บทที่ 569 หลี่หลิงซู่ “ข้าจะตระหนักรู้การตัดอารมณ์ความรู้สึก”
เหมียวโหย่วฟางตามชายฉกรรจ์มายังหน้าบันไดทางขวาของโถงพนัน แล้วขึ้นชั้นสองไปตามขั้นบันใด
ชายฉกรรจ์หยุดตรงประตูห้องส่วนตัวแล้วเคาะประตู
“เข้ามา”
เสียงก้องทุ้มอันมีเอกลักษณ์ของชายวัยกลางคนดังมาจากข้างใน
ชายฉกรรจ์ผลักประตูโดยไม่ขยับตัวจากที่เดิม แล้วทำท่า ‘เชิญ’ เพื่อบอกให้เหมียวโหย่วฟางเข้าประตู
ภายในห้องตกแต่งอย่างสวยหรูไม่ธรรมดา ด้านทิศตะวันออกวางชั้นแสดงวัตถุโบราณไว้ ด้านบนมีแจกันลายคราม เครื่องหยก ส่วนกำแพงด้านทิศใต้แขวนเต็มไปด้วยภาพเขียนพู่กันของจิตรกรชื่อดัง
ด้านทิศตะวันออกปูพรมผืนนุ่มไว้ โดยจัดวางโต๊ะชาไว้ตรงกลาง และมีชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างแข็งแรงนั่งอยู่ริมโต๊ะชา เขาสวมชุดปักลายเมฆสีน้ำเงินอมเขียว แต่งตัวมีฐานะ สง่า มีความรู้ แต่ท่าทีของเขาดุดันและทรงอำนาจ กลายเป็นภาพของร่างกายผู้ที่ฝึกวิทยายุทธ์ที่ค้ำจุนชุดผู้ดีไว้
จึงดูไม่คลับคล้ายคลับคลาทั้งสองอย่าง
เขากำลังจับกาดินม่วงเทน้ำชาที่คลุ้งไปด้วยไอน้ำหนาแน่นลงในถ้วย แล้วยกขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก จากนั้นก็มองมายังเหมียวโหย่วฟางอย่างเชื่องช้า
“เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่า”
“เหมียวโหย่วฟาง”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายรองก็ได้ สหายตามวิถีพรตล้วนเรียกข้าเช่นนี้”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “ยงโจวอยู่ที่ใดหรือ”
เหมียวโหย่วฟางไม่ได้ตอบ และถามไปตรงๆ ว่า “คุณชายรองเรียกข้ามาด้วยเหตุใดหรือ”
คุณชายรองไม่ได้โกรธ และเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“เจ้าชนะไปไม่น้อย เอาไปเท่าที่ได้เถอะ วันหน้าอย่ามาที่บ่อนพนันของข้าอีก หากเจ้าตกลง ทุกคนก็จะกลายเป็นมิตร ขณะเตร็ดเตร่ในยงโจว เจ้าแจ้งชื่อข้าได้หากพบปัญหา ข้าพอมีหน้าอยู่บ้าง”
ที่จริงแล้วเป็นคำพูดที่ล้อหลอกเขา คนอย่างคุณชายรอง ดูเยี่ยมยอดในสายตาคนธรรมดา แต่ในสายตาที่แท้จริงของพรรคพวกและครอบครัวก็เป็นเพียงสารเลวคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ใช้เงินบางส่วนเลี้ยงสมุนหลายสิบคนไว้ใต้กำมือเพื่อคบค้าผลประโยชน์กับขุนนางส่วนราชการบางคน
มหาอำนาจอย่างป้อมปราการหลงเสิน แค่หาวก็สามารถทำให้บ่อนพนันลิ่วป๋อเหลือเพียงฝุ่นควันได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยงโจวกำลังเปิดการประชุมกลุ่มจอมยุทธ์ วีรบุรุษผู้กล้าทุกหนแห่งล้วนมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า
เหล่าจอมยุทธพเนจรล้วนเป็นผู้ที่สามารถสังหารคนสิบแปดคนได้ด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีใครสามารถขัดขวางได้
เป็นคนที่เถ้าแก่บ่อนพนันสามารถเย้าแหย่ได้เสียที่ใดกัน
เหมียวโหย่วฟางยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องการเป็นมิตรเอาไว้ก่อน จะเอาตัวข้าไปก็ได้ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากถามคุณชายรอง”
ชายวัยกลางคนมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
เหมียวโหย่วฟางลูบใบหน้าอันดำมืด แล้วเอ่ยถามว่า
“ตอนที่ข้ามายงโจวเป็นครั้งแรก เมื่อวานขณะเดินผ่านที่ว่าการปกครอง ข้าพบหญิงคนหนึ่งร้องไห้เผากระดาษเงินกระดาษทองอยู่ตรงประตูที่ว่าการปกครอง ขุนนางผู้น้อยของที่ว่าการปกครองทั้งขับไล่นางและทุบตีนาง ข้าทนดูไม่ไหว จึงไปสอบถามสถานการณ์ให้แน่ชัด หญิงคนนั้นบอกว่า สามีนางชื่อจางเฮย ชอบเล่นพนัน ก่อนหน้านี้ไม่นาน จางเฮยถูกคนฆ่าตายระหว่างทางกลับจากบ่อนพนัน เงินติดตัวสูญหายอย่างไร้ร่องรอย”
สีหน้าของชายวัยกลางคนยังคงเย็นชาเช่นเดิม แล้วเอ่ยถามด้วยสายตาที่ค่อยๆ เยือกเย็นขึ้น “เจ้าอยากพูดอะไร”
เหมียวโหย่วฟางจ้องมองเขา “หญิงคนนั้นบอกว่า เจ้าพนักงานที่เคาะบอกเวลาเห็นรูปร่างของฆาตกรแล้ว คนของบ่อนพนันลิ่วป๋อเป็นคนทำ เดิมเจ้าพนักงานคนนั้นตั้งใจเข้าเป็นพยาน แต่ไม่รู้ว่าทำไมจึงล้มเลิกความคิด”
เหมียวโหย่วฟางโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วเอ่ยขึ้นขณะมองดวงตาของชายวัยกลางคนว่า
“วันนี้ข้าได้รับข้อมูลสำหรับการสืบสวนแล้ว อย่างเช่น ทักษะการพนันของจางเฮยไม่เลว เขามักจะกินเงินที่บ่อนพนันลิ่วป๋อเสมอ ในวันนั้นเขาชนะไปสองร้อยกว่าตำลึงเงินที่บ่อนลิ่วป๋อ อีกอย่างคือ ที่เจ้าพนักงานล้มเลิกความคิดก็เพราะรับตำลึงเงินจากเจ้าไปก้อนหนึ่งเป็นค่าปิดปาก”
ชายวัยกลางคนลุกขึ้นช้าๆ เขาสูงกว่าเหมียวโหย่วฟางประมาณคืบหนึ่ง เขามองลงมาพร้อมเอ่ยด้วยความเหยียดหยามว่า
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากพูดอะไร คิดจะทำอะไรหรือ ผดุงความยุติธรรมให้จางเฮยหรือ ไปฟ้องข้าที่ที่ว่าการปกครองหรือ”
ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงดัง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยามและเย้ยหยันว่า “ในเมื่อรู้…”
แสงอันเย็นเยือกสะท้อนออกมาจากรูม่านตาของเขา จากนั้นก็เห็นละอองเลือดที่พ่นออกมาจากลำคอตนเองไอรีนโนเวล
ชายวัยกลางคนวิ่งออกไปจากห้องอย่างโซซัดโซเซโดยจับลำคอของตนไว้ แต่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงบนพื้น แขนขาดิ้นทุรนทุรายไปได้ครู่หนึ่งก็หยุดการเคลื่อนไหวลง
เหมียวโหย่วฟางเก็บกริช แล้วยกกาดินม่วงขึ้นมารดมือด้วยน้ำชาที่ร้อนผ่าว เช็ดคราบเลือดบนหน้าด้วยมือที่เปียกโชก จากนั้นจึงเอ่ยด้วยความเย็นชาว่า
“ติดหนี้ชดใช้ด้วยเงิน ฆ่าคนชดใช้ด้วยชีวิต ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปตามหลักอันสมควร ราชการไม่จัดการ ข้าจัดการเอง”
…
ณ สวนชิงซิ่ง
สาวใช้สองคนกำลังถอดปลอกผ้านวมและผ้าปูเตียงขณะสตรีงามเลิศผู้นั้นอาบแสงอยู่ในลานบ้าน
พวกนางคุยกันเบาๆ
“โอ้โห เละเทะกว่าคืนก่อนอีกนี่”
“ใช่ๆ ผ้าปูเตียงเปียกหมดเลย”
“ข้าบอกเจ้านะ เมื่อวานพวกเขาอยู่ในห้องทั้งวันเลย ไม่ได้ทานมื้อเช้า มื้อสาย มื้อเย็นเลย”
“คุณชายท่านนั้นสุดยอดจริงๆ แต่ หากข้าเป็นผู้ชาย ข้าเองก็คงอดไม่ได้ที่จะตายบนผิวท้องของคุณหญิงท่านนั้น ข้าไม่เคยเห็นคนที่สวยเช่นนั้นมาก่อนเลยในชีวิตนี้”
“หรือว่าสิ่งที่สุดยอดจริงๆ จะไม่ใช่ลูกสาวคนนี้กันนะ หากเป็นเจ้าแค่เดินบนทางก็คงไม่ไหว ไม่สิ แค่ลุกจากเตียงก็คงไม่รอด”
มีแสงสีแดงผุดขึ้นบนแก้มอันงดงามของลั่วอวี้เหิงซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ในลานบ้าน แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าอันเศร้าสร้อย
‘เหตุใดสวี่ชีอันยังไม่กลับมา หากยามจื่อ (23.00-1.00 น.) แล้วเขายังไม่กลับมา ข้าจะถูกไฟแห่งกรรมคลอกตายหรือไม่…’ พอคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วอวี้เหิงก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นในทันใด
นางคือบุคลิก ‘หวาดกลัว’ ในสภาวะเจ็ดอารมณ์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง