ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 563

สรุปบท บทที่ 563 อารมณ์ทั้งเจ็ด: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 563 อารมณ์ทั้งเจ็ด – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 563 อารมณ์ทั้งเจ็ด ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 563 อารมณ์ทั้งเจ็ด

สวี่ชีอันผลักประตูห้องนอนออก กลางอากาศตลบอบอวลไปด้วยควันไม้จันทน์ที่ดูงดงามและเงียบวิเวก ภายในห้องมืดมิดไปหมด ไม่ได้จุดเทียนไว้

เขาอาศัยแสงตะเกียงรางๆ ที่เล็ดลอดจากนอกห้องเดินมาถึงขอบโต๊ะ และฟั่นไส้ตะเกียงจนสว่าง

จากนั้นค่อยจุดเทียนสองแถวตรงขอบเตียงทีละเล่ม เปลวไฟแต่ละกลุ่มคุโชนสว่างไสว ไส้เปลวไฟนิ่งสงบ หัวเปลวไฟโบกสะบัดขับไล่ความมืดมิดภายในห้อง

ขณะนี้เขาถึงมีเวลาไปสังเกตลั่วอวี้เหิง นางสวมชุดนักบวชเต๋านอนตะแคงอยู่บนผ้าดิ้นอ่อนนุ่ม ภายใต้เสื้อผ้ามีทรวดทรงน่าประทับใจของหญิงสาวโตเต็มวัย

สายตาของสวี่ชีอันมองจากล่างขึ้นบน สิ่งแรกที่เห็นคือเรียวขาขาวผ่องคู่หนึ่งยื่นออกจากกระโปรงผ้าแพรบาง รูปเท้างดงามอวบอิ่ม นิ้วเท้าประณีตงดงาม เรียวเล็กละเอียดอ่อน ดุจดังเครื่องหยกชั้นยอดในโลกมนุษย์

ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเอามือกุมเล่น

ถัดมาเป็นเส้นโค้งส่วนขา ตลอดทางขึ้นไปยังจุดสูงสุดด้านข้างสะโพก เอวคอดเล็กลงไปฉับพลัน…ทรวดทรงองค์เอวมีเสน่ห์น่าสนใจยิ่งนัก โค้งเว้านิ่มนวล

สวี่ชีอันทอดถอนใจ กวาดสายตามองผ่านลำคอยาวระหงสีขาว และหยุดลงที่ใบหน้ารูปไข่งดงดงามราวบุปผาหยกของลั่วอวี้เหิง

ดูเหมือนนางจะร้อนเล็กน้อย แก้มแดงเป็นเลือดฝาด เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดออกมา ดูชุ่มชื้นวาววับภายใต้แสงเทียน

ผมสีดำของนางสยายอยู่บนหมอนนุ่มนิ่ม มีความงดงามในแบบที่ไม่เกรงใจใคร

“ท่านราชครู?”

สวี่ชีอันนั่งลงบนขอบเตียง และกระซิบเบาๆ

หน้าผากงดงามของลั่วอวี้เหิงกระตุกเล็กน้อย นางออกคำสั่งหนึ่งประโยคราวกับกระซิบเบาๆ “สระน้ำ พาข้าไปที่สระน้ำ…”

สระน้ำ? หมายถึงสระน้ำพุร้อนหรือ เขาคาดเดาความหมายของลั่วอวี้เหิง จากก็ได้ยินนางพูดเบาๆ อีกครั้ง

“สระน้ำสามารถสลายไฟแห่งกรรมของข้าได้…”

สวี่ชีอันฟังเข้าใจขึ้นเล็กน้อย ปกตินางจะอาศัยสระน้ำบางแห่งสลายไฟแห่งกรรมนี่เอง

“ซี๊ด ร้อนจัง นี่ถูกเผาจนเลอะเลือนแล้วหรือ”

เขายื่นมือไปแตะหน้าผากลั่วอวี้เหิง ร้อนผ่าวไปทั้งแถบ ราวกับว่ามีไฟร้อนแรงเผาไหม้อยู่ในร่างของนาง เผาจนกล้ามเนื้อและผิวขาวนวลกลายเป็นสีแดงอ่อน

“ท่านราชครู ท่านราชครู”

สวี่ชีอันเรียกไปสองที สติสัมปชัญญะของลั่วอวี้เหิงยังคงไม่ชัดเจน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเรียกของเขาเลยแม้แต่น้อย

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชีอันลำบากใจ ที่จริงการช่วยให้ไฟแห่งกรรมของลั่วอวี้เหิงสงบนั้นง่ายมาก แค่อาศัยเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ของวังสุสานใต้ดิน ใช้โชคชะตาแทนที่พลังปราณ เคลื่อนโคจรภายในร่างของทั้งสองก็สามารถดับไฟแห่งกรรมในร่างนางได้

แต่ถึงอย่างไรการบำเพ็ญคู่ก็เป็นเรื่องของคนสองคน ลำพังแค่คนเดียวสำเร็จได้ยาก

เอิ่ม แม้ว่าภาพบำเพ็ญคู่ส่วนมากที่ข้าเห็นในวังสุสานใต้ดิน จำเป็นต้องร่วมมือกันบำเพ็ญ แต่จริงๆ แล้วอยู่ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นหลักน้าวนำ…นึกถึงจุดนี้สวี่ชีอันก็ไม่ลังเลอีก มือข้างหนึ่งกดอยู่บนไหล่ของลั่วอวี้เหิง

สังเกตเห็นชัดเจนว่าร่างอรชรของลั่วอวี้เหิงแข็งขึ้นมา เขาเหลือบมองเห็นกำปั้นงดงามค่อยๆ กำแน่น

แสร้งนี่นา อย่างน้อยก็เสแสร้งครึ่งหนึ่ง สวี่ชีอันตะลึงงัน จู่ๆ ก็เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย นางตั้งใจรอถึงตอนนี้ก็เพื่อให้ไฟแห่งกรรมรุมเร้าจิตใจ เหลือไว้เพียงเศษเสี้ยวสติสัมปชัญญะเท่านั้น

เช่นนี้นางก็เป็นฝ่าย ‘ถูกกระทำ’ จนบำเพ็ญคู่สำเร็จ แต่ไม่ใช่เป็นฝ่ายรุกหาความสุขก่อน

แผนเยอะจริงๆ…สวี่ชีอันซุบซิบในใจ เขารู้ว่านี่คือความสำรวมและความเย่อหยิ่งสุดท้ายของลั่วอวี้เหิงในฐานะผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์

เขาหันไปเป่าเทียนให้ดับลง สลัดรองเท้าออก ขณะที่กำลังจะขึ้นเตียง มือเล็กๆ คู่หนึ่งก็ยันหน้าอกไว้ ตามด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ของลั่วอวี้เหิง

“ไม่เอา…”

น้ำเสียงนี้ซับซ้อนเช่นนี้ ระคนไปด้วยความขี้ขลาด กังวล อยากจะปฏิเสธเพราะไม่ยินยอม และฟังดูวิงวอนเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าลั่วอวี้เหิงลืมตาตั้งแต่เมื่อใด นางสบตากับเขาในความมืดมิด

ต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วก็เงียบกริบไม่พูดเป็นเวลานาน จนสวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่”

ลั่วอวี้เหิงจ้องมองเขาอย่างเงียบกริบเป็นเวลานาน มือที่ยันอยู่บนหน้าอกเขาอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง

สวี่ชีอันพอจะเข้าใจความคิดของนาง ความขี้ขลาดและความกังวลนี้ เกรงว่าจะมีแค่ตอนที่ไฟแห่งกรรมรุมเร้าจิตใจ ถึงจะแสดงด้านที่อ่อนแอที่สุดออกมาได้ ช่วงเวลาปกติไม่เป็นเช่นนี้เด็ดขาด

ที่อยากปฏิเสธเพราะไม่ยินยอมแต่ก็ยังต้อนรับเช่นนี้ ก็เพราะลั่วอวี้เหิงมีความประทับใจต่อเขา ยอมรับเขา แม้กระทั่งยังพัฒนาไปทางคู่บำเพ็ญด้วย

แต่ถึงอย่างไรทั้งสองก็ไม่ได้บรรลุถึงขั้นเงื่อนไขสุกงอม บำเพ็ญคู่ในครั้งนี้ถูกสถานการณ์บังคับ ด้านหนึ่งปฏิเสธอีกด้านหนึ่งก็ยินยอม

ด้วยเหตุนี้ ตอนที่ลูกศรอยู่บนเชือกธนู นางย่อมต่อต้านตามสัญชาตญาณ

สวี่ชีอันจับมุมผ้าห่มและออกแรงสะบัด ‘พรึ่บ’ ผ้าห่มสำลีแผ่ปิดคลุมทุกสิ่งไว้

ต่อมา พลันเกิดการดิ้นรนอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องชั่วขณะหนึ่งแล้วก็หยุดลง จากนั้นเข็มขัดเส้นหนึ่งก็ถูกโยนออกจากรอยแยกของผ้าห่มสำลี

หลังจากเข็มขัดถูกโยนออกมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในผ้าห่ม เริ่มเกิดการดิ้นรนอย่างรุนแรงอีกครั้ง จากนั้นก็สงบลง กางเกงผ้าไหมตัวหนึ่งถูกโยนออกมา

ไม่นาน พื้นข้างขอบเตียงก็กระจัดกระจายไปด้วยเสื้อผ้าและของใช้จำนวนมาก รวมถึงชุดชั้นในแนบกายของสตรีด้วย

ครึ่งชั่วยามต่อมา น้ำเสียงหมางเมินของลั่วอวี้เหิงดังขึ้นในความมืดมิด “อย่ามาชิดตัวข้า ไสหัวไป”

ท่านน้า นี่เจ้ากำลังให้อรรถาธิบายข้าว่าอะไร ก่อนเกิดเหตุบ้าคลั่งราวกับมาร หลังเกิดเหตุสูงส่งดังพุทธะหรือ สวี่ชีอันเลิกคิ้ว หน้าอกแบบชิดหลังเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่าย

ในที่สุดฉิงกู่ของเขาก็ได้รับความพึงพอใจอย่างมาก ฉกฉวยอารมณ์รักอย่างบ้าระห่ำ พลังปรารถนาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ บำเพ็ญคู่คือการเสริมซึ่งกันและกัน ลั่วอวี้เหิงอาศัยพลังของเขาสงบไฟแห่งกรรม สวี่ชีอันเองก็ได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ พลังปราณในจุดตันเถียนของเขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย

อย่างที่รู้ว่า หลังจากระดับสามแล้ว ฝึกลมหายใจมีผลในการเพิ่มพลังปราณน้อยมาก

หลังจากสวี่ชีอันก้าวเข้าสู่ระดับสามแล้ว ตบะก็ไม่ก้าวหน้าอีก ตอนนี้บำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิงทำให้เขามองเห็นความหวังในการก้าวหน้า

ไม่ว่าตะปูตอกวิญญาณจะจำกัดตบะของเขา แต่ภายหน้าต้องมีสักวันที่จะปลดมันออกได้

สวี่ชีอันกอดเอวเล็กของลั่วอวี้เหิงไว้ ดมกลิ่นหอมจรุงใจบนเส้นผมและกล่าวเสียงต่ำ

“บำเพ็ญต่อหรือไม่”

ลั่วอวี้เหิงวางมาดระดับสองและกล่าวเรียบๆ “ไปให้พ้น”

ยังจะบอกว่าพระมเหสีเย่อหยิ่งอีก เจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่านางหรอก…สวี่ชีอันเลิกคิ้ว พลันรู้สึกเย็นที่ไหนสักแห่ง ดรรชนีกระบี่ของลั่วอวี้เหิงชี้อยู่ที่นั่น

“นอน นอนเถอะ”

สวี่ชีอันหดตัวไปข้างหลังเงียบๆ ออกให้ห่างจากนาง

ทั้งสองไม่พูดคุยกันอีก และนอนหลับอย่างสงบ

เวลาผ่านไปราวๆ สองก้านธูป ร่างกายร้อนผ่าวแนบชิดเข้ามา ลั่วอวี้เหิงกล่าวเสียงต่ำ

“ไฟแห่งกรรมลุกไหม้อีกแล้ว…”

ไฟแห่งกรรมของนิกายมนุษย์ลึกเข้าไขกระดูก ไหนเลยจะรดดับได้ในครั้งสองครั้ง สวี่ชีอันได้เตรียมรับศึกไว้นานแล้ว

แต่เขากลับนิ่งเฉย ยังจำท่าทีเย่อหยิ่งของลั่วอวี้เหิงในเมื่อครู่ได้ จึงหัวเราะแหะๆ ก่อนกล่าว

ตายก็ยังจะรักศักดิ์ศรีอีก…สวี่ชีอันกล่าวในใจอย่างไม่มีทางเลี่ยง

“ท่านราชครู พวกเราเป็นคู่บำเพ็ญแล้ว”

ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “คู่บำเพ็ญของข้า มีข้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”

“…”

นางไม่ได้พูดถึงหัวข้อสนทนานี้อีก เกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ เหตุใดทุกครั้งที่ไฟแห่งกรรมเผากาย ข้าถึงไม่พบคนนอก จำเป็นต้องปลีกวิเวกเจ็ดวัน”

“เกรงกลัวถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งเข้าโจมตีในตอนที่อ่อนแอหรือ” สวี่ชีอันคาดเดา

นางส่ายหน้า “ในเวลานั้นไฟแห่งกรรมไม่ถึงกับเผาไหม้สติสัมปชัญญะ ข้าไม่ยินยอมใครก็บีบบังคับไม่ได้ สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ข้าปลีกวิเวกคือ อารมณ์ทั้งเจ็ด!”

“อารมณ์ทั้งเจ็ดหรือ” สวี่ชีอันถามกลับ

“ดีใจ โกรธ โศกเศร้า หวาดกลัว รัก เกลียด ปรารถนา”

ลั่วอวี้เหิงกล่าวอย่างเชื่องช้า “เวลาอีกเจ็ดวันต่อจากนี้ ข้าจะถูกอารมณ์ทั้งเจ็ดน้าวนำจนเปลี่ยนไปไม่เหมือนตนเอง แม้กระทั่งยั้งสติไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง”

ไฟแห่งกรรมของนิกายมนุษย์ แก่นแท้ก็คืออารมณ์ทั้งเจ็ดปรารถนาทั้งหก สวี่ชีอันพยักหน้าราวกับเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ

“รอฟ้าสางเจ้าก็จะรู้เอง แต่ก่อนถึงเวลานั้นข้าต้องทำข้อตกลงกับเจ้าก่อน” ลั่วอวี้เหิงทอดสายตามองออกไปไกลๆ และกล่าวเตือน

“ห้ามแพร่งพรายออกไป ภายในเจ็ดวันนี้ ต้องมาห้องข้าก่อนยามจื่อ”

รอจนสวี่ชีอันพยักหน้าตอบรับแล้ว นางก็ปิดหน้าต่าง ม้วนผ้าห่ม และผ่อนลมหายใจ

สวี่ชีอันไม่ง่วงเลย แต่กลับคลุมชุดคลุมเดินทางไปจากห้องนอนด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม

เขาลัดเลาะท่ามกลางแสงรุ่งอรุณยามฟ้าสาง ปะทะลมหนาวจนมาถึงกลางน้ำพุร้อน

ไอน้ำลอยหมุนเป็นเกลียวขึ้นไป น้ำพุร้อนร้อนเล็กน้อย แต่สำหรับเขาแล้วอุณหภูมิกำลังดี

“ควรพานางออกมาอาบน้ำหรือไม่ หากท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร…”

ในขณะที่แช่อยู่ในสระอุ่นสบาย สวี่ชีอันพลันนึกปัญหานี้ขึ้นมาได้

เดิมทีราชครูก็เป็นฉลามยักษ์ตัวหนึ่ง หากท้องจากการบำเพ็ญคู่ละก็ ปลาตัวอื่นๆ จะยังมีที่ที่พอจะอาศัยอยู่รอดได้หรือ

“นางไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยนี้หรือว่าแอบวางแผนอย่างลับๆ ไว้แล้วนะ แต่ไม่พูดออกมา…”

นึกถึงจุดนี้ สวี่ชีอันก็นั่งไม่เป็นสุขเล็กน้อยแล้ว

ขณะเดียวกัน ในสมองของเขาก็ผุดประโยคสนทนาประโยคหนึ่งในอดีตชาติ ‘ข้าจะใช้กำลังภายในขับสิ่งที่เจ้าทิ้งไว้ในร่างข้าออกมา’

เขาลืมแหล่งกำเนิดไปแล้ว แต่บทสนทนายั่วยวนเช่นนี้ เขากลับจดจำมาถึงสองชาติภพ…

หากราชครูมีการตื่นตัวเช่นนี้ก็คงจะดี!

ท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ อาทิตย์สีแดงครึ่งดวงยามรุ่งอรุณโผล่ขึ้นทางทิศตะวันออก

สวี่ชีอันแช่จนสบายไปทั้งตัว จากนั้นขึ้นฝั่งสวมเสื้อผ้า เพิ่งจะคลุมเสื้อคลุม ภาพตรงหน้าก็พร่ามัวและปรากฏเงาร่างของลั่วอวี้เหิง

สีหน้าของนางดูแปลกใจมาก พริบตาที่มองเห็นสวี่ชีอันก็รู้สึกสบายใจหนึ่งส่วน หวาดกลัวในภายหลังหนึ่งส่วน อีกแปดส่วนที่เหลือคือเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ

คิ้วเรียวงามของลั่วอวี้เหิงขมวดจนเป็นเส้นตรง สีหน้าเดือดดาล “เจ้าไปไหน เหตุใดถึงไม่อยู่ข้างกายข้า”

………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง