ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 559

บทที่ 559 ตกปลา

หลังจากรวบรวมปราณมังกรสองชิ้นมาได้ ขอบเขตการรับรู้ปราณมังกรของสวี่ชีอันในปัจจุบันก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เขาสามารถตรวจจับพื้นที่โดยรอบทั้งใหญ่และเล็ก รวมถึงในถนนหนทางหลายสิบสายได้

ตอนนี้ เขาสัมผัสถึงการมีอยู่ของผู้ครองปราณมังกรได้อย่างชัดเจน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมนัก

การจัดงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์เป็นความคิดที่ฉลาดจริงๆ อาศัยเวลานี้ที่คนของสำนักพุทธยังไม่มา ไปเก็บปราณมังกรที่สัมผัสได้ในเมืองยงโจวเข้ากระเป๋าดีกว่า…

เขาหันกลับไปพูดกับมู่หนานจือและจิ้งจอกขาวโดยไม่ลังเลอีก

“ข้าจะออกไปข้างนอกนะ ไม่นานก็กลับ”

มู่หนานจือที่กอดจิ้งจอกขาวและยืนชมทิวทัศน์อยู่ข้างหน้าต่างส่งเสียงตอบรับ ‘อืม’

เขารีบออกจากโรงเตี๊ยมแล้วเดินไปตามสัมผัสที่ได้รับจากปราณมังกร ข้ามถนนหนทางและเข้าออกตรอกซอย จนในที่สุดก็มองเห็นเป้าหมาย

นั่นเป็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวแบบชาวยุทธ์ สีหน้าอ่อนโยนนิ่งสงบ บนหลังสะพายอาวุธที่ห่อผ้าเอาไว้และกำลังเดินอยู่บนถนนคนเดียว

ฝูงชนเบียดเสียดพลุกพล่าน มีชาวยุทธ์ไม่น้อยที่ผสมปนเปอยู่ในกลุ่มคน

แสร้งทำเป็นมาแก้แค้น จากนั้นก็เข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วชิงปราณมังกรไป แล้วรีบหนีทันที…

สวี่ชีอันสาวเท้าเข้าไปใกล้ เน้นการทำตัวไม่เป็นที่สนใจและไม่ได้ใช้วิชากระโดดข้ามเงา

เมื่อระยะห่างของทั้งสองห่างกันไม่ถึงสามจั้ง ชายวัยกลางคนสีหน้าอ่อนโยนก็พลันหันกายกลับมาจ้องเขม็งที่สวี่ชีอัน

“เจ้าตามข้ามาทำไม”

ขั้นหลอมวิญญาณ…สวี่ชีอันไม่เสียเวลาพูดกับเขา แต่หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแล้วส่องหน้ากระจกไปยังคนผู้นี้แล้วพึมพำท่องคาถา

เมื่อได้ระยะพอสมควร ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและการท่องคาถาก็จะสามารถดูดปราณมังกรออกมาได้

นี่คือความสามารถที่เขามีเพียงผู้เดียวเท่านั้น

แต่ทว่าในตอนนี้เอง กลับมีเสียง ‘แกร่ก’ ดังออกมาจากฝ่ามือของผู้ครองปราณมังกร

‘หืม?’

ขณะที่สวี่ชีอันกำลังสงสัย อาวุธเวทมนตร์ที่อยู่ในมือของผู้ครองปราณมังกรซึ่งเป็นนักดาบวัยกลางคนก็แตกออก แล้วกลายเป็นแสงสีใสบริสุทธิ์ ก่อนรวมเป็นประตูแสงกั้นกลางระหว่างคนทั้งคู่

ในประตูแสงนั้น มีเงาร่างคนปรากฏขึ้นรางๆ เขาสูงเก้าฉื่อ มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่และคล้ายมีวงแหวนไฟอยู่ด้านหลังศีรษะ

สำนักพุทธ…ตกปลาหรือ?!

สวี่ชีอันไม่ได้ตระหนกตกใจกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ หลังจากประหลาดใจไปครู่หนึ่ง เขาก็ดึงสติได้ทันที เขาหันหน้ากระจกหนังสือปฐพีกลับแล้วดึงด้านหลังของกระจกออก

วัตถุสีทองอร่ามหล่นลงมาจากหนังสือปฐพี…เจดีย์พุทธะ!

ตอนนี้เจดีย์พุทธะคือที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา แม้ว่าพลังการโจมตีจะปานกลาง แต่ในฐานะที่เป็นของวิเศษของพระโพธิสัตว์ มันจึงมีความแข็งแกร่งและมีการป้องกันที่ทรงพลังมากพอ

แค่เข้าไปอยู่ในเจดีย์และขับเคลื่อนให้มันหนีไป แม้จะเป็นระดับเพชรก็ยังตามไม่ทัน ถึงตามทัน ก็เข้ามาไม่ได้อยู่ดี

ระหว่างที่เจดีย์พุทธะตกลงมา สวี่ชีอันก็ยื่นมือออกไปคว้าไว้และสื่อสารกับวิญญาณของเจดีย์อยู่ในใจ….

แต่ครู่ต่อมา มือใหญ่คล้ายพัดใบกลมข้างหนึ่งก็เอื้อมมายื้อเจดีย์พุทธะเอาไว้

สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้น เห็นชายร่างยักษ์สวมจีวรสีเหลืองแดงยืนอยู่ตรงหน้าเขา ที่คอแขวนประคำเม็ดใหญ่ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และมีวงแหวนไฟอยู่หลังศีรษะ

เขาไม่มีผม ไม่มีหนวด และไม่มีคิ้ว ทั้งศีรษะล้านโล่ง ผิวเป็นสีทองราวกับรูปสลักที่มีชีวิต

“อามิตตาพุทธ อาตมามาเชิญพุทธบุตรเข้าสู่สำนักพุทธ”

สายตาของเทพอารักษ์ตู้หนานเต็มไปด้วยการคุกคาม

‘พลั่ก!’

สวี่ชีอันตอบสนองไม่ทัน ท้องน้อยถูกเตะเข้าไปทีหนึ่ง พลังมหาศาลน่าสะพรึงทำให้เขากระเด็นลอยไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ และไม่สามารถยึดจับเจดีย์พุทธะไว้ได้เช่นกัน

เขากระแทกเข้ากับร้านค้าที่อยู่ข้างทาง กระแทกเข้ากับผนัง กระแทกเข้ากับคานและเสา จนทำให้ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนหวีดร้องและลนลานหนีกันจ้าละหวั่น

‘หวึ่ง’…

ฝ่ามือของเทพอารักษ์ตู้หนานรู้สึกชา เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือนและปฏิเสธการจับของเขา

แม้ว่าจะเป็นคนในสำนักพุทธเหมือนกัน แต่เจดีย์พุทธะก็จดจำเพียงเจ้านายเท่านั้น เขาไม่อาจควบคุมมันได้ และไม่ว่าเขาจะเตรียมการมาดีเท่าใดก็ยังหาอาวุธเวทมนตร์ที่จะสามารถผนึกและกดข่มเจดีย์พุทธะไม่ได้

เจดีย์หลังนี้คืออาวุธเวทมนตร์ที่อยู่บนชั้นยอดสุดแล้ว

เทพอารักษ์ตู้หนานเลือกตัดสินใจอย่างถูกต้องที่สุดทันที เขาบิดเอวและเหวี่ยงแขน ก่อนจะขว้างเจดีย์พุทธะออกไปไกลอย่างสุดกำลัง

เจดีย์พุทธะกลายเป็นเงาดำๆ แล้วหายไปกับเส้นขอบฟ้า

ในร้านค้าที่พังยับ สวี่ชีอันมองซ้ายมองขวา เห็นเจ้าของร้านยืนนิ่งงันอยู่หลังโต๊ะคิดเงินโดยไม่ขยับเขยื้อน ราวกับตะลึงจนโง่งมไปแล้ว ทั้งยังเห็นพนักงานคิดเงินที่กุมหัวอยู่บนพื้นและถูกตู้ทับลงมาจนได้รับบาดเจ็บ

โชคดีที่ไม่มีใครล้มตาย

เทพอารักษ์ตู้หนานใช้ผู้ครองปราณมังกรมาล่อข้าหรือ? เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ใกล้ๆ เมื่อกี้ประตูแสงนั่นคืออะไรกัน วิชาหายตัวไม่ใช่มีแต่โหรที่ทำได้หรืออย่างไร…

ความคิดมากมายแว็บเข้ามา เขาไม่มัวรีรอ ร่างกายหายวับไปทันใด เขาใช้วิชาของอั้นกู่กระโดดไปยังถนนที่อยู่ห่างไปอีกยี่สิบจั้ง

เงาร่างของเขาโผล่ออกมาจากเงามืด ขณะที่เพิ่งจะมองสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้ชัด พลังปราณอันแข็งแกร่งก็ไล่ตามมา เงาร่างของระดับเพชรสูงเก้าฉื่อก่อตัวขึ้นด้านหลัง

จากนั้นมือที่ถูกกำเป็นหมัดก็ต่อยลงมาทันใด

สวี่ชีอันราวกับคาดเดาได้ล่วงหน้า เขาเอียงศีรษะหลบ ร่างกายอาบย้อมไปด้วยเงา เขากำลังจะเข้าสู่เงามืดและหลบหนีอีกครั้ง

‘ผลัวะ!’ เทพอารักษ์ตู้หนานทุบหมัดลงบนศีรษะของเขา หยุดยั้งไม่ให้หนีข้ามเงา

สวี่ชีอันที่เดิมควรตัวปลิวเพราะหมัดนี้ ร่างกายที่เพิ่งจะกระเด็นปลิวขึ้นมา กลับถูกเทพอารักษ์ตู้หนานใช้มือตบจนตกลงมาบนพื้นอีกครั้ง จากนั้นก็ตามมาด้วยพายุหมัดอันบ้าคลั่ง

‘ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!’

หมัดสีทองอร่ามต่อยลงมาบนร่างอย่างไม่หยุดยั้งจนอากาศกระทบกันเป็นชั้นๆ บนถนนก็ราวกับมีพายุพัดขึ้นมา

สวี่ชีอันพยายามปัดป้องสุดกำลัง เขามีความสามารถในการสลายกำลังจึงไม่กลัวการต่อสู้ระยะประชิด แต่เทพอารักษ์ตู้หนานก็มีความสามารถแบบเดียวกัน และทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันในด้านพละกำลังด้วย

สวี่ชีอันจึงตกอยู่สถานการณ์ ‘คลื่นลูกเดียว’ อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง เขาทำได้เพียงรอให้หมัดรัวชุดนี้จบลงไปเอง

สิ่งที่แตกต่างจากสายการฝึกตนอื่นๆ ก็คือ ร่างวิญญาณของเขาก็อยู่ขั้นสาม ทำให้เทพอารักษ์ตู้หนานไม่อาจต่อยเขาจนตายได้ในระยะเวลาสั้นๆ

กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งนัก แข็งแกร่งกว่าข้าตอนอยู่จุดสูงสุดเสียอีก…ระดับเพชรขั้นสามของสำนักพุทธมีร่างวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสามด้วย แต่ราวกับไม่มี ‘จิต’

สวี่ชีอันไม่ปล่อยให้โจมตีฝ่ายเดียว เขาพยายามใช้วิชาของเจ็ดยอดกู่มาโต้กลับแล้ว

หลังจากลองใช้ฉิงกู่และตู๋กู่ เขาก็พบว่าพวกมันไร้ผล

เจตจำนงนั้นมั่นคงมาก มันเป็นกลิ่นอายที่ไม่อาจตกสู่ฉิงกู่และหลงรักข้าหัวปักหัวปำ…ตู๋กู่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีร่องรอยการถูกพิษเลยแม้แต่นิด…จะต้องหลุดไปให้ได้ จากนั้นถึงจะหนีพ้น ไม่อย่างนั้นช้าเร็วก็ต้องถูกตีจนพลังเทพวชิระแตกซ่านแน่…สวี่ชีอันไขว้แขนป้องกันหมัดของอีกฝ่ายและอดทนต่อความเจ็บปวด

แต่จู่ๆ เขากลับร้องลั่นขึ้นมา

ทันใดนั้น เสียงเห่าหอนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแมวร้อง บนถนนปรากฏสุนัขจำนวนมาก มีหนูอยู่รวมกันเป็นฝูง และในซอกหินของบ้านแต่ละหลังก็มีงูตัวสีน้ำตาลหลายตัวเลื้อยออกมา

เขาใช้พลังของซินกู่เรียกสัตว์ที่อยู่ใกล้ออกมาทั้งหมด

พวกมันพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง สุนัขพยายามจะกัดทึ้งเทพอารักษ์ตู้หนาน แมวกระโดดจับใบหน้าของเขาและปิดการมองเห็นเอาไว้ งูและหนูตามมาติดๆ

นอกจากนั้นยังมีรถม้าสองคันพุ่งมาจากถนน ดวงตาของม้าแดงก่ำแล้วพุ่งเข้าใส่เทพอารักษ์ตู้หนานอย่างไม่สนสิ่งใด

เทพอารักษ์ตู้หนานจับตัวสวี่ชีอันแล้วกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง พื้นถนนแตกละเอียดทันใด ขณะเดียวกัน วงแหวนไฟด้านหลังศีรษะของเขาก็ขยายออกมา

พลังปราณร้อนระอุสาดส่องไปทั่วทุกที่

‘พลั่ก พลั่ก พลั่ก!’

แมว หมา งู หนูระเบิดตามๆ กัน แล้วกลายเป็นเศษเลือดอาบย้อมถนนจนเป็นสีแดงฉาน

ในที่สุดสวี่ชีอันก็ฉวยโอกาสนี้ขัดจังหวะของเทพอารักษ์ตู้หนานและได้รับโอกาสให้หายใจหายคอ เขาไม่ได้ใช้การกระโดดข้ามเงา เพราะอาจจะถูกขัดกลางคันตรงๆ อีกได้

เขากลิ้งไปบนพื้นจากนั้นก็กระโดดขึ้นมา ตอนนี้เอง ในมือของเขาก็มีดาบเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเล่ม

ดาบไท่ผิง!

นิ้วหัวแม่โป้งดีดขึ้น เสียงชิ้งดังออกมาจากในฝัก ประกายดาบสีทองอร่ามสาดส่อง

ประกายไฟบาดตาระเบิดขึ้นที่หน้าอกของเทพอารักษ์ตู้หนาน พลังมหาศาลผลักดันจนเขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ทรวงอกของสวี่ชีอันอาบย้อมด้วยรอยเลือด

ดาบเล่มนี้ไม่อาจฟันร่างวิญญาณของระดับเพชรตู้หนานได้ กลับกัน มันสามารถฟันพลังเทพวชิระที่กำลังจะแตกสลายของตนได้

แต่เป้าหมายของเขาก็สำเร็จ

ตอนนี้เอง เขาจึงกลายเป็นเงามืดแล้วหายไปกับพื้น

“ฮึ่ม!”

เทพอารักษ์ตู้หนานแค่นเสียงแล้วหายวับไปเช่นกัน จิตเดิมของระดับเพชรขั้นสามมีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวาง เงาของสวี่ชีอันที่กระโดดไปไม่อาจหลุดรอดจากการเพ่งเล็งของเขาได้

ขณะที่กำลังไล่ล่ากันอยู่นั้น ทั้งคู่ก็เริ่มออกห่างจากเขตเมือง สนามรบเริ่มกลายเป็นนอกเมืองแทน

เป้าหมายของสวี่ชีอันชัดเจนมาก นั่นคือทิศทางที่เจดีย์พุทธะหายไป

ไล่ล่ากันอยู่เกือบหนึ่งเค่อ ทั้งคู่ก็ออกมาจากเมืองยงโจว นอกเมืองไม่มีสิ่งก่อสร้าง ทำให้ทัศนียภาพการมองกว้างขวาง สวี่ชีอันได้แต่ต้องกระโดดข้ามเงาต้นไม้ ซึ่งไม่ดีต่อการกระโดดหนีเอาเสียเลย

ในสถานการณ์แบบนี้ วิธีที่ดีที่สุดในการต่อกรกับศัตรูที่ไล่โจมตีก็คือห้ามหนีเป็นเส้นตรง เขาจะต้องอาศัยการกระโดดข้ามเงาเปลี่ยนทิศทางไม่หยุดเพื่อทำลายจังหวะการไล่ล่าของศัตรู และบีบให้ต้องรับมือกับการหมุนวนและลดเลี้ยวอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นจะทำให้ความเร็วของศัตรูลดลง

แต่การเผชิญหน้ากับระดับเพชรขั้นสามที่มีพลังสลายแรงอยู่นั้น ไม่ต้องสนใจแรงเฉื่อยและสามารถตบหน้าหลักกลศาสตร์ได้เลย เพราะไม่ว่าจะเป็นการลดเลี้ยวหรือเดินเป็นเส้นตรง ก็ล้วนไม่ได้แตกต่างกันสักนิด

เทพอารักษ์ตู้หนานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และในที่สุดสวี่ชีอันก็มองเห็นเจดีย์พุทธะ มันกลับคืนสู่ร่างเดิมและกลายเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่มหึมาตั้งอยู่บนคันนา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง