บทที่ 567 สวี่ชีอัน ‘ข้าจะนำหน้าบุกโจมตีเอง’
หลังจากถามคำถามนี้แล้ว สวี่หยวนไหวก็จ้องพี่สาวตาเขม็ง และกวาดสายตามองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพิจารณา
ไม่ว่าใครก็มองเห็นความกังวลของเขา จึงทยอยหันไปมองสวี่หยวนซวงทีละคน
“คนที่ลักพาตัวข้าไปคือสวีเชียน” สวี่หยวนซวงกล่าวเสียงเบา
สวีเชียน?!
เขาจะจับตามองพวกเราทำไมกัน ไม่น่าใช่ พวกเราไม่ได้ยั่วยุบุคคลนี้แม้แต่น้อย…
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที ทั้งสับสนและหวาดระแวง
สวี่หยวนไหวถามต่อไปว่า “เขารังแกท่านหรือไม่?”
เมื่อถามแล้ว เขาก็ตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสม เรื่องเช่นนี้ ควรจะถามกันเป็นการส่วนตัวระหว่างพี่น้อง ไม่ใช่ถามออกมาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
แล้วจะให้พี่สาวตอบอย่างไร?
“เขาเพียงแค่ถามข้าเล็กน้อย…”
สวี่หยวนซวงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟังโดยละเอียด
เมื่อได้ยินว่าสวีเชียนนั่นใช้ฉิงกู่กับสวี่หยวนซวง สีหน้าและท่าทางของทุกคนก็แปลกไปทันที
นางจึงรีบกล่าวเสริมว่า “เขาไม่ได้ทำอะไรข้า เพียงแค่คว้าถุงหอมของข้าแล้วจากไป”
หลังจากกล่าวแล้ว สวี่หยวนซวงก็ยังรู้สึกว่าตนเองมีความน่าสงสัยในการปกปิดอะไรบางอย่าง นางอ้าปากพะงาบๆ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านี้
จีเสวียนไอกระแอมและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เช่นนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าสวีเชียนจะจับตามองพวกเราอยู่ เขาก็กำลังเก็บรวบรวมปราณมังกร เช่นนั้นย่อมต้องมีวิธีสังเกตผู้ถูกปราณมังกรอาศัย”
สวี่หยวนไหวกล่าวด้วยความโกรธว่า “เช่นนั้นทำไมเขาไม่ลงมือกับเหยื่อของสำนักพุทธ ทำไมไม่ลงมือกับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยรอบตัวเรา เขาเลือกพี่สาวข้าทำไม?”
ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขากำหมัดแน่นพลางบดขยี้ฟันกรามดังกรอดๆ
นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาหยวนไหว อย่ามัวแต่โกรธจนสติมืดบอด เห็นได้ชัดว่าสวีเชียนกำลังวางแผนล้วงข้อมูลของเรา คนฉลาดย่อมวางแผนก่อนลงมือ เขาไม่ได้ลักพาตัวโดยตรง แต่กลับตรวจสอบสถานการณ์ของศัตรูก่อน แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นรอบคอบ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าฐานการบำเพ็ญของบุคคลนี้เป็นอย่างที่นายน้อยกล่าว มากสุดคงเป็นแค่ระดับฆ้องทองคำ”
ฉีฮวนตานเซียงของฝ่ายซินกู่หรี่ตาลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงงงงวย “ตามที่คุณหนูหยวนซวงเล่า วิธีที่บุคคลนี้ใช้คือวิธีของฝ่ายอั้นกู่ที่ร่วมมือกับฉิงกู่ ซึ่งเป็นวิธีที่ส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ เป็นซินกู่ที่มีต้นกำเนิดเดียวกันกับข้า นี่…”
เขามองสวี่หยวนซวงด้วยท่าทางประหลาดใจ “นี่เป็นไปไม่ได้”
สวี่หยวนไหวเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวว่า “ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?”
ฉีฮวนตานเซียงอธิบายอย่างกระชับ “กู่เจ้าชะตามีเพียงหนึ่งเดียว”
จีเสวียนกล่าวอย่างครุ่นคิด “ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่ ไม่มีการบำเพ็ญกู่แบบสองประเภท?”
“ประการแรก เผ่ากู่ทั้งเจ็ดฝ่ายเป็นพี่น้องร่วมชาติกัน แต่ก็มีความคิดยึดมั่นในการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย วิชาลับของแต่ละฝ่ายจึงไม่ถูกเผยแพร่สู่ภายนอก ประการต่อมา การปลูกฝังกู่เจ้าชะตานั้น
เป็นห่วงโซ่ที่อันตรายอย่างมากกับเจ้าตัว มักมีทารกสิ้นชีพเพราะทนรับการเปลี่ยนแปลงของกู่เจ้าชะตาไม่ได้ กู่เจ้าชะตาเพียงหนึ่งประเภทยังเป็นเช่นนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับสองประเภท”
หลังจากหยุดชะงักครู่หนึ่ง ฉีฮวนตานเซียงก็เปลี่ยนหัวข้อในการพูด “แต่ก็ไม่แน่ มีการแต่งงานระหว่างแต่ละเผ่า ในประวัติศาสตร์นับพันปีของเผ่าพันธุ์กู่ จะต้องมีบุคคลที่มีพรสวรรค์สักคนที่สามารถรองรับกู่เจ้าชะตาได้ถึงสองประเภท แต่หลายพันปีก็อาจจะยังไม่พบบุคคลเช่นนี้ หากเผ่าพันธุ์กู่ของข้ามีบุคคลที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รู้ นอกจากนี้ สวีเชียนนั่น คือบุคคลที่รวมสามกู่เป็นหนึ่ง”
นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยลูบเครากล่าวว่า “เช่นนั้นก็แปลว่า สิ่งที่คุณหนูใหญ่หยวนซวงเห็น อาจจะเป็นแค่ตัวแทน”
ฉีฮวนตานเซียงส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ไม่ง่ายดายเช่นนั้นแน่นอน หากเขาคือปรมาจารย์ซินกู่ที่สามารถควบคุมจื่อกู่ของฉิงกู่ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก เหมือนกับข้า ถึงแม้จะเป็นปรมาจารย์ซินกู่ แต่ข้าก็ควบคุมหนอนพิษได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าก็สามารถพรางตัวเป็นปรมาจารย์ตู๋กู่ได้เช่นกัน แต่หากบุคคลนี้เป็นปรมาจารย์อั้นกู่ เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นปรมาจารย์ซินกู่ได้อีก หากต้องการรู้เรื่องจริง เกรงว่าข้าต้องกลับไปยังเผ่ากู่สักครั้ง”
จีเสวียนโบกมือปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น พวกเรามีภารกิจที่ต้องทำ”
เขาหันไปปลอบสวี่หยวนซวง “ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังต้องพักผ่อนให้มาก ถึงอย่างไรร่างกายของโหรก็อ่อนแอเล็กน้อยอยู่แล้ว”
สวี่หยวนซวงพยักหน้าเงียบๆ และหันกลับเข้าไปในห้องโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากสวี่หยวนไหวเดินตามพี่สาวเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ แล้ว ก็ปิดประตูลงตามหลังนาง
สายตาอันเฉียบแหลมของชายหนุ่มจ้องมองพี่สาวอย่างเคร่งขรึม “สวีเชียนนั่น ได้ทำอะไรไม่ดี…”
สวี่หยวนซวงกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้ากำลังจะพูดอะไร”ไอรีนโนเวล
สวี่หยวนไหวเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นว่า “ท่านพูดออกมาเลย หากถูกไอ้สารเลวนั่นเอาเปรียบ ข้าจะฆ่ามันด้วยมือข้าเอง”
สวี่หยวนซวงถูกชายแปลกหน้าลักพาตัวไปเกือบสองชั่วยาม และยังถูกอีกฝ่ายใช้ฉิงกู่ หากพูดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็คงไม่เชื่อ เขาถึงกับสงสัยว่าพี่สาวของตนเองใช้ร่างกายบริสุทธิ์ของตนเองแลกกับชีวิตมาหรือไม่ มิเช่นนั้น ไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือมิตรสหาย สวีเชียนจะปล่อยมาได้อย่างไร?
สวี่หยวนซวงขมึงทึง ใบหน้าของนางราวกับมีน้ำแข็งปกคลุม ตัวนางเป็นหญิงงามที่ค่อนข้างหยิ่งและไม่แยแส ตอนนี้นางกลับเย็นชายิ่งกว่าเดิม
สวี่หยวนไหวเห็นเช่นนั้น ก็ยิ่งยืนยันการคาดเดาในใจของตนเองมากยิ่งขึ้น เขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวว่า “ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องได้ฆ่ามันแน่”
เวลานี้เอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
สองพี่น้องเงียบลงในเวลาเดียวกัน สวี่หยวนไหวมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกและกล่าวว่า “เข้ามา”
ประตูห้องถูกเปิดออก สายลับของตำหนักความลับสวรรค์ที่สวมเสื้อคลุมมีหมวก ยืนอยู่นอกธรณีประตู พลางประสานมือขึ้นมาคำนับ “คำนับนายน้อยหยวนไหวและคุณหนูใหญ่หยวนซวงขอรับ”
ตำหนักความลับสวรรค์เป็นกองกำลังที่ขึ้นตรงกับสวี่ผิงเฟิง ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยเขาเพียงคนเดียว สายลับของตำหนักความลับสวรรค์เคารพเพียงแค่สวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวง แต่กลับไม่สนใจจีเสวียน ผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นเจ้าเมืองในอนาคต
สายลับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าบอกแล้วว่าคุณหนูหยวนซวงต้องไม่เป็นอะไร”
หลังจากพี่สาวถูกลักพาตัวไป สวี่หยวนไหวก็ติดต่อสายลับตำหนักความลับสวรรค์ทันที ก่อนจะระดมกำลังของท่านพ่อเพื่อค้นหาเบาะแสของพี่สาว
สิ่งที่น่าแปลกคือ หลังจากสายลับตำหนักความลับสวรรค์ได้ยินว่าคนที่ลักพาตัวสวี่หยวนซวงไปเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญในการใช้วิชากระโดดสู่เงาและยังมีวิธีการที่เล่ห์เหลี่ยม เขาไม่เพียงแต่ใจเย็นเท่านั้น แต่ยังพูดด้วยความมั่นใจว่าสวี่หยวนซวงจะต้องกลับมาแน่นอน
“ไม่เป็นอะไรงั้นรึ?” สีหน้าของสวี่หยวนไหวเย็นชาอย่างยิ่ง
สวี่หยวนซวงรีบรั้งมือเขาไว้ทันที เมื่อนึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาดของสวีเชียน นางก็จ้องสายลับตาเขม็ง “เจ้ารู้อะไรมาใช่หรือไม่”
สายลับตำหนักความลับสวรรค์ไม่ตอบ แต่กลับกล่าวว่า “นายน้อยและคุณหนู สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือค้นหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยและจับเขาเสีย พวกเราถึงจะสามารถใช้สิ่งนี้เป็นเหยื่อล่อสวีเชียนได้ ในตัวเขามีปราณมังกรที่ค่อนข้างสำคัญถึงสองดวง”
สวี่หยวนไหวดวงตาเป็นประกาย “ตกลง”
…
สวนชิงซิ่ง
สวี่ชีอันกลับมายังจุดตั้งหลักด้วยอารมณ์ขุ่นหมองและสีหน้ากลัดกลุ้ม
เขาไม่ได้ตรงไปหาลั่วอวี้เหิงที่ห้องนอนใหญ่ และไม่ไปพบมู่หนานจือให้อับอายขายหน้า แต่กลับไปหาแม่ม้าน้อยแสนรักของเขาที่คอกม้าแทน
ม้าตัวน้อยกำลังกินอาหารอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นสวี่ชีอันเดินมา มันก็ส่งเสียงร้องยาวและโผล่ศีรษะออกไปเพื่อแสดงความรัก
สวี่ชีอันลูบแก้มมันและหยิบถั่วหนึ่งกำมือมาป้อนมัน ส่วนมือขวาที่ว่างอยู่ก็แตะที่ลำคอด้านข้างของม้าตัวน้อยเพื่อถ่ายทอดพลังปราณ ทำให้กล้ามเนื้อของมันแข็งแรงขึ้น
หลังจากมีซินกู่ สวี่ชีอันก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของม้าตัวน้อย อย่างเช่น ถ้ามันกัดแขนเสื้อสวี่ชีอัน แสดงว่ามันอยากให้เขาขึ้นไปขี่ แต่ถ้ามันเดินกระโดกกระเดกเป็นพิเศษ แสดงว่ามันไม่พอใจที่มู่หนานจือขี่มันตลอดเวลาฃ
สวี่ชีอันให้อาหารม้าไปพร้อมๆ กับสะสางข้อมูลที่ได้รับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง