ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 553

บทที่ 553 ดาบเดียว (1)

พูดจบ จิ้งหยวนรีบถอนตัวออกจากภาพลวงตาด้วยความรวดเร็วราวปีศาจ เพียงพริบตาเดียว ก็มาถึงตรงหน้าเหิงอิน

“กลับใจยังมีทางรอด!” เหิงอินพนมมือ ก้มหน้า พูดด้วยท่าทางสบายๆ

พลังของคาถากระจายออกไปทันที ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่อยู่ในห้องโถง

จิ้งหยวนใช้กระบวนท่าของหลักการการเคลื่อนที่ หันกลับโดยต่อต้านความเฉื่อย กลับมายังที่เดิมอีกครั้ง สำหรับทหารขั้นสลายแรงแล้ว การตบหน้านิวตันถือเป็นเรื่องปกติ

“เจ้าไม่ใช่เขา เจ้าคือศิษย์พี่เหิงอิน”

จิ้งหยวนเลิกคิ้ว จำตัวตนของเขาได้ ในขณะเดียวกัน จอมยุทธ์ภิกษุขั้นสี่รูปนี้รู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย ไฉเสียนก็ดี สวี่ชีอันก็เช่นกัน แต่ละคนล้วนชอบใช้หุ่นกระบอกปลอมตัวหลอกคนอื่น

เหิงอินกระตุกมุมปาก พูดแก้ว่า “ไม่ใช่ ข้าคือเหิงอินแห่งทะเลสาบต้าหมิง”

จิ้งหยวนตกตะลึง ดูเหมือนจะคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบเช่นนี้ โดยไม่รอให้เขามีการตอบสนอง จู่ๆ ก็มีจอมยุทธ์ภิกษุที่คอยคุ้มครองอยู่ข้างๆ ฉานซือรูปหนึ่งหมดแรงล้มลง แขนขาอ่อนแรงหมดความรู้สึก แค่เดินพลังปราณเล็กน้อย ก็รู้สึกเจ็บปวดทุรนทุรายอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที คนอื่นๆ ต่างก็รีบกลั้นหายใจทันที

“มีพิษ!”

จิ้งหยวนผลักมือทั้งสองข้างไปข้างหน้า พลังปราณพรั่งพรู เสียงดัง ‘ปัง ปัง’ อย่างต่อเนื่อง หน้าต่างห้องโถงเปิดออกทุกบาน

“ผู้อาวุโสสวีมาช่วยพวกเราแล้ว”

หลี่หลิงซู่พูดด้วยความดีใจ เขาก็โดนพิษเหมือนกัน แขนขาอ่อนแรง ที่สามารถยืนอยู่ได้ ก็เป็นเพราะเขากับไฉซิ่งเอ๋อร์ถูกจับมัดด้วยเชือกเส้นเดียวกัน

ไฉซิ่งเอ๋อร์กลั้นหายใจได้ทันเวลา จึงไม่ถูกไอพิษล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกาย

“เขาจะช่วยได้หรือเปล่า?”

ไฉซิ่งเอ๋อร์เลิกคิ้วเรียวงาม ไม่ค่อยมีความหวังกับพลังของสวีเชียนเท่าไรนัก

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่เหนือธรรมดาสามัญ” หลี่หลิงซู่กล่าว

ไฉซิ่งเอ๋อร์พูดอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ? ภิกษุฉาวโฉ่สองคนนั้นบอกว่า อาจารย์ของพวกเขาไม่อยู่ที่เซียงโจวมิใช่หรือ”

หลี่หลิงซู่พูดไม่ออก ตอบไม่ได้ชั่วขณะ

‘เฒ่าประหลาดสวีเชียน จุดนี้ข้ายืนยันได้ แต่ตลอดทางที่ผ่านมา ข้าสามารถเดาได้ว่าเขามีปัญหา…’ เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่หลิงซู่รู้สึกมองในแง่ร้ายทันที

‘ไม่ใช่สิ คนรอบคอบอย่างสวีเชียน หากไม่แน่ใจจะลงมือได้อย่างไร เขามีไพ่ตายในมือที่ข้าไม่รู้!’

หลี่หลิงซู่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที คิดว่าบางทีอาจจะสามารถเปิดผ้าคลุมหน้าลึกลับของสวีเชียนจากการต่อสู้ครั้งนี้ได้

‘เขาคิดที่จะใช้พิษบีบบังคับพวกเราให้ออกไปจากห้องโถง จากนั้นก็ฉวยโอกาสชิงตัวไฉเสียน ช่วยหลี่หลิงซู่ออกไป…’

ภิกษุจิ้งซินมองคนทั้งสามที่อยู่ในสายตา หันหน้า สายตามองผ่านหัวไหล่เหิงอิน มองไปยังความมืดยามราตรีด้านนอกประตู พูดเสียงดังว่า

“ประสกสวี ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัวให้เห็น? ฉานซือของสำนักพุทธไม่กลัวพิษรุนแรงหรอกนะ”

ฉานซือเป็นคำเรียกขั้นหกในระบบของสำนักพุทธ ในขั้นนี้ไม่มีการเพิ่มพลังต่อสู้ มีการฝึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ นั่งสมาธิ

นั่งอย่างห่อเหี่ยวสามวันสามคืน เป็นขั้นเบื้องต้น

ฝึกวิชาฉาน ถึงขั้นลึกซึ้ง จนกระทั่งกลมกลืนกับฟ้าดิน เข้าใจกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง

ในดินแดนประจิมทิศ มักจะมีภิกษุขั้นสูงนั่งสมาธิครั้งละหลายปี หรือกระทั่งสิบปี ทันทีที่ภิกษุดินแดนประจิมทิศเริ่มนั่งสมาธิ ก็จะไม่กินไม่ดื่ม ไม่กลัวมารรุกราน และยังมีพลังในการป้องกัน

ขณะนี้ ฉานซือสิบกว่ารูปรวมตัวกันเป็นค่ายกล ภายนอกดูเหมือนเป็นการอ่านคัมภีร์เต๋า แต่ความจริงได้คุ้มกันหลี่หลิงซู่และคนอื่นๆ รวมสามคนไว้ข้างใน สวี่ชีอันใช้พิษเพราะต้องการให้พวกเขาเปิดค่ายกล

ทันทีที่เสียงของจิ้งซินสิ้นสุดลง สายตาของทุกคนในห้องโถงก็มองไปรอบๆ มองหาสวีเซียนที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน

จิ้งหยวนเริ่มสังเกตก่อน สายตาจับจ้องไปที่เงาใต้เท้าของเหิงอิน

เงานั้นดำสนิท บูดเบี้ยว มีชายสวมชุดชาวบ้านหน้าตาเหมือนกันมุดออกมาคนหนึ่ง ในมือถือกระบี่ ฝักกระบี่สีดำ พูดให้ถูกก็คือ นี่เป็นดาบเล่มหนึ่ง เพียงแต่ระดับความโค้งของฝักดาบไม่มาก มองดูแวบแรก อาจทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นกระบี่

ดาบ? นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่หลิงซู่เห็นสวีเชียนใช้อาวุธ ซึ่งต่างจากภาพลักษณ์ที่แล้วมาอย่างมาก จนเขาสังเกตเห็นในทันที

แววตาของจิ้งซินเป็นประกายเล็กน้อย พนมมือ “วางดาบลง”

พลังของคาถาปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง สร้างแรงกดดันให้สวี่ชีอัน

เหิงอินพนมมือ “ไม่มีผล!”

พลังของคาถาหายไปอย่างไร้ร่องรอยททันที

มีเพียงคาถาเท่านั้นที่จะสามารถรับมือกับคาถาได้จริงๆ…แววตาสวี่ชีอันสงบ เขามั่นใจแล้วว่าเทพอารักษ์ตู้หนานไม่ได้ซุ่มอยู่บริเวณใกล้ๆ นี้ และไม่อยู่ที่เซียงโจวด้วย ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว

คาถาไม่มีผล จิ้งซินไม่ได้สนใจ ใบหน้ามีรอยยิ้ม “ประสกสวี เจ้าหลงกลแล้ว!”

สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นทันที สะบัดมือขวาเบาๆ ฝ่ามือกำลูกประคำที่พันไว้ที่ข้อมือไว้ พูดเสียงเคร่งขรึมว่า

“ผนึก!”

ฉานซือสิบกว่ารูปทำท่าเหมือนกัน สะบัดข้อมือ กำลูกประคำ พูดพร้อมกันว่า

“ผนึก!”

แสงสีทองเหมือนระลอกคลื่นกวาดไปทั่วห้องโถง ทันใดนั้นบนพื้นก็มีตัวอักษร 卍 สว่างขึ้น

ใบหูของไฉซิ่งเอ๋อร์กระดิก พบว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงภายนอกแล้ว สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ที่นี่ถูกปิดผนึกแล้ว”

หลี่หลิงซู่พยักหน้าสีหน้าจริงจัง

“จิ้งซินและจิ้งหยวนรู้ตั้งนานแล้วว่าข้าอยู่ที่จวน รู้ว่าผู้อาวุโสสวีจะมาชิงปราณมังกร คำพูดก่อนหน้านี้ รวมทั้งไฉเสียน ล้วนเป็นเหยื่อทั้งนั้น

ในใจของเทพบุตรหนักอึ้ง ความวิตกกังวลปะทุขึ้นมา จนถึงตอนนี้ เขาเห็นสวีเชียนลงมือล้วนอาศัยกู่ทั้งนั้น ไปมาอย่างไร้ร่องรอย

เวลานี้ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเขาไม่มีแล้ว ที่แห่งนี้ถูกปิดผนึก พื้นที่ในห้องโถงไม่ใหญ่ ถึงแม้จะใช้วิชากระโดดสู่เงาได้ แต่การพุ่งตัวในระยะสั้น ทหารมีความเชี่ยวชาญที่สุด

จิ้งซินพนมมือ พูดเรียบๆ ว่า

“ขอเพียงจับร่างที่อยู่ของปราณมังกรได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าจะไม่หลงกล รู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ใต้หน้าต่าง ที่พูดมากขนาดนั้น ก็เพื่อล่อเจ้าอกอมา เปรียบเทียบกับไฉเสียนแล้ว พวกเราสนใจเจ้ามากกว่า การปิดผนึกนี้เรียกว่า ‘อรูปภูมิขนาดย่อม’ ในขั้นสี่ คนที่สามารถกำจัดมันได้มีอยู่น้อยมาก เพื่อจับตัวเจ้า พวกเราได้เตรียมอาวุธเวทมนตร์ไว้มากมาย ‘อรูปภูมิขนาดย่อม’ เป็นค่ายกลที่ใช้รับมือกับเจ้าโดยเฉพาะ และควบคุมกู่ของเจ้าได้พอดี อามิตตาพุทธ ประสกสวี ตามพวกเรากลับสำนักพุทธเถิด สำนักพุทธถึงจะเป็นจุดหมายปลายทางเดียวของเจ้า”

เขาไม่ได้กำเริบเสิบสานเช่นจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวน แต่ความราบเรียบและสุภาพนี้ กลับทำให้รู้สึกยโสโอหังยิ่งกว่าจอมยุทธ์ภิกษุเสียอีก

ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม ดังนั้นจึงราบเรียบ

สวี่ชีอันเดินเข้าไปใกล้จิ้งหยวนอย่างท้าทาย ดวงตามองไปที่จิ้งซินซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างออกไป แล้วพูดว่า “เทพอารักษ์ตู้หนาน พวกเจ้าก็เจตนาพูดเพื่อล่อข้าออกมาสินะ”

จิ้งซินพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เป็นความชำนาญอันน้อยนิดเท่านั้น”

สวี่ชีอันพยักหน้า “แล้วพวกเจ้าจับตัวไฉเสียนมาได้อย่างไร? เหตุใดจึงมั่นใจว่าเขาจะต้องบุกโจมตีพวกเจ้า”

จิ้งซินตอบว่า “ซือกู่ของซินเจียงตอนใต้มีวิธีการลับอยู่วิธีหนึ่ง นั่นคือการใช้วิธีการเลี้ยงกู่มาเลี้ยงศพ ไม่ว่าฆาตกรจะเป็นใคร ในเมื่อก่อคดีฆาตกรรมบ่อยครั้ง ฆ่าคนหลอมศพ ย่อมไม่ใช่การใส่ความแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงให้ศิษย์น้องลองออกหน้าหยั่งเชิงดู แล้วก็ล่อประสกไฉเสียนมาได้จริงๆ”

ไฉเสียนทำเสียงฮึอย่างเย็นชา “ในโลกนี้ทุกอย่างเป็นเรื่องของสมมติ มีเพียงพลังเท่านั้นที่เป็นของจริง ควบคุมพลังได้ ก็เท่ากับควบคุมทุกอย่าง ข้าเข้าใจเหตุผลนี้มาตั้งแต่ยังเด็กมากๆ เสียดายที่มนุษย์ศพของข้าขาดไปเพียงนิดเดียว มิเช่นนั้น ข้าก็จะมีพลังของขั้นสี่ กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่ยึดครองโจวใดโจวหนึ่ง”

ในจางโจว ขั้นสี่คือผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง

วิธีการลับซือกู่ ยังมีวิธีการเลี้ยงศพเช่นนี้ด้วย นี่คงเป็นสาเหตุจากขาดข้อมูลสินะ…สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ

จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนฟังถึงตรงนี้ ก็พูดสอดขึ้นว่า “ศิษย์พี่ อย่ามัวพูดจาไร้สาระกับเขาอยู่เลย รีบควบคุมเขาไว้”

จิ้งซินพยักหน้าช้าๆ พลิกข้อมือ เค้นลูกประคำ พูดว่า “ปิดผนึก!”

ตัวอักษร 卍 ใต้เท้าสวี่ชีอันหมุนอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยแสงสีทองอ่อนๆ ดูดเขาไว้แน่น

หลังจากนั้น จิ้งซินหยิบกระจกทองเหลืองสีเหลืองอร่ามออกมา ใช้ฝ่ามือลูบคลำหน้ากระจก กระจกทองเหลืองเปล่งแสงสว่างทันที

“รบกวนจิตเดิมของประสกสวีอยู่ในกระจกสักระยะหนึ่ง”

กระจกนี้สามารถดูดวิญญาณและปิดผนึกไว้ในกระจก หากต่ำกว่าขั้นสาม บุคคลคนไร้ความสามารถไม่อาจรอดพ้นไปได้

สิ่งที่สำนักพุทธเชี่ยวชาญที่สุดก็คืออาวุธเวทมนตร์ วรยุทธ์และค่ายกลที่ใช้ในการ ‘ปิดผนึก’

จิ้งซินรู้ระดับขั้นที่แท้จริงของสวี่ชีอันดี และก็รู้เช่นเดียวกันว่าเขาถูกตะปูตอกวิญญาณปิดผนึกไว้ แม้จิตเดิมจะมีความแข็งแกร่งขั้นสาม แต่กลับไม่มีความสามารถของขั้นสาม

กระจกบานนี้ เหลือเฟือสำหรับการปิดผนึกจิตเดิมของสวี่ชีอัน

จิ้งซินหมุนกระจกทองเหลือง เล็งไปที่สวี่ชีอัน บานกระจกส่องรูปร่างของเขาทันที หลังจากนั้น…กลับไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย

‘เป็นไปได้อย่างไร? ซินกู่ช่วยเพิ่มขนาดของจิตเดิมอย่างน่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ?’ คิ้วของจิ้งซินขมวดแน่น เร่งให้กระจกทองเหลืองดูดวิญญาณอีกครั้ง แต่ยังคงไม่มีการตอบสนอง

สีหน้าของจิ้งซินเคร่งเครียด ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า จึงคาดเดาว่าเป็นเพราะสวี่ชีอันมีวิธีอื่น หรือเป็นเพราะการเพิ่มของซินกู่

“ไม่รู้เลย!”

สวี่ชีอันพูดเรียบๆ ว่า “ความแข็งแกร่งของจิตเดิมของข้าเหนือกว่าที่เจ้าคิดมากนัก”

จิตเดิมของเขาในเวลานี้อยู่ในขั้นสามอย่างแท้จริง ไม่มีการปิดผนึกใดๆ

‘แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผู้อาวุโสสวีก็ยังคงเป็นผู้อาวุโสสวี ไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง…’ หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ จิตใจที่ตึงเครียดของหลี่หลิงซู่รู้สึกผ่อนคลายลง

แววตาของไฉซิ่งเอ๋อร์ก็ปรากฏความหวังขึ้นเช่นกัน

“ศิษย์พี่ ข้าจัดการเอง!”

จิ้งหยวนชูนิ้วขึ้น เคาะที่หว่างคิ้วเบาๆ มีจุดสีทองสว่างขึ้น แล้วก็เคลื่อนไหวไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียว เขาก็กลายร่างเป็นร่างทองส่องสว่าง

ในเมื่อดูดจิตเดิมไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องใช้กำลังในการปราบปราม

จิ้งซินพยักหน้าช้าๆ “รบกวนศิษย์น้องแล้ว”

เขารักษาค่ายกลไว้ ควบคุมสวี่ชีอันไว้จะได้ไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย แม้จะเชื่อใจจิ้งหยวนที่สุดก็ตาม ต่ำกว่าขั้นสาม คนที่สามารถเอาชนะจิ้งหยวนได้นั้นมีน้อยมาก

จิ้งหยวนส่งกระแสจิตว่า “สวี่ชีอัน เจ้าอาศัยพลังเทพวชิระของสำนักพุทธของข้าท่องไปในต้าฟ่ง ขณะที่เจ้าใช้พลังเทพตอบโต้ศัตรู เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากมีวันหนึ่งต้องตอบโต้กับยอดฝีมือที่มีวิชานี้เช่นกัน เจ้าจะแก้ไขอย่างไร?”

“ข้าจะใช้ดาบเดียว!”

สวี่ชีอันตอบ ไม่ได้ส่งกระแสจิต แต่เป็นการพูดปกติ

“ดาบเดียว? ดาบเดียวอะไร?”

ห้องโถงถูกปิดผนึก ขณะที่หลี่หลิงซู่กำลังสับสนไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้ยินคำพูดของสวี่ชีอัน แต่ไม่สามารถตอบสนองได้ชั่วขณะ

มุมปากสวี่ชีอันกระตุกขึ้น แล้วพูดว่า “ทำลายร่างทองของเจ้าด้วยดาบเดียว” น้ำเสียงราบเรียบที่ดังขึ้นในห้องโถง มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างไม่มีอะไรจะเทียบได้

‘ทำลายร่างทองด้วยดาบเดียว?’ ทุกคนเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ

แม้แต่ไฉเสียนที่ดื้อรั้นก็ถูกดึงดูดความสนใจ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘เขาคิดจะใช้เล่ห์เหลี่ยม?’ จิ้งซินขมวดคิ้ว เขาคิดว่าคำพูดประโยคนี้เป็นการปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริง สวี่ชีอันยังมีแผนที่ลึกล้ำมากกว่านั้น

…………………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง