บทที่ 561 สนามอสูร
ทรวดทรงอรชร เยื้องย่างละมุนละไม…
งดงามบริสุทธิ์ อยากปฏิเสธต้องหยุดพลัน…
เสน่ห์ชวนหลงใหล งามล้นสุดพรรณนา…
งามพริ้งเพริศเต็มวัย กิริยาเย้ายวน
นางนั่งเย็นชาอยู่อย่างนั้น แต่ในสมองของหลี่หลิงซู่ กลับปรากฎความคิดมากมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผู้หญิงคนนี้เหมือนรวมความงามทั้งหมดในโลกไว้ในตัว สามารถสนองความต้องการอย่างลึกซึ้งในใจของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงได้ ไม่ว่าเจ้าจะชอบแบบไหน ล้วนสามารถหาแบบที่ตัวเองชอบนั้นได้ในตัวนาง หรืออาจจะหลายแบบ
ในพริบตาที่เห็นนาง หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าทำไมตัวเองต้องไปตามหาบุพเพสันนิวาสท่ามกลางสรรพสิ่งที่มีชีวิตให้ลำบาก
‘ในโลกนี้มีหญิงสาวที่น่าหลงใหลเช่นนี้จริงๆ ด้วย…’
จิตใจของเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ว้าวุ่น ลุ่มหลงความงามของนารีจนถอนตัวไม่ขึ้น เขาไม่ได้ใช้คำว่า ‘โฉมงาม’ มาพรรณนา แต่ใช้คำว่า ‘น่าหลงใหล’ มาแสดงความคิด เพราะผู้หญิงที่มีโฉมงามในโลกนี้มีอยู่มากมาย นิกายสวรรค์เองก็มีผู้หญิงงามเฉิดฉายอยู่มากมาย เทพธิดาปิงอี๋อาจารย์ของหลี่เมี่ยวเจินก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกนางสวยก็จริง แต่ในสายตาของหลี่หลิงซู่ ล้วนไม่น่าหลงใหลเท่าหญิงที่สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าคนนี้
“เข้ามาสิ!”
สวี่ชีอันส่งเสียงพอดี ทำให้หลี่หลิงซู่ที่กำลังจมอยู่กับความงามกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
สำหรับท่าทางเสียมารยาทของหลี่หลิงซู่ สวี่ชีอันไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ครั้งแรกที่เขาเห็นลั่วอวี้เหิง ท่าทางก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ พูดจริงๆ ก็ดีกว่าหลี่หลิงซู่เล็กน้อย เห็นได้ว่าตบะของราชครูพัฒนาขึ้น ไฟแห่งกรรมของราชครูใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว
ใช่แล้ว ครั้งนี้นางมาหาข้าเพื่อบำเพ็ญคู่ ก็เพราะไฟแห่งกรรมถึงจุดวิกฤตแล้ว…
สวี่ชีอันคิดในใจ หลังจากนั้นก็เห็นหลี่หลิงซู่นั่งลงข้างๆ เขา และมองลั่วอวี้เหิงอย่างหลงใหล
เทพบุตรกระแอม แนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความหมายอันลึกซึ้ง
“สหายเต๋า ข้าน้อยหลี่หลิงซู่ เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ ดูจากการแต่งกายของสหายเต๋า ดูเหมือนจะเป็นคนของลัทธิเต๋าเช่นกัน? ไม่ทราบว่าเป็นคนนิกายใด?”
ในจิ่วโจว นอกจากทั้งสามนิกายแล้ว ยังมีนิกายอื่นๆ ของลัทธิเต๋าอยู่อีก
ในสมัยโบราณ มีนิกายที่ไม่ด้อยไปกว่า หรือกระทั่งเหนือกว่าทั้งสามนิกายอยู่มากมาย แต่จากการซัดเซาะของสายน้ำแห่งกาลเวลา นิกายเหล่านี้บางนิกายก็อ่อนแอ บางนิกายก็สูญสิ้นไป เวลานี้นิกายที่ควบคุมลัทธิเต๋าอยู่ก็คือนิกาย ‘สวรรค์ ปฐพี และมนุษย์’ สามนิกาย ที่เหลือล้วนเป็นนิกายขนาดเล็ก
ในความคิดของหลี่หลิงซู่ สถานะเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ของตัวเอง จะต้องทำให้หญิงสาวร่วมสำนักคนนี้จะต้องมองด้วยความสนใจอย่างแน่นอน
จริงดั่งคาด ผู้หญิงที่ดูอายุไม่ออกคนนี้ เหลือบตาขึ้นมองสำรวจเขาอย่างละเอียด
หลี่หลิงซู่ยิ้มด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง รินน้ำชาร้อนๆ ให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง จากนั้น เขาก็ได้ยินผู้อาวุโสสวีเชียนแนะนำว่า
“ท่านนี้คือลั่วอวี้เหิงแห่งนิกายมนุษย์ ราชครูแห่งต้าฟ่ง”
มือของหลี่หลิงซู่สั่น น้ำช้าร้อนๆ หกลงบนโต๊ะ ความรู้สึกหลงตัวเองหยุดชะงักทันที ร่างกายแข็งทื่อในทันใด แข็งกว่าตอนอยู่ที่ประตูเมื่อครู่เสียอีก
“ผู้ผู้ผู้…อาวุโส อย่าล้อเล่น”
ลิ้นของหลี่หลิงซู่พันกัน พูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์ไม่ได้
เขาสงสัยว่าสวีเชียนกำลังล้อเขาเล่น จึงตั้งใจสัมผัสกลิ่นอายของผู้หญิงตรงหน้าอย่างจริงจัง จิตเดิมธรรมดาๆ ลักษณะธรรมดา ไม่มีความรู้สึกกดดันเหมือนตอนเผชิญหน้ากับอาจารย์
สวี่ชีอันแสดงสีหน้าแบบ ‘ข้าจำเป็นต้องโกหกรึ’ มองเขาอย่างเงียบๆ
หรือ หรือว่าจะเป็นความจริง…สวีเชียนเป็นคนเมืองหลวง มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับสำนักโหราจารย์ อย่างน้อยก็ขั้นสาม สถานะเช่นนี้ รู้จักผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ก็ ก็สมเหตุสมผลดี…
หลี่หลิงซู่กลืนน้ำลายลงคอ มองลั่วอวี้เหิงอย่างระมัดระวังด้วยดวงตาที่ต้องการหาข้อพิสูจน์
“เรื่องของเจ้าข้าได้ฟังจากที่เขาเล่าแล้ว เดิมทีเจ้าควรเป็นคนออกหน้า ทำการช่วงชิงระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์กับฉู่หยวนเจิ่น”
ลั่วอวี้เหิงดื่มชาอึกหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “น่าเสียดาย ละเลยมาเป็นเวลาครึ่งปี ตบะหลี่เมี่ยวเจินแซงหน้าไปแล้ว” ขณะที่พูด นางค่อยๆ วางถ้วยชาลง
ตุบ…หลังเสียงวางถ้วยน้ำชา หลี่หลิงซู่เห็นแสงดาบสว่างวาบ เขาหลับตาตามสัญชาตญาณ ดวงตาของเขาร้อนผ่าว น้ำตาของเขาก็ร่วงริน
ดาบนี้ เป็น เป็นลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์จริงๆ ด้วย…ข่าวลือของอาจารย์ถูกต้อง ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์เป็นหญิงงามที่มีอยู่น้อยมาก เป็นผู้หญิงที่น่าหลงใหลที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ…หลี่หลิงซู่รีบลุกขึ้น แสดงการคารวะแบบเต๋าด้วยความตื่นเต้นและระวังตัว พูดเสียงดังว่า
“ศิษย์หลี่หลิงซู่คารวะท่านผู้นำเต๋า”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเบาๆ “นิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์แม้จะเป็นเหมือนน้ำกับไฟ แต่นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องพิธีรีตองมากเกินไป”
เช่นนี้หลี่หลิงซู่จึงผ่อนคลายลงมาก แต่ไม่กล้านั่งลง จึงยืนข้างๆ อย่างว่านอนสอนง่าย ท่าทางอยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
“ท่านราชครูได้โปรดช่วยเปิดผนึกให้เขาด้วย” สวี่ชีอันพูด
ในใจหลี่หลิงซู่รู้สึกดีใจแทบเป็นบ้า อดมองสวีเชียนไม่ได้ ถึงแม้ตาเฒ่าคนนี้จะมีนิสัยแปลกประหลาด เย่อหยิ่ง แต่ก็ดีกับข้ามาก
ลั่วอวี้เหิงงอนิ้ว ดีดปราณกระบี่ออกไป เข้าไปสู่หว่างคิ้วของหลี่หลิงซู่ทันที
เวลาต่อมา หูของหลี่หลิงซู่ก็ได้ยินเสียงความว่างเปล่า เครื่องจองจำแตกละเอียด
สิ่งที่ตามมาหลังจากเสียงนี้ พลังที่กดดันรวมปราณถูกบดขยี้ พลังที่ไม่พบกันเป็นเวลานานกลับคืนมาอีกครั้ง ในก้นบึ้งของหัวใจของหลี่หลิงซู่เกิดความรู้สึกต้องยืนหยัดมองโลกในแง่ดี
ความคิดแรกของเขาก็คือ ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากความทรมานจากภาวะพลังไตอ่อนแอเสียที รวมปราณขั้นสี่ ถึงแม้ร่างกายจะเปลี่ยนแปรสู้ทหารไม่ได้ แต่ย่อมต้องมีวิธีบำรุงร่างกาย ชะล้างคราบสกปรก แบบนี้จึงจะสามารถบรรเทาความกดดัน ฝึกลมหายใจใหม่
ความคิดที่สองก็คือ ข้าติดตามคนถูกแล้ว หากไม่ใช่เพราะติดตามสวีเชียน บางทีอาจจะถูกสองพี่น้องตงฟางตามตัวพบนานแล้ว การเปิดผนึกนั้นคงอีกนานแสนนาน
นี่เป็นโชคของข้า หากหลี่เมี่ยวเจินรู้ว่าข้ามีผู้อาวุโสที่อยู่ในขั้นที่ไม่ธรรมดาพาท่องยุทธภพ จะต้องอิจฉาข้าจนอยากจะร้องไห้…ขณะที่หลี่หลิงซู่กำลังคิดฝันไปต่างๆ นานา จู่ๆ ก็ได้ยินลั่วอวี้เหิงพูดว่า
“ก่อนมาที่นี่ ข้าไปที่สำนักโหราจารย์มาแล้ว ท่านโหราจารย์บอกว่าฤดูหนาวปีนี้จะหนาวมาก มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสูง”
มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสูง…ท่านโหราจารย์หมายความว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสวี่ผิงเฟิงจะฉวยโอกาสก่อการกบฏในฤดูหนาวปีนี้ แต่เขายังรวบรวมปราณมังกรไม่ครบนี่นา!
แย่แล้ว! หน้าเขาถอดสีทันที พบว่าตัวเองละเลยไปเรื่องหนึ่ง
ตอนอยู่เมืองหลวง สองพ่อลูกแบไต๋ต่อสู้กัน สวี่ชีอันเอาชนะได้อย่างหวุดหวิด คนชั่วล้มเหลวในการทวงคืนโชคชะตา ดังนั้นในความคิดของสวี่ชีอัน หากคนชั่วต้องการก่อการกบฏ และไม่ต้องการทวงคืนโชคชะตา ก็คงต้องการรวบรวมปราณมังกร แต่นี่เป็นการคิดไม่รอบด้าน
สวี่ผิงเฟิงจะก่อการกบฏเพื่อประคับประคองชีพจรห้าร้อยปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นปราณมังกรก็ดี ชะตาบ้านเมืองก็ดี ล้วนเป็นการเสริมสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีก ขอเพียงต้าฟ่งแย่ลงมากพอ โอกาสในการก่อกบฏสำเร็จก็เพิ่มมากขึ้น
ในยุทธการด่านซานไห่ เขาขโมยชะตาบ้านเมืองของต้าฟ่งไป ในเหตุการณ์สังหารจักรพรรดิหยวนจิ่ง เขาทำลายปราณมังกรสำเร็จ ต้าฟ่งอ่อนแอลงด้วยเหตุนี้ เกิดศึกทั้งภายนอกภายในขึ้นบ่อยครั้ง ความจริงสวี่ผิงเฟิงบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว สมกับเป็นโหรหลอมปราณ สมกับเป็นศิษย์คนโตของท่านโหราจารย์ ครั้งนี้สวี่ผิงเฟิงอยู่ชั้นห้า…สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว พูดว่า
“รู้แล้ว ข้าจะรีบรวบรวมปราณมังกร”
ปราณมังกรอีกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสวีเชียนและท่านโหราจารย์ไม่ธรรมดาเลย…หลี่หลิงซู่เหมือนเด็กที่กำลังตั้งใจเรียน หูผึ่ง
“หลังจากครั้งนี้ ท่านราชครูสามารถก้าวสู่ขั้นหนึ่งอย่างราบรื่นหรือไม่?”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็ถามปัญหาที่อยากรู้มานาน
‘อะไรนะ?!’
หลี่หลิงซู่แทบจะไม่สามารถควบคุมกิริยาของตัวเองได้เลย ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์จะบรรลุขั้นหนึ่ง? ‘เหลวไหลสิ้นดี…’ เขาอยากจะโพล่งออกมา เท่าที่เทพบุตรรู้ นิกายมนุษย์ไม่เคยมีผู้นำเต๋าขั้นหนึ่งมาก่อน อย่างน้อย ตั้งแต่มีการบันทึกประวัติศาสตร์เป็นต้นมา ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เลื่อนสู่ขั้นหนึ่งไม่ง่ายขนาดนั้น” ลั่วอวี้เหิงพึมพำ “อย่างสั้นก็สามเดือน อย่างยาวก็ครึ่งปี ข้าจึงจะข้ามชะตากรรมได้”
ไฟแห่งกรรมเผาร่างเดือนละครั้ง อย่างสั้นก็ต้องสามเดือน อย่างยาวครึ่งปี ก็คือหกครั้ง…สวี่ชีอันอยากจะเบะปากตามสัญชาตญาณ
“หวังว่าก่อนการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ ท่านจะสามารถช่วยจินเหลียนแก้ไขความคิดที่ชั่วร้ายเลวทราม เขาเป็นตัวการสำคัญที่ผลักดันให้เจินเต๋อเลวลง พลังแผ่นดินของต้าฟ่งเสื่อมสลาย คดีสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือ รวมทั้งเว่ยเยวียนที่ตายในสงคราม ล้วนมีสาเหตุจากเขาไม่มากก็น้อย” สวี่ชีอันพูดเสียงเคร่งขรึม
ลั่วอวี้เหิงมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “หรือหลังการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ก็ได้”
นี่กำลังโกรธที่ข้าไม่มั่นใจในตัวนางหรือ?…สวี่ชีอันพูดยิ้มๆ ว่า “หวังว่าเมื่อถึงเวลา ข้าจะสามารถฟื้นคืนตบะ ความจริงแล้ว ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมนิกายสวรรค์ถึงไม่ทำการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ เทพสวรรค์หรือก็สูญหายไปอย่างประหลาด” พูดจบเขาก็มองราชครู รอคำตอบจากหญิงงาม
“เรื่องนี้มีเพียงเทพสวรรค์เท่านั้นที่รู้” ลั่วอวี้เหิงตอบ
“ถ้าผู้นำเต๋านิกายมนุษย์พ่ายแพ้ต่อเทพสวรรค์ เหตุใดจึงยังมีความหวังจะบรรลุขั้นหนึ่ง? สวี่ชีอันถามอีก
“ฉกฉวยโชคชะตา” ลั่วอวี้เหิงตอบ
จากนั้น นางพูดเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “แต่ก็แค่มีความหวัง ความจริงแล้ว หากไม่สามารถพึ่งพาจักรพรรดิ กลืนและคายพลังแผ่นดิน นิกายมนุษย์คิดจะอาศัยรบชนะนิกายสวรรค์เลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง ความเป็นไปได้นั้นมีไม่มาก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง