ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 566

บทที่ 566 น้องสาว

“เจ้าเป็นใคร?”

สวี่ชีอันมองสาวงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะกล่าวช้าๆ ด้วยแววตาเย็นชา “หากไม่อยากตาย ก็ตอบคำถามข้ามาอย่างซื่อสัตย์”

ในขณะที่กล่าว เขาพ่นลมหายใจเล็กน้อยเพื่อปิดผนึกจุดลมปราณของอีกฝ่าย

สาวงามเงยหน้าขึ้น ดวงตาใสแป๋วจ้องมองเขาโดยไม่พยักหน้าหรือปฏิเสธ

“เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับโดยปริยาย”

สวี่ชีอันนั่งลงตรงข้ามนางและถามด้วยความหวังครั้งสุดท้าย “พวกเจ้าเป็นใคร?”

สวี่หยวนซวงเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้ารุ่มร้อน นางงอขาและกล่าวเสียงเบา “พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักชิวเฉ่าแห่งชิงโจว ตามศิษย์พี่ใหญ่มาที่ยงโจวครั้งนี้ก็เพื่อฝึกฝนและหาประสบการณ์ทางโลก ข้า…ข้าชื่อสวี่หยวนซวง”

“ประสบการณ์ในการท่องพิภพของเจ้าอยู่ในระดับอ่อนหัดจริงๆ”

สวี่ชีอันเอื้อมมือเข้าไปที่เอวบางของนาง สีหน้าของสวี่หยวนซวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางพยายามเอนตัวไปด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการรุกล้ำของอีกฝ่าย

แต่นางคิดผิด ชายหนุ่มธรรมดาๆ คนนี้ไม่ได้ตั้งใจจะดึงผ้าคาดเอวของนาง แต่กลับปลดถุงหอมที่นางแขวนไว้ที่เอวแทน

สวี่หยวนซวงย่อมอยากได้ของของตนเองคืนโดยจิตใต้สำนึก แต่ทันทีที่คว้าข้อมือของอีกฝ่าย นางก็ชักมือกลับราวกับถูกไฟช็อต พร้อมกับลมหายใจที่กระชั้นถี่ขึ้นและใบหน้าแดงก่ำกว่าเดิม

นางพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะระงับพิษราคะ แต่ทันทีที่สัมผัสร่างกายของชายหนุ่ม สติสัมปชัญญะของนางก็แทบแตกสลาย จนพุ่งเข้าหาความสุขที่ปรารถนาอย่างไม่สามารถควบคุมตนเองได้

สวี่ชีอันเปิดถุงหอมดูด้านใน…

รวยแล้ว!

ภายในมีอาวุธเวทมนตร์อยู่หลากหลายจนลานตา ทั้งประเภทจู่โจม ประเภทหายตัว ประเภทป้องกัน…มากมายนับไม่ถ้วน

หากวันนั้นข้ามีอาวุธเวทมนตร์ประเภทหายตัว ก็คงไม่ถูกเทพอารักษ์ตู้หนานบีบบังคับจนอับจนหนทางเช่นนั้น โหรเป็นขุมทรัพย์อย่างที่คิดจริงๆ…สวี่ชีอันเก็บถุงผ้านั้นเข้าไปในแขนเสื้อด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

สวี่หยวนซวงอ้าปากพะงาบๆ แววตาประกายความคับข้องใจและเจ็บปวด แต่ก็ไม่กล้าพูด

“เท่าที่ข้ารู้ มีเพียงโหรของสำนักโหราจารย์เท่านั้นที่สามารถกลั่นอาวุธเวทมนตร์ได้ สำนักชิวเฉ่าเป็นสถานที่แบบใดกัน?”

สวี่ชีอันหรี่ตาลง “หากเจ้าไม่พูดความจริง ก็อย่าหาว่าข้าเป็นคนชั่ว”

สวี่หยวนซวงเม้มริมฝีปากอย่างดื้อรั้น ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ

สวี่ชีอันสะกิดข้างเอวนางเบาๆ

“อื้อ…”

ร่างอันบอบบางของสวี่หยวนซวงสั่นเทา ดวงตาใสพร่ามัว ขาทั้งสองข้างถูไปมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ ข้าก็จะสร้างความสุขกับเจ้าที่นี่ก่อนสักครั้ง จากนั้นค่อยโยนเจ้าไปให้ชาวบ้านใกล้เคียง ชั่วชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่เคยพบหญิงที่มีน้ำมีนวลเฉกเช่นเจ้ามาก่อนก็ได้” สวี่ชีอันกล่าวข่มขู่

“เจ้า…”

ใบหน้าอันบอบบางของสวี่หยวนซวงบิดเบี้ยวเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“หากเจ้าเชื่อฟัง ข้าจะรักษาพิษราคะให้เจ้า” สวี่ชีอันกล่าว “เป็นอย่างไร?”

สวี่หยวนซวงกัดริมฝีปากราวกับอยากจะร้องไห้ “ไม่มียาหรือวิธีใดที่จะรักษาพิษราคะได้หรอก”

“ข้าหมายถึงฉิงกู่ ไม่ใช่ฉิงตู๋ (พิษราคะ)” สวี่ชีอันกล่าวแก้ไข

หญิงสาวกล่าวหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้นเจ้าก็แก้ฉิงกู่ก่อนเถอะ”

สวี่ชีอันไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่เมื่อริมฝีปากเปิดและปิด ทันใดนั้น หนอนตัวเล็กก็เจาะออกมาจากข้อเท้าของสวี่หยวนซวง สวี่ชีอันยื่นนิ้วออกไป มันค่อยๆ ขยับไปที่นิ้วของเขาแล้วหายไป

หลังจากหนอนไปแล้ว สวี่หยวนซวงก็รู้สึกว่าความร้อนผ่าวในร่างกายมลายหายไปทันที พอตัณหาถูกทำลายสติสัมปชัญญะก็อ่อนกำลังลง

‘ฟู่…’ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอกและจ้องสวี่ชีอัน “เจ้าเป็นคนเผ่ากู่รึ?”

“เจ้าเป็นใครกันแน่…”

ทันทีที่สิ้นประโยคของสวี่หยวนซวง จู่ๆ เสื้อตัวนอกก็เปิดออกอย่างกะทันหัน เผยให้เห็นเสื้อตู้โตวสีเขียว และลำคอระหง

นางกรีดร้องพลางยกมือขึ้นปิดหน้าอก

สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ยื้อเวลารอให้สำนักพุทธและสหายมาค้นหางั้นรึ? ความอดทนของข้ามีจำกัด แต่ละคำถามข้าให้เวลาเจ้าตอบเพียงสามลมหายใจ หากเจ้ายังเล่นแง่อีก เจ้าจะได้ลิ้มรสชาติที่เลวร้ายกว่าความตายเสียอีก”

เมื่อสวี่หยวนซวงผู้มีความคิดรอบคอบถูกแทงใจดำ นางก็ไม่กล้ายื้อเวลาอีกต่อไป ไม่กล้าที่จะเอาชื่อเสียงของตนเองฝากไว้กับคุณธรรมของศัตรู

“พวกเรามาจากเมืองเฉียนหลง อวิ๋นโจว”

“เมืองเฉียนหลงเป็นสถานที่แบบใด?”

สีหน้าของสวี่หยวนซวงลุกลน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที นางก็กล่าวช้าๆ ว่า “เป็นสถานที่ที่มีพลังอันยิ่งใหญ่”

“เป็นสายเลือดของราชวงศ์ต้าฟ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน?” สวี่ชีอันใช้น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ข้อมูลที่พูดออกมาหนักแน่นจริงจังยิ่งกว่าดินระเบิด

สีหน้าของสวี่หยวนซวงเปลี่ยนไปอย่างมาก และมองเขาอย่างไม่น่าเชื่อ “เจ้า…”

ดูเหมือนนางจะรู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ นางกล่าวเน้นทีละคำว่า “เจ้าคือสวีเชียนรึ?”

นับว่าสายตาเฉียบแหลม…สวี่ชีอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “จีเสวียนคือใคร ฐานการบำเพ็ญเป็นอย่างไร?”

“บุตรนอกสมรสของเจ้าเมืองเฉียนหลง ขั้นเจ็ด” สวี่หยวนซวงตอบอย่างไม่เต็มใจนัก ถามอย่างไรตอบอย่างนั้น และไม่เปิดเผยอะไรมากเกินไป

“ครั้งนี้พวกเจ้าออกมาเพื่อสะสมปราณมังกรรึ?” สวี่ชีอันถาม

หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย “ชีพจรมังกรแห่งต้าฟ่งถูกตีแตกพ่าย เจ้าเมืองจึงมอบหน้าที่ให้จีเสวียนจัดการ”

“ได้อะไรหรือไม่”

“พบผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเพียงไม่กี่ท่าน แต่ทุกท่านล้วนเป็นปราณมังกรที่กระจัดกระจาย ไม่คุ้มค่าเท่าใดนัก”

พวกเขาให้กงซุนเซี่ยงหยางค้นหาชายหนุ่มคนนั้น ก็น่าจะเป็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเช่นกัน…สวี่ชีอันกล่าวอย่างไตร่ตรอง “เล่าเกี่ยวกับสหายของเจ้าให้ข้าฟังที”

สวี่หยวนซวงกล่าวว่า “นอกจากจีเสวียนและข้าแล้ว ชายหนุ่มที่เชิญข้าต่อสู้บนเวทีเมื่อครู่คือน้องชายข้า ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ ท่านนี้คือนักบวชลัทธิเต๋านามฉายาว่าเจียวเยี่ย เขาคือผู้ท่องยุทธภพพเนจร แต่ต่อมาเขาเข้ามาที่เมืองเฉียนหลงและเป็นแขกต่างเมืองอยู่ที่จวนของจีเสวียนมาโดยตลอด อีกทั้งยังจงรักภักดีกับเขาที่สุด ส่วนนี่คือฉีฮวนตานเซียงจากสำนักซินกู่แห่งเผ่ากู่ เนื่องจากเขาฆ่าขุนนางทุจริตยกครัวตอนที่อยู่ที่อวิ๋นโจว เขาจึงถูกฝ่ายราชการตามล่าและระเหเร่ร่อนไปที่เมืองเฉียนหลง นี่คือพยัคฆ์ขาวไป๋หู่ เป็น…เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ถูกเจ้าตำหนักความลับสวรรค์ปราบไปเมื่อหลายปีก่อน และนี่คือศิษย์หอหมื่นบุปผา หลิ่วหงเหมียน นางออกจากหอหมื่นบุปผาเพราะไม่พอใจท่านอาจารย์น้องเซียวเยว่หนู จึงเดินทางท่องไปทั่วยุทธภพ” นางแนะนำสหายอย่างเรียบง่าย

หญิงทรงเสน่ห์คนนั้นเป็นศิษย์ของหอหมื่นบุปผา มิน่าล่ะข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเสน่ห์ของนางนัก…สวี่ชีอันกล่าวช้าๆ ว่า “เมืองเฉียนหลงมีปรมาจารย์เหนือมนุษย์หรือไม่?”

สวี่หยวนซวงส่ายศีรษะ “ปรมาจารย์ขั้นเหนือมนุษย์นั้นหาได้ยากยิ่ง นอกจากเจ้าตำหนักความลับสวรรค์ที่เป็นโหรขั้นสามแล้ว เมืองเฉียนหลงก็ไม่มีปรมาจารย์ระดับใดอีก แต่เจ้าตำหนักสามารถพึ่งอาวุธเวทมนตร์และค่ายกลก่อเป็นรูปแบบการต่อสู้ ซึ่งอานุภาพมิได้ด้อยไปกว่าขั้นเหนือมนุษย์”

ใช้อาวุธเวทมนตร์ของโหรและค่ายกลมาปลุกเสก รวมพลังของผู้คนจำนวนมากเข้าด้วยกัน กระทั่งบรรลุพลังการรบเหนือมนุษย์…ถึงแม้พลังการรบจะอยู่ขั้นเหนือมนุษย์ แต่ผู้คนจำนวนมากก็ไม่สามารถทำให้บรรลุแก่นแท้ของความเป็นอมตะได้ ข้อดีและข้อเสียนั้นชัดเจนมาก

สำหรับคำตอบนี้ สวี่ชีอันไม่ประหลาดใจนัก สายเลือดเมื่อห้าร้อยปีก่อนขาดแคลนปรมาจารย์ยอดฝีมือจริงๆ ดังนั้น แผนการในอดีตของสวี่ผิงเฟิงจึงมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก นั่นคือกำจัดอ๋องสยบแดนเหนือและเว่ยเยวียน

ในเมื่อไม่มีทางฝึกฝนปรมาจารย์เหนือมนุษย์ได้ในระยะเวลาอันสั้น เช่นนั้นก็ต้องลากคู่ต่อสู้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกับตนเอง

จากนั้น สวี่ชีอันก็ถามอีกสองสามคำถาม อย่างเช่น เมืองเฉียนหลงวางแผนก่อจลาจลเมื่อใด แผนต่อไปของเจ้าตำหนักความลับสวรรค์คืออะไร แต่ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ต้องการ ดูเหมือนหญิงสาวคนนี้จะเข้าไม่ถึงศูนย์กลางความลับขั้นสูงเช่นนี้

“สองคำถามสุดท้าย”

สวี่ชีอันบ้วนหญ้าในปากออกมา “เจ้าเป็นโหรขั้นใด?”

สวี่หยวนซวงเม้มริมฝีปาก “นักเล่นแร่แปรธาตุขั้นหก”

“ข้าจำได้ว่าโหรจำเป็นต้องพึ่งพาราชสำนัก แล้วสายเลือดของพวกเจ้าเลื่อนขั้นได้อย่างไร?”

“สำหรับโหรขั้นต่ำ เพียงแค่อวิ๋นโจวและเมืองเฉียนหลงก็เพียงพอแล้ว แต่หากต้องการก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์ ก็ต้องพึ่งราชสำนัก”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง