาพิษ หลังจากนั้นก็ฆ่าไฉเจี้ยนหยวนอย่างรวดเร็ว แล้วล่อให้ไฉเสียนไปเพื่อใส่ร้ายเขา?

จิ้งซินใช้ศีลถามไฉเสียนแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพูดปดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หากไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่ใช่คนฆ่า และไม่ใช่ไฉเสียนด้วย งั้นจะเป็นใครไปได้?

ความคิดของสวี่ชีอันล่องลอยอยู่ที่ใต้หน้าต่าง แต่จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าคดีนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก

จิ้งซินและจิ้งหยวนหันมาสบตากันและขมวดคิ้วเล็กน้อย

‘ซิ่งเอ๋อร์ไม่ได้เป็นคนฆ่า ข้ารู้ว่าซิ่งเอ๋อร์คงไม่ทำเรื่องเช่นนี้ เช่นนั้นใครเป็นคนฆ่าไฉเจี้ยนหยวน?’ หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้วด้วยความยินดี เขารู้สึกว่าคดีนี้เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น

จิ้งซินถามเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง “คนที่เที่ยวเข่นฆ่าผู้อื่นไปทั่วเซียงโจวและทำการหลอมศพคือเจ้าใช่หรือไม่?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ข้า ไฉเสียนเป็นคนทำต่างหาก”

นางตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของวรยุทธ์ ‘ทรงศีล’ ทำได้เพียงกล่าวความจริง ไม่สามารถพูดปดได้

“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร?” ไฉเสียนโกรธจัดจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “เจ้ายังมีผู้สมรู้ร่วมคิด”

จิ้งซินดวงตาเป็นประกาย เขาฉวยโอกาสตอนที่วรยุทธ์ทรงศีลยังอยู่ด้วยการรีบถามว่า “ผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าคือใคร ผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิด ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าพี่ใหญ่ และข้าก็ไม่ใช่คนก่อคดีฆาตกรรมข้างนอกนั่นด้วย”

ไม่ได้โกหก นี่…จิ้งซินและจิ้งหยวนสบตากันด้วยความประหลาดใจ ต่างคนต่างก็เห็นความสับสนในแววตาของกันและกัน

มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็สามารถตัดสินได้เบื้องต้นว่าไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นผู้บริสุทธิ์ ในเมื่อไม่ได้ฆ่าและไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง

แต่คดีก็เดินทางมาสู่ทางตันใหม่เช่นกัน

ไฉเสียนกล่าวพึมพำ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”

ดูเหมือนเขาจะรับไม่ได้กับจุดจบเช่นนี้

สวี่ชีอันที่อยู่ใต้หน้าต่างจมสู่ห้วงแห่งความคิด ไม่ใช่ไฉซิ่งเอ๋อร์ และไม่ใช่ไฉเสียน เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นไฉหลาน…แต่ปัญหาคือ แม่นางท่านนี้ไม่เคยปรากฏตัวออกมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เบาะแสน้อยเกินไปที่จะทำการตัดสินชี้ขาด

สวี่ชีอันรู้สึกราวกับได้กลับไปตอนแรกที่อยู่เมืองหลวง ตอนที่ตนเองเผชิญกับคดีต่างๆ มากมาย และทุ่มเททั้งกายและใจในการสืบสวน

จู่ๆ หลี่หลิงซู่ก็กล่าวว่า “ไฉหลานเล่า? ท่านทั้งหลายลืมไฉหลานไปแล้วรึ”

“ข้ารู้ได้อย่างไรงั้นรึ? เพราะข้าคือฆาตกรยังไงเล่า!”

เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็ราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคนอย่างไรอย่างนั้น

“ใช่แล้ว ข้าคือคนที่ฆ่าไฉเจี้ยนหยวน คดีฆาตกรรมในเซียงโจวข้าก็เป็นคนทำ ข้าเป็นคนทำทั้งหมด”

เขาหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่งและกล่าวว่า “ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็ไม่มีพ่อ ท่านแม่ของข้าเป็นโรคซึมเศร้า นางทำงานหนักจนตายเพื่อหาเลี้ยงข้า ข้ากลายเป็นขอทานตั้งแต่ยังเด็ก ถูกคนอื่นรังแก ทั้งเจ็บปวดและทรมาน ถึงเขาตายก็ยังไม่สาสม พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายปีที่ผ่านมาข้าอดทนมาได้อย่างไร? ชีวิตของข้าเลวร้ายกว่าหมาเสียอีก แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เสี่ยวหลานอยู่ข้างข้า ข้าก็สามารถละทิ้งความแค้นในอดีตไปได้ แต่เขากลับพรากเสี่ยวหลานไปจากข้าอีก คนเช่นนี้ไม่สมควรตายรึ? ไม่สมควรตายรึ!”

ไฉเสียนในเวลานี้ แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและหล่อเหลาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

โรคประสาทหลอน? หลี่หลิงซู่ตระหนักได้ในทันใด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เขาเป็นโรคประสาทหลอน”

โรคหลายบุคลิก?! สวี่ชีอันที่อยู่ใต้หน้าต่างตระหนักได้ในทันใดเช่นกัน

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมคดีนี้ถึงได้วุ่นวายและมีความขัดแย้งเกิดขึ้นทุกขั้นตอน เพราะมีไฉเสียนถึงสองคนนั่นเอง

แน่นอนว่าไฉเสียนในแบบปกติไม่มีแรงจูงใจที่จะฆ่าไฉเจี้ยนหยวน แต่ไฉเสียนอีกคนที่รู้ประวัติชีวิตของตนเองมีแรงจูงใจนี้ เขาคือคนที่มีแต่ความหวาดระแวง

ไฉเสียนในแบบปกติเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์และมีคนใส่ร้ายเขาอยู่เบื้องหลัง ดังนั้น เขาจึงยืนกรานที่จะไม่ไปจากเซียงโจวเพื่อสืบหาความจริงต่อไป

แต่แท้จริงแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือตัวเขาเอง แต่เป็นตัวเขาในอีกบุคลิกหนึ่ง สิ่งนี้เองที่ทำให้คดีเกิดความไม่สอดคล้องกัน

คดีฆาตกรรมหมู่บ้านเสี่ยวชุนเขาก็เป็นคนทำ…ในที่สุดสวี่ชีอันก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ไฉซิ่งเอ๋อร์มีข้อพิสูจน์ในช่วงเวลาที่นางไม่อยู่ และไม่ได้มีความจำเป็นในการก่อเหตุเช่นกัน

ในตอนแรกเขาก็รู้สึกแปลก หากไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นคนฆ่ายกครัวทั้งสามคนนั้นจริงๆ แล้วทำไมนางถึงไม่ใช้โอกาสนั้นซุ่มโจมตีไฉเสียนไปด้วย? การฆ่าชาวบ้านบริสุทธิ์เหล่านั้นไม่มีประโยชน์อันใดกับนาง

แต่สำหรับอีกบุคลิกหนึ่งแล้ว เขาจำเป็นต้องขัดขวางไม่ให้ไฉเสียนเข้าร่วมชุมนุมมือสังหารมาร เพราะฆาตกรก็คือตัวเขาเอง เขาเป็นคนลงมือทำคดีฆาตกรรมทั้งหมด โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์

หากเข้าชุมนุมมือสังหารมาร ก็มีเพียงหนทางแห่งความที่รออยู่ ดังเช่นตอนนี้

“เอ๋ มีความคืบหน้าบางอย่างที่ศาลบรรพบุรุษ…” แมวส้มหลับตาลง

ในห้องใต้ดินอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันได้รับข้อมูลจากหนูตัวหนึ่ง หนู ‘บอก’ เขาว่า ใต้ศาลบรรพบุรุษมีห้องลับ มันแอบเข้าไปในห้องลับนั้นผ่านโพรงเล็กๆ ที่พื้น

งู แมลง หนูและมดทั้งภายในและภายนอกศาลบรรพบุรุษทั้งหมดสูญเสียการควบคุมในเวลาเดียวกัน

หนูเริ่มจับแมลงรอบตัว งูที่ตื่นจากการจำศีลก็จับหนูกินตามสัญชาตญาณเดิม

“ห้องลับใต้ศาลบรรพบุรุษ ช่างคุ้มค่าจริงๆ…” สวี่ชีอันปล่อยพวกมัน มุ่งไปควบคุมแมวส้มและหนูตัวที่พบห้องลับแทน ทำให้ภาระของเขาเบาลงในทันที และอาการปวดศีรษะก็หายไป

บรรยากาศภายในห้องลับมืดสลัวเล็กน้อย ตามซอกกำแพงมีตะเกียงน้ำมันอยู่หลายดวง

ในส่วนลึกของห้องลับ มีผู้หญิงผมเผ้ากระเซอะกระเซิงนางหนึ่งถูกล่ามโซ่ที่แขนขาทั้งสองข้าง นั่งอยู่บนกองฟางที่มีกลิ่นเหม็นเน่า

ริมฝีปากของนางถูกปิดด้วยที่ครอบปากที่ทำจากหนัง ศีรษะเอียงไปด้านหนึ่งอย่างอ่อนแรง หน้าอกยังคงกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย ลมหายใจคงที่ราวกับกำลังหลับ

คืนก่อนไฉซิ่งเอ๋อร์มาทางใต้ของจวน ก็เพื่อมาพบผู้หญิงคนนี้รึ?

ไฉซิ่งเอ๋อร์ขังนางไว้ที่นี่รึ?

หนูเดินผ่านรัศมีไฟสลัวของตะเกียงน้ำมันมาหยุดที่เบื้องหน้าผู้หญิงคนนั้นและกล่าวว่า “ตื่น!”

ศีรษะของนางขยับเล็กน้อย นางค่อยๆ ตื่นขึ้น เมื่อเห็นหนูที่อยู่เบื้องหน้า ก็เห็นได้ชัดว่านางตกตะลึงอย่างยิ่งและไม่ตอบสนองอยู่นาน

หนูกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“อือ อือ อือ…”

ภายใต้ผมที่ยุ่งเหยิงของนาง เผยให้เห็นดวงตาที่สว่างขึ้นทันใด ราวกับคนสิ้นหวังที่มองเห็นความหวังขึ้นมา

นางพยายามดิ้นรนอย่างหนัก เสียงโซ่เหล็กกระทบกันดังเซ็งแซ่

“เจ้าเป็นใคร?”

หนูถามอีกครั้ง มันก้มลงไปมองอุ้งเท้าหน้าเล็กๆ ของตนเองและกล่าวว่า “เจ้าเขียนก็ได้”

นิ้วมือของนางเขียนลงบนกำแพงอย่างงกๆ เงิ่นๆ

“ไฉหลาน!”

……………………………………….……

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง