ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 565

สรุปบท บทที่ 565 ลักพาตัวสวี่หยวนซวง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 565 ลักพาตัวสวี่หยวนซวง – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 565 ลักพาตัวสวี่หยวนซวง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 565 ลักพาตัวสวี่หยวนซวง

‘สวีเชียน เขากำลังตามหาผู้อาวุโสสวี…’ กงซุนเซี่ยงหยางรู้สึกประหลาดใจ ทว่าไม่แสดงอาการผ่านสีหน้า แสร้งทำเป็นครุ่นคิดแล้วทวนชื่ออีกครั้ง

จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างอับจนหนทาง “ชื่อสวีเชียนนี้แสนจะดาษดื่น เกรงว่าในยงโจวคงจะมีคนชื่อนี้อยู่ไม่น้อย ช่วยอธิบายลักษณะพิเศษของเขาสักหน่อยได้หรือไม่”

จีเสวียนเอ่ย “คนผู้นี้หน้าตาธรรมดาเหมือนกับเขา จุดเด่นเพียงอย่างเดียวคือสวมชุดสีดำ แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ใช่จุดเด่น ท่านกงซุนเพียงแค่ต้องคอยช่วยจับตาดูเท่านั้น และจำไว้ว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”

‘ชุดสีดำ ตามหาผู้อาวุโสสวีจริงๆ ด้วย…’ กงซุนเซี่ยงหยางคลี่ยิ้มเปี่ยมไมตรี

“เรื่องเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อย จริงสิ ท่านวีรชนทั้งหลายเดินทางมาไกล หากไม่รังเกียจมาพักที่จวนกงซุนเป็นการชั่วคราวดีหรือไม่”

เขาแสดงความใจกว้างอย่างตั้งใจ ด้านหนึ่งเพื่อต้อนรับผู้ยิ่งใหญ่ ในฐานะเจ้าถิ่นแห่งยงโจว หากไม่ประจบสอพลอหรือกระตือรือร้นเมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มยอดฝีมือขั้นสี่ ก็จะดูน่าสงสัย

อีกด้านหนึ่ง จวนกงซุนเป็นเขตแดนของเขา ก่อนอื่นต้องหลอกล่อคนพวกนี้เข้าไป แล้วค่อยส่งข่าวไปบอกผู้อาวุโสสวี เพื่อดูว่าผู้อาวุโสจะตัดสินใจอย่างไร

ใบหน้าของจีเสวียนประดับรอยยิ้ม “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่รบกวนท่านกงซุนดีกว่าขอรับ”

‘คนที่มาตามหาผู้อาวุโสสวีพวกนี้เป็นศัตรูหรือสหายกันแน่ หากเป็นศัตรู แม้แต่ขี้ฟันของผู้อาวุโสสวีพวกเขาก็ไม่อาจเทียบได้…’ กงซุนเซี่ยงหยางพยักหน้าอย่างจำใจ แล้วเอ่ยเป็นการลองเชิง

“เช่นนั้น หากไม่รังเกียจ วันข้างหน้าคงต้องขอรบกวนท่านวีรชนทั้งหลายแล้ว”

เขาแสดงท่าทีต้องการผูกมิตรออกมาอย่างพอเหมาะพอควร

จีเสวียนคลี่ยิ้มราวกับคนหนุ่มผู้สดใสไร้พิษภัย “ยินดีขอรับ ยินดี”

หลังจากพูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย กงซุนเซี่ยงหยางก็ลุกขึ้นบอกลา

“จีเสวียนมีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยอยู่ข้างกายคนหนึ่ง และกำลังตามหาข้า…เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าคนพวกนี้เป็นคนของสวี่ผิงเฟิงจากเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว”

อีกด้านหนึ่งสวี่ชีอันเรียกจิตเดิมกลับมา และทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา “ฆ่ามันซะ!”

“อืม ดูท่าทางพวกนั้นคงเป็นยอดฝีมือกันหมด ด้วยระดับของข้าในตอนนี้ย่อมไม่มีหวาดกลัว ทว่าหากคิกจะสังหารผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเช่นนี้ เห็นทีจะทำไม่ได้ อีกอย่างคนพวกนี้เป็นเหยื่อล่อที่วางให้เห็นจะจะ”

“คอยจับตาดูไปก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีดีกว่า…”

เหตุผลที่เขาเรียกจิตเดิมหยั่งรู้กลับมา เป็นเพราะเขาพอจะคาดเดาตัวตนของคนกลุ่มนี้ได้ ซึ่งทำให้เขาระงับความเกลียดชังของตนไม่ได้ และด้วยเหตุนี้ก็จะถูกจับได้ด้วยสัญชาตญาณชาวยุทธจักรของพวกเขา

ชาวยุทธจักรตั้งแต่ขั้นหลอมวิญญาณขึ้นไป ล้วนแต่มีลางสังหรณ์ต่อภยันตรายแม่นยำอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นสายตาชิงชังหรืออาฆาตพยาบาทอย่างไร อีกฝ่ายล้วนแต่สัมผัสได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ชาวยุทธจักรถูกซุ่มโจมตีหรือลอบสังหารได้ยากมาก

ทว่าสายตาที่ปราศจากความรู้สึกเคลือบแฝงไม่มีทางกระตุ้นลางสังหรณ์ของจอมยุทธ์ได้

สวี่ชีอันไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงเรียกจิตเดิมหยั่งรู้กลับมา

ระหว่างทางกลับจากจวนไปยังสนามประลอง มีนกกระจอกตัวหนึ่งบินอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะโฉบลงมาเกาะไหล่ของกงซุนเซี่ยงหยาง

“นายท่านขอรับ…”

ผู้ติดตามของตระกูลกงซุนที่อยู่ข้างหลังรีบเข้ามาไล่ ทว่ากงซุนเซี่ยงหยางกลับปัดมือห้ามเสียก่อน

เขาอุ้มนกกระจอกไว้ในมือ พลางลูบหัวมันอย่างแผ่วเบา ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม ราวกับกำลังแสดงความเมตตาออกมา

“คนพวกนั้นมาจากที่ใด”

กงซุนเซี่ยงหยางได้ยินเสียงกระแสจิตจากสวีเชียนดังคาด

ผู้อาวุโสสวีใช้นกกระจอกเป็นสื่อกลางในการติดต่อกับเขาผ่านกระแสจิต

“พวกเขาเป็นคนจากชิงโจว ทว่าสำเนียงการพูดฟังดูไม่ใกล้เคียง พวกเขาวานให้ข้าช่วยตามหาคน หนึ่งในนั้นคือท่าน”

กงซุนเซี่ยงหยางยังคงลูบหัวนกกระจอกเหมือนหยอกล้อกับสัตว์เลี้ยง แล้วส่งกระแสจิตตอบกลับ

สวี่ชีอันส่งเสียง “หึ” และส่งกระแสจิตตอบ “ไม่รู้จัก แต่ข้ารู้จักผู้อาวุโสที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ช่างเถอะ เรื่องมันวุ่นวาย อย่าพูดถึงเลยจะดีกว่า”

‘คำพูดของผู้อาวุโสสวีแฝงด้วยความผกผันของชีวิต ผู้อาวุโสเป็นผู้มีเรื่องราวปูมหลังมากมาย…’ กงซุนเซี่ยงหยางรู้สึกทอดถอนใจ

“พวกเขาเป็นชาวยุทธจักรทั้งหมดเลยหรือ” สวี่ชีอันส่งกระแสจิตถาม

กงซุนเซี่ยงหยางระลึกความจำเล็กน้อย และเอ่ยเป็นเชิงวิเคราะห์

“ในหมู่พวกเขามีสามคนที่ไร้แสงเทวะคุ้มกาย สองในสามคนนั้นทำตัวไม่เหมือนชาวยุทธจักรเสียด้วยซ้ำ…”

คนที่กงซุนเซี่ยงหยางวิเคราะห์คือสาวน้อยผู้สะสวย ชายชาวซินเจียงตอนใต้ที่สวมอาภรณ์สีสันสดใส รวมไปถึงชายวัยกลางคนที่สะพายดาบบนหลัง ทั้งสามคนไร้ซึ่งแสงเทวะคุ้มกาย

อีกทั้งยังไม่ถึงขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงด้วย

ท่าทางของสาวน้อยและชายหนุ่มชาวซินเจียงตอนใต้ก็ดูไม่เหมือนชาวยุทธจักร

“เข้าใจแล้ว”

สวี่ชีอันพูดจบ เขาก็สั่งให้นกกระจอกให้บินไปยังจวนที่ทั้งสองฝ่ายพบกันก่อนหน้านี้

ที่โถงด้านนอก หลิ่วหงเหมียนนั่งไขว่ห้าง ขาซ้ายทับขาขวาอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน รองเท้าปักลายสีแดงแกว่งไปมาใต้กระโปรงพลิ้ว

“จะว่าไปแล้ว เราสูญเสียเบาะแสของเจ้าเด็กนั่นไปทั้งหมดแล้วนี่”

ศิษย์ผู้ถูกทอดทิ้งของหอหมื่นบุปผาบิดปอยผม และใช้นิ้วม้วนเล่นพลางกล่าว “หากข้าเป็นเขา ข้าก็คงหนีไปแล้ว”

สวี่หยวนซวงยิ้มเยาะ “ใครบอกเจ้า เจ้าหนูนั่นรู้ได้อย่างไรว่าเรามาที่ยงโจว”

นักพรตเฒ่าเจียวเย่ลูบเคราด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

“คุณหนูใหญ่สวี่พูดถูก ในสายตาของเจ้าเด็กนั่น พวกเรากับเขาเพียงแค่บังเอิญพบพาน และเกิดการปะทะกันด้วยอารมณ์เท่านั้น ไม่มีความเกลียดชังระหว่างสองฝ่าย ไม่มีความจำเป็นจะต้องไล่ล่าเขาด้วย”

“หลังจากทอดทิ้งเราไว้ที่ชิงโจว เขาคงคิดว่าเรื่องราวจบลงแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสดีๆ มาถึงที่แล้วจะไม่เยี่ยมเยือนได้อย่างไร”

ไป๋หู่ ชายฉกรรจ์ผู้เย็นชาและผ่าเผย พยักหน้าน้อยๆ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ยงโจวกำลังรวบรวมจอมยุทธ์ทั่วดินแดนยงโจว หากเขามีไหวพริบป่านนี้คงจะกำลังวางแผนขี่เสือไล่กินหมาป่าอยู่”

จีเสวียนกล่าวเสริม “ลืมที่ท่านราชครูบอกไปแล้วหรือ ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยนั้นมีแรงดึงดูดระหว่างกัน ขอเพียงอยู่ไม่ไกลจากกัน อย่างไรก็ต้องได้พบพาน ข้างกายของเรายังมีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยอยู่คนหนึ่ง วันดีคืนดีแค่ก้าวออกจากจวนก็อาจจะเผชิญหน้ากับเจ้านั่นทันทีก็เป็นได้”

“ว่าแต่นายน้อยตามหาสวีเชียนไปเพื่อการใดหรือ” จู่ๆ นักพรตเฒ่าเจียวเย่ก็ขัดจังหวะขึ้นมา

“เมื่อวานข้าได้รับรายงานลับตำหนักความลับสวรรค์ สำนักพุทธและตำหนักความลับสวรรค์กำลังร่วมมือกันตามล่าหาคนผู้หนึ่งที่มีนามว่าสวีเชียน คนผู้นี้เป็นผู้นำปราณมังกรหนึ่งในเก้าสายของเหลยโจวไป ตอนอยู่ที่เซียงโจวก็ชิงปราณมังกรไปจากมือสำนักพุทธอีกครา”

จีเสวียนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “และตอนนี้ เขาก็มาเยือนยงโจวด้วย ตามรายงานของตำหนักความลับสวรรค์ คนผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อีกทั้งยังเก่งกาจที่สุดในขั้นสี่”

คำพูดดังกล่าวทำให้ทุกคนต่างก็เลิกคิ้วขึ้น ไม่มีใครเชื่อถือ

หลิ่วหงเหมียนเอ่ยแกมหัวเราะ “ระดับเท่าเฉาชิงหยางน่ะหรือ”

จีเสวียนส่ายหน้าน้อยๆ “ข้าไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยก็อยู่ในระดับฆ้องทองคำ”

ไป๋หู่ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยเรียบๆ “ระดับฆ้องทองคำ ข้ากับหงเหมียนร่วมมือกันก็จัดการได้แล้ว”

เฉาชิงหยาง ผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวอยู่ที่เพดานขั้นสี่ ครึ่งขั้นสามโดยประมาณ

จีเสวียนส่ายหน้า “อย่าได้ประมาทเชียว คนผู้นี้มีอุดมการณ์เดียวกับซุนเสวียนจี โหรขั้นสามไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเรา ยังดีที่สำนักพุทธและดาวมังกรอาสาช่วยจัดการเขา ภารกิจของเราในตอนนี้คือจับเด็กคนนั้น จากนั้นเราอาจจะต้องร่วมมือกับตำหนักความลับสวรรค์และสำนักพุทธจับตัวสวีเชียน”

เขาจิบน้ำชา และกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ว่าแล้วไม่มีผิด ท่านราชครูมีแผนสำรอง ภารกิจรวบรวมปราณมังกรไม่ได้มีแต่เราที่ต้องทำ”

หลิ่วหงเหมียนเอ่ยพลางยิ้มหัว “งานรวบรวมปราณมังกรเป็นการทดสอบท่าน ย่อมไม่มีทางวางเดิมพันทั้งหมดไว้ที่ท่านแต่เพียงผู้เดียว จิ๊ๆ หวังว่าในการท่องยุทธภพครั้งนี้บุญกุศลของนายน้อยจะสมบูรณ์ ภายภาคหน้านางจะได้หันมาพึ่งพิงท่าน”

นางรู้ดีแก่ใจว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนที่ราชครูและเจ้าเมืองผู้นั้นคัดสรรให้ร่วมเดินทางไปกับจีเสวียน

หากจีเสวียนได้กลายเป็นผู้สืบทอดในอนาคต พวกเขาก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย ในทางกลับกันก็อาจจะต้องนั่งเฉาอยู่บนตั่งเย็นไปชั่วชีวิต

“สวีเชียนเป็นผู้วิเศษมาจากฝ่ายใด ตำหนักความลับสวรรค์และสำนักพุทธทราบหรือไม่”

สวี่หยวนซวงเอ่ยขึ้นกะทันหัน

สวี่หยวนซวงตกใจแต่ไม่ตื่นตระหนก กำไลหยกบนข้อมือขาวนวลส่องแสงขึ้นมา พยายามจะปัดป้องมือข้างนั้นออกไป

มือข้างนั้นคลายออกเล็กน้อยด้วยพลังของกำไลหยก แต่ไม่ได้หลุดพ้นอย่างสมบูรณ์

ทว่าอีกฝ่ายเองก็ไม่อาจมองฝ่าแสงสว่างจ้าได้ จึงชะงักงันไปชั่วขณะ

สวี่หยวนซวงหยิบปืนไฟออกมาจากอกเสื้อด้วยมือขวา เล็งปากกระบอกปืนไปยังเงาใต้ฝ่าเท้า และเหนี่ยวไกอย่างใจเย็น

‘ปัง ปัง!’

กระสุนจมหายไปในเงามืด ทว่าไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายได้

ปืนไฟล้มเหลว ใบหน้าของสวี่หยวนซวงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที นางโยนปืนไฟเวทมนตร์ทิ้งไป ตามด้วยอาวุธเวทมนตร์ชิ้นที่สอง ชิ้นที่สาม ได้แก่คันฉ่องสำริด และหยู่เผยทรงกลม

ในฐานะบุตรสาวคนโตของสวี่ผิงเฟิง นางพกอาวุธเวทมนตร์มาไม่ขาดมือ

สวี่หยวนซวงหันกระจกไปยังเงาใต้ฝ่าเท้า แล้วตวาดอย่างฉุนเฉียว “จงเผยตัว!”

คันฉ่องสำริดสั่นไหว พร้อมกับยิงลำแสงสีเหลืองอร่ามส่องเข้าไปในเงามืด ความมืดค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย และปรากฏร่างของชายคนหนึ่ง

ชายผู้ถูกเงามืดโอบล้อม เงยหน้าขึ้นช้าๆ พลางกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม

“มีอาวุธเวทมนตร์มากขนาดนี้ ตัวตนไม่ธรรมดา”

ออกแรงบีบฝ่ามือ ตามมาด้วยเสียง ‘เพล้ง’ กำไลหยกที่ข้อมือของสวี่หยวนซวง และคันฉ่องสำริดต่างแตกเป็นเสี่ยงๆ

ในตอนนี้เอง สวี่หยวนซวงก็ออกแรงบีบที่ปลายนิ้ว หยู่เผยทรงกลมแทบจะปริแตกออกจากกัน

นี่คืออาวุธเวทมนตร์ลำเลียง เมื่อบีบจนมันแตกหักจากกัน จะสามารถเคลื่อนย้ายที่ยังที่ใดก็ได้ในระยะสามสิบจั้ง

“อึก…”

ร่างบางของสวี่หยวนซวงสั่นสะท้าน จากนั้นก็หมดเรี่ยวแรงชั่วขณะ หยู่เผยทรงกลมร่วงหล่นจากมือของนาง

กู่เสน่ห์!

จากนั้นร่างของนางก็จมหายไปในเงามืดทันที

วินาทีต่อมา ก็มีเสียง ‘โครม’ ดังขึ้น หอกยาวพุ่งตรงมาทางนี้ เจาะทะลุหลังคา แผ่นกระเบื้องแตกกระจาย

สวี่หยวนไหวที่กำลัง ‘เล่นสนุก’ อยู่บนสนามประลองสังเกตเห็นความเคลื่อนไหว จึงขว้างหอกยาวออกมาเพื่อช่วยพี่สาว แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง

ร่างของเขากระโจนขึ้นฟ้า ก่อนจะตกลงมาบนหลังคา ทำให้บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือน เศษฝุ่นร่วงกราว

สวี่หยวนไหวมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นร่องรอยของพี่สาว จึงคำรามเสียงยาวด้วยความโกรธแค้น

สันหลังคาไม่อาจรับน้ำหนักได้อีกต่อไป คานค่อยๆ หักลงมา ชายคาพังทลาย

นอกเมืองยงโจว ข้างคันนาดำมืด สวี่ชีอันวางสาวน้อยที่พาดอยู่บนบ่าลงบนกองฟางที่ชาวบ้านสุมเอาไว้

ร่างบอบบางของสวี่หยวนซวงกระเด้งกระดอนอยู่บนกองฟางอ่อนนุ่ม นางให้มือสองข้างค้ำยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ดวงหน้าร้อนเป็นไฟ ลมหายใจเผยกลิ่นอายอันผ่าวร้อน

ฮอร์โมนหลั่งออกมาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากแห้งผาก ขาสองข้างอ่อนระทวย

‘ข้าถูกพิษ เป็นพิษราคะ ตั้งแต่เมื่อไรกัน…’

สวี่หยวนซวงในฐานะโหรเชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา วิเคราะห์อาการของตนเองได้อย่างแม่นยำ

ไม่มียาใดสามารถถอนพิษราคะได้ ต้องอาศัยพลังจิตตานุภาพควบคุมเท่านั้น หรือ หรือ…

ดวงตาของนางฉายแววหวาดกลัว ตื่นตระหนก แต่กลับควบคุมได้อย่างรวดเร็ว และหันไปจ้องมองสวี่ชีอันด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเป็นใคร”

……………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง