ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 570

สรุปบท บทที่ 570 จดหมายห้าฉบับ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 570 จดหมายห้าฉบับ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 570 จดหมายห้าฉบับ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 570 จดหมายห้าฉบับ

หลี่หลิงซู่เองก็อยากออกไปข้างนอก เขาจึงรีบไล่ตามไป ตั้งใจว่าจะออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับสวี่ชีอัน

“เจ้าดูโอหังเกินไปแล้ว” สวี่ชีอันยกมือขึ้นเตือน

‘เพราะเสน่ห์เจ้ากรรมของข้าอีกแล้ว’ หลี่หลิงซู่พึมพำในใจด้วยความเคยชินพลันสำลัก เขามองแผ่นหลังของสวีเชียนอย่างท้อใจ

“ท่านอาวุโส ข้ายังไม่ได้รวบรวมเสื้อผ้าสำหรับปลอมตัวเลย”

เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นสวีเชียนโยนของบางอย่างมา หลังจากยื่นมือไปรับ เขาก็พบว่ามันคือถุงผ้าแพรปักลายดอกกล้วยไม้

ราชาแห่งท้องทะเลเฒ่าจมูกกระตุก เขามั่นใจว่านี่คือของใช้ส่วนตัวของผู้หญิง

“อุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของหรือ”

หลี่หลิงซู่ตาเป็นประกาย สีหน้าเริงร่า

ในฐานะเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ เดิมทีเขามีอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญจากอาจารย์ของเขา อีกชิ้นหนึ่งคือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

อุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของของอาจารย์นั้นถูกสองพี่น้องตงฟางยึดไป ส่วนเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็มอบให้ศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจินผู้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปแล้ว

“ขอบคุณท่านอาวุโสมาก”

หลี่หลิงซู่ดีใจเป็นล้นพ้น ต้องรู้ว่าอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของนั้นมีความสำคัญมากในการท่องยุทธภพ

แต่อุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของราคาแพงเกินไป ต่อให้เป็นเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ การสูญเสียอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของไปหนึ่งชิ้นก็เป็นทุกข์เช่นกัน

มีเพียงโหรเท่านั้นที่สามารถผลิตสิ่งนี้ได้

“ในนั้นมีหมวกคลุมหน้าอยู่” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ

หลี่หลิงซู่หยิบหมวกคลุมหน้าจากในถุงผ้าแพรออกมาสวม เขาถือโอกาสแอบมองหน้าตาของสวีเชียนและฉุกคิดในใจ

โฉมหน้าที่แท้จริงของสวีเชียนเป็นใครกันแน่

“ท่านอาวุโส นี่ไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของท่านสินะ” หลี่หลิงซู่หยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

ก่อนหน้านี้เขาตระหนักได้ว่าสวีเชียนเชี่ยวชาญด้านการปลอมตัว ดังนั้นรูปลักษณ์ภายนอกอันแสนธรรมดานี้จึงอาจไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

แต่เขาไม่มีหลักฐานและเทพบุตรก็ไม่สนใจเรื่องนี้

จนกระทั่งเมื่อวานซืนเขาเห็นลั่วอวี้เหิงและเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง หลี่หลิงซู่จึงไม่อาจเพิกเฉยได้อีก ตอนนี้เขาตั้งตารอชมโฉมหน้าที่แท้จริงของสวีเชียนอย่างใจจดใจจ่อ

“อย่าค้นหาตัวตนของข้า มันจะไม่เป็นผลดีกับเจ้า” น้ำเสียงของสวี่ชีอันสงบนิ่ง

‘เขากำลังขู่ข้าหรือ’ หลี่หลิงซู่เบ้ปาก “ท่านอาวุโส ข้าคิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก”

เพราะเป็นเพื่อนกัน ข้าจึงไม่อยากให้เจ้าใช้ฝ่าเท้าขุดคุ้ยเรื่องต่างๆ ด้วยความอึดอัดใจหลังจากรู้ตัวตนของข้า…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

เมื่อหวนนึกถึงเทพบุตรที่แสดงเคารพนบน้อมในฐานะรุ่นน้องมาตลอดทางกับท่าทางที่มีรอยคล้ำใต้ตาตอนที่ไตบกพร่อง หากในอนาคตตัวตนของเขาถูกเปิดเผย คนที่จะตายตกทางสังคมก็คือหลี่หลิงซู่

ทั้งสองคนเดินเรื่อยเปื่อยไปบนถนน ระหว่างนั้นสวี่ชีอันก็ถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ตลอด ก่อนจะเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ

หากตรวจสอบบริเวณรอบๆ แล้วมีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยปรากฏตัวใกล้ๆ เขาจะตรวจจับได้ทันที

หลี่หลิงซู่เดินเล่นในสวนโดยเอามือไพล่หลัง เห็นได้ชัดว่ามั่นใจกว่าก่อนหน้านี้มาก

ความมั่นใจนี้ไม่ได้มาจากเสน่ห์ แต่มาจากการฟื้นตัวของตบะ

ทุ่งต้าเจี่ยว ค่ายทหารรักษาเมืองเก่า

จีเสวียนต้อนรับสายสืบระดับสี่คนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบดูแลเมืองยงโจว

“ท่านนี่งานยุ่งจริงๆ นะ”

จีเสวียนถือถ้วยชา เป่าเบาๆ และมองพินิจสายสืบที่สวมเสื้อคลุมและหมวกคลุมศีรษะ

ก่อนหน้านี้ คนที่ติดต่อพวกเขาคือสายสืบระดับสี่แห่งจางโจว เนื่องจากผู้คนถูกบีบให้โอ้อวดดินแดนและทำงานเพราะสายสืบแห่งยงโจวมีงานรัดตัว เขาจึงไม่มีเวลามาจัดการเรื่องของสำนักพุทธกับสวีเชียน

สายสืบหัวเราะ สายตากวาดมองสวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวที่อยู่อีกด้านและพูดว่า “ข้าคือ ‘เฉิน’ หนึ่งในสายสืบระดับสี่ทั้งสิบสาม อันที่จริง เรื่องที่ข้าตรวจสอบเมื่อเร็วๆ นี้มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสวีเชียน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของสองพี่น้องก็เปลี่ยนไป สวี่หยวนไหวกัดฟันแน่นไอรีนโนเวล

ดวงตาของจีเสวียนเป็นประกาย

“ก่อนที่เหลยโจว สวีเชียนเคยมาที่ยงโจว เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่วังสุสานใต้ดินนอกเมืองยงโจว…”

สายสืบเฉินเล่าเรื่องความวุ่นวายที่วังสุสานใต้ดินในวันนั้นให้จีเสวียนกับสองพี่น้องตระกูลสวี่ฟังอย่างละเอียด

“ต่อมา ตระกูลกงซุนกับป้อมปราการหลงเสินก็ได้ปิดล้อมวังสุสานใต้ดิน เพื่อไม่ให้ใครเข้าใกล้ จากข่าวลือคือตระกูลกงซุนกับป้อมปราการหลงเสินร่วมมือกันไปกอบโกยสมบัติที่อยู่ข้างใน ข้าแอบไปสอบถามมามากมาย พบว่าในคืนที่ตระกูลกงซุนไปสำรวจวังสุสานใต้ดินมีคนชื่อสวีเชียนอยู่ด้วย”

จีเสวียนหรี่ตาและกล่าวช้าๆ “ตระกูลกงซุนรู้จักสวีเชียนมานานแล้ว”

สวี่หยวนไหวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เขากล้าหลอกพวกเรา พี่เจ็ด ข้าจะไปบ้านตระกูลกงซุนเดี๋ยวนี้”

จีเสวียนยกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้อย่าวู่วามและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นที่วังสุสานใต้ดิน”

สายสืบเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งความกลัวเล็กน้อย

“เหตุผลที่ข้ามาพบพวกเจ้าในตอนนี้ก็เพราะข้ากำลังสืบเรื่องวังสุสานใต้ดินอยู่ มันเป็นสุสานโบราณที่ก่อจากหินชิงกัง เก่าแก่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ข้างในมีซากศพโบราณถูกปิดผนึกไว้”

‘ซากศพโบราณหรือ’

จีเสวียนขมวดคิ้ว “อันตรายมากหรือ”

สายสืบเฉินพยักหน้า “ข้ารายงานกับเจ้าตำหนักแล้ว คำตอบของเขาคืออย่ายุ่งเรื่องคนอื่น นอกจากนี้ เจ้าตำหนักยังพูดอีกว่า นี่จะช่วยไขข้อสงสัยให้เขา”

ส่วนข้อสงสัยคืออะไร สายสืบไม่ได้บอก เพราะเขาก็ไม่รู้เช่นกัน

สวี่หยวนซวงผู้ชาญฉลาดขมวดคิ้วเล็กน้อย “พฤติกรรมของตระกูลกงซุนกับป้อมปราการหลงเสินดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล”

ด้วยรูปแบบของกองกำลังยุทธภพ เรื่องนี้ต้องยกให้ทางราชการจัดการและจะไม่ใช้กำลังคนจำนวนมากไปปิดล้อมภูเขาที่วังสุสานใต้ดินตั้งอยู่

ทั่วทั้งยุทธภพต้าฟ่งมีเพียงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวเท่านั้นที่ง่วนอยู่กับการรักษาความสงบเรียบร้อยและเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายในยุทธภพ

“จากข่าวที่ข้าไปสืบมา สวีเชียนเป็นคนบอกให้พวกเขาทำเช่นนั้น”

“สวีเชียนหรือ?!” สวี่หยวนไหวเลิกคิ้วขึ้น

สายสืบพยักหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม

เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของสวีเชียน เพียงแต่ไม่ได้คิดจะบอกสองพี่น้องนี่ แม้ว่าเจ้าตำหนักจะไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อเรื่องนี้

เหตุผลที่เหล่าสายสืบเก็บเงียบ หลักๆ เพราะมีความกังวลอยู่สองประการ หนึ่ง หากสองพี่น้องมีความรู้สึกดีๆ ต่อพี่ใหญ่คนนั้นและไม่พึงพอใจพฤติกรรมโหดเหี้ยมทำร้ายลูกของพ่อแท้ๆ การบอกพวกเขามีแต่จะเป็นปัญหา

สอง หากสองพี่น้องมีท่าทีไม่เป็นมิตรต่อสวี่ชีอัน ด้วยอุปนิสัยของฆ้องเงินสวี่ พวกเขาถูกตัดหัวแน่นอน แล้วหากสองพี่น้องประสบอุบัติเหตุ เหล่าสายสืบก็คงหนีไม่พ้นความผิด

สวี่หยวนไหวเอ่ยขึ้นทันที “ข้าจะไปบ้านตระกูลกงซุนก่อน”

“ไม่จำเป็น!”

จีเสวียนโบกมือเพื่อหยุดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นของสวี่หยวนไหวและวิเคราะห์ “บางทีนี่อาจจะเป็นการหยั่งเชิงของสวีเชียน หากพวกเราไปที่บ้านตระกูลกงซุน เขาอาจจะตัดสินข้อมูลจำนวนมากได้จากการตอบสนองของเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากเจ้าไม่สามารถขอให้ภิกษุชั้นสูงแห่งสำนักพุทธไปกับเจ้าได้ก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย อย่าลืมว่า ข้างกายเขามีโหรระดับสาม ส่วนตระกูลกงซุน ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง”

ขณะที่พูด หลิ่วหงเหมียนก็เดินเข้ามาพลางบิดเอว ดวงตาเป็นประกาย “ตระกูลกงซุนส่งคนมาแจ้งว่า พวกเขาพบเด็กนั่นที่บ่อนพนันลิ่วป๋อ”

อีกตัวอย่าง หยางเชียนฮ่วนเกิดความคิดอันกล้าหาญอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นก็ถูกท่านอาจารย์โหราจารย์ระงับไป

อีกตัวอย่างหนึ่ง ในที่สุดศิษย์พี่ซุนผู้ออกไปท่องยุทธภพก็กลับมาแล้ว แต่ทุกคนต่างก็ไม่ชอบพูดคุยกับเขาและไม่ชอบฟังเขาพูดด้วย

วันที่ศิษย์พี่ซุนอยู่ที่สำนักโหราจารย์ บรรดาศิษย์พี่กับศิษย์น้องจะพกพู่กัน หมึกและกระดาษติดตัว หากเจอศิษย์พี่ซุน พวกเขาก็จะยื่นพู่กันกับกระดาษให้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ครึ่งหนึ่งนางไปหาท่านอาจารย์โหราจารย์เพื่อพูดคุยและพบว่ามีพู่กัน หมึกและกระดาษชุดหนึ่งวางอยู่บนแท่นแปดทิศเช่นกัน

ช่วงท้าย นางบอกว่าปีหน้านางต้องไปสอนศิษย์น้องแล้ว นางรู้สึกตื่นเต้นและประหม่ามาก

แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่พอใจนัก เหล่าโหรแห่งสำนักโหราจารย์แอบตั้งชื่อเหล่าศิษย์น้องในอนาคตของนางว่า ชือตัง

ส่วนต่อมาเป็นสารของจงหลี ซึ่งบอกว่านางสบายดีอย่างรวบรัดและถามว่าเขาปลอดภัยดีหรือไม่

“หากเจ้าปลอดภัยดี ท้องฟ้าจะแจ่มใส แต่เมื่อศิษย์พี่ห้าออกจากสำนักโหราจารย์ พายุจะโหมกระหน่ำและเกิดฟ้าแลบฟ้าร้องทันที…”

สวี่ชีอันนึกถึงศิษย์พี่หญิงผู้สวมชุดคลุมเรียบๆ และมักเดินก้มหน้าเสมอ แล้วถอนหายใจในใจ

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสวี่หยวนซวงอีกครั้ง

“หากนางอยากเลื่อนขั้น เกรงว่าคงต้องเผชิญประสบการณ์แบบเดียวกับศิษย์พี่หญิงจง”

จดหมายฉบับที่สี่ส่งมาจากสวี่หลิงเยวี่ย

นางบอกว่านางกลายเป็นศิษย์นอกของนิกายมนุษย์แล้ว แต่นางไม่อยากฝึกตน ดังนั้นนางจึงแทบไม่เคยไปอารามรัตนะเลย

บนจดหมายเขียนเรื่องสัพเพเหระ

“ตั้งแต่ท่านพ่อได้เป็นหัวหน้ากองพัน ก็ซื้อส้มเขียวเป็นระยะๆ ข้ารู้ว่ามันมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น แต่ท่านแม่ก็ทำเมินเฉยเช่นเคย พี่ใหญ่รู้เหตุผลหรือไม่”

น้องสาว เจ้ากำลังหยั่งเชิงข้าหรือ อารองเพียงแค่ไปสังสรรค์ธรรมดาๆ เท่านั้นเอง เจ้าอย่าคิดมากไป จริงสิ เจ้าลองสังเกตดูว่าเอ้อร์หลางซื้อส้มเขียวบ่อยหรือไม่ หากเขาเหมือนกับอารอง ข้าแนะนำให้เจ้าแอบบอกหวางซือมู่…

“เมื่อไม่นานมานี้ฉู่ไฉ่เวยมากินดื่มที่บ้านและมอบยารักษาใบหน้าให้ท่านแม่ ท่านแม่กินไปได้ห้าวันก็ดูอ่อนเยาว์และสวยขึ้นมาก แต่ภายหลังก็ถูกหลิงอินกับลี่น่าขโมยกินจนหมด ท่านแม่ไม่อยากมีลูกสาวแล้ว นางถือไม้กวาดไล่ตีลี่น่ากับหลิงอิน…”

อาสะใภ้ พวกนางเพียงแค่หิวเท่านั้นเอง…สวี่ชีอันปิดหน้าไม่พูดไม่จา

“เมื่อวันก่อน ฮูหยินหวางเชิญข้ากับหลิงอินไปที่บ้านในฐานะแขก ผู้หญิงตระกูลหวางถือตัวว่าสูงส่ง นั่นทำให้ข้าประหม่าและหวาดกลัวมาก พี่ใหญ่รู้กลอุบายของครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยหรือไม่ ข้าไม่รู้เลย จริงสิ หลิงอินไปเรียนที่สถานศึกษาเอกชนของตระกูลหวาง ไม่กี่วันต่อมา ข้าก็ได้ยินว่าอาจารย์ผู้สอนของตระกูลหวางล้มป่วย หลิงอินบอกว่า ตั้งแต่นั้นมาอาจารย์ก็ไม่สนใจนางอีกเลย แต่อาจารย์ของตระกูลหวางแนะนำให้นางไปฟังมหาราชครูสอนพร้อมกับเหล่าพระราชโอรสและพระราชธิดาที่วัง”

อาจารย์คนนั้นแค้นเคืองอะไรมหาราชครูหรือเปล่า ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน

พระราชโอรสและพระราชธิดา หมายถึงหลานชายกับหลานสาวของฮว๋ายชิ่งและหลินอัน

พระราชโอรสเก้าองค์ของจักรพรรดิหยวนจิ่งล้วนแต่งงานมีลูกแล้ว ในบรรดาองค์หญิง องค์หญิงสามแต่งงานมีลูกแล้ว ส่วนอีกสามองค์ยังไม่แต่งงาน

ในตอนท้ายของจดหมาย สวี่หลิงเยวี่ยแสดงความคิดถึงของตัวเองที่มีต่อพี่ใหญ่อย่างสละสลวย

จดหมายฉบับสุดท้ายส่งมาจากสวี่เอ้อร์หลาง

จดหมายกล่าวถึงชีวิตประจำวันของเขาในราชสำนัก บ่นถึงบรรยากาศในวงราชการและรู้สึกกังวลเรื่องความว่างเปล่าของคลังหลวง

สวี่เอ้อร์หลางบอกว่า เขายื่นหนังสือต่อจักรพรรดิหย่งซิ่ง หวังว่าเขาจะบริจาคเงินเพื่อให้เหล่าขุนนางชั้นสูงควักเงินออกมาช่วยเหลือประชาชน

แต่ถูกจักรพรรดิหย่งซิ่งปฏิเสธ

การบริจาคเงินมีประโยชน์อะไร สุดท้ายประชาชนก็ไม่ได้รับเงินเท่าๆ กัน ส่วนคหบดีได้รับเงินคืนเต็มจำนวน! สวี่ชีอันคิดในใจ

“เมื่อเร็วๆ นี้ข้าไปที่บ้านตระกูลหวางอีกครั้งและพบว่าท่าทางของคนตระกูลหวางที่มีต่อข้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ข้าไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลังจากหลิงเยวี่ยไปเป็นแขกที่บ้านตระกูลหวางถึงเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้าคิดว่าเป็นเพราะหลิงเยวี่ยทำให้ทุกคนในตระกูลหวางประทับใจด้วยความอ่อนโยนของนาง พี่ใหญ่ว่าใช่หรือไม่”

เอ้อร์หลาง คำพูดเจ้ามันดูแปลกๆ!

……………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง