บทที่ 571 พบกันบนถนนโดยบังเอิญ
“เฮ้อ หากไม่มีสถานการณ์เลวร้าย การท่องยุทธภพยังนับว่าเป็นการเดินทางที่ไม่เลว”
สวี่ชีอันบีบช่องว่างระหว่างคิ้วแล้วเก็บจดหมายเข้าไปในอก
สถานการณ์ในต้าฟ่งล่อแหลม หากพังทลายลง ชีวิตของเขาก็คงไม่รอด
ท่านโหราจารย์เคยบอกว่าในร่างเขามีชะตาบ้านเมืองต้าฟ่งอยู่ครึ่งหนึ่ง ดวงชะตาของเขาได้รวมเป็นหนึ่งกับต้าฟ่งนานแล้ว
เมืองอยู่คนอยู่ เมืองล่มคนบรรลัย
แผนในตอนนี้คือฟื้นฟูตบะก่อน ถึงไม่สามารถดึงตะปูตอกวิญญาณออกมาได้หมด แต่ดึงออกสักสองสามเล่ม ตบะของข้าก็ฟื้นฟูได้หน่อยหนึ่ง เช่นนี้แล้วถึงสามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายได้
“นอกจากนี้ แม้เมื่อวานจะสูญสิ้นเงินทองจำนวนมาก แต่ข้อดีของการบำเพ็ญคู่ก็ประจักษ์ชัด ข้ารู้สึกว่าจุดตันเถียนจะระเบิดแล้ว พลังปราณอันแข็งแกร่งนี้…
เมื่อวานเขากับลั่วอวี้เหิงบำเพ็ญวิชาทั้งหมดในห้องบรรพกาลของลัทธิเต๋าไปหนึ่งรอบ
ตอนนี้พอเขาหลับตาลง รูปร่างขาวนวลเนียนและทรวดทรงองค์เอวที่งดงามของราชครูก็ผุดขึ้นในหัวโดยไม่รู้ตัว
ไตร้องโหยหวน จุดตันเถียนกลับปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลัน
หากเปลี่ยนเป็นสตรีนางอื่น นอกจากจะใช้สูตรโกงเกมระดับเทพแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้อีก
การบำเพ็ญคู่ของผู้นำเต๋าลัทธิมนุษย์ระดับสอง ช่างก้าวหน้ารวดเร็วอย่างปาฏิหาริย์
“หากบำเพ็ญคู่ต่อเนื่องไม่หยุด อย่างมากครึ่งปีข้าก็สามารถบรรลุระดับของอ๋องสยบแดนเหนือในตอนต้นได้แล้ว ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของระดับสาม”
สวี่ชีอันกล่าวในใจ
ทว่าผ่านเจ็ดวันนี้ไปแล้ว ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งและสำรวมตัวของลั่วอวี้เหิง น่าจะไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับเขาอีก
“ต้องโทษลูกมัจฉาอย่างเจ้าพวกหลินอันที่ไม่เอาการเอางาน หากพวกนางเป็นระดับสองคงจะดี…”
หลี่หลิงซู่อยากเห็นเนื้อหาในจดหมายมาก แต่สวีเชียนตั้งใจป้องกันและไม่ให้โอกาสเขา
“ใช่สิ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกกับเจ้า” สวี่ชีอันพลันกล่าวออกมา
หลี่หลิงซู่เห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึมก็เคร่งขรึมตามไปด้วย “เชิญผู้อาวุโสกล่าว”
“ระยะไม่กี่วันมานี้ หากพบเครื่องหมายลับในการติดต่อของนิกายสวรรค์อย่าได้สนใจ แม้ว่าผู้ที่ติดต่อจะเป็นอาจารย์ของเจ้า” เขากล่าว
เครื่องหมายลับในการติดต่อของนิกายสวรรค์? อาจารย์ของข้า? คำพูดประโยคนี้เปิดเผยข้อมูลค่อนข้างมาก หลี่หลิงซู่ทั้งงงงวยและตื่นตระหนกตกใจ
“ผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างไร”
“เรื่องนี้พูดไปแล้วเรื่องมันยาว” สวี่ชีอันจิบชาเก๋ากี้หวานๆ ไปทีหนึ่งแล้วกล่าวเนิบๆไอรีนโนเวล
“เทพธิดาปิงอี๋ของนิกายสวรรค์ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิง กำลังลงเขาไปจับกุมเจ้ากับหลี่เมี่ยวเจิน จะนำพวกเจ้ากลับไปกักขังบนเขา หลี่เมี่ยวเจินตกอยู่ในมือพวกเขาแล้ว”
???
เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มสมองหลี่หลิงซู่
เขาทำจิตใจให้สงบแล้วถามคำถามทีละข้อด้วยความฉงน “เหตุใดอาจารย์อาปิงอี๋กับอาจารย์ข้าถึงจับข้ากับหลี่เมี่ยวเจินด้วย ผู้อาวุโสทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร ดูจากคำพูดท่าน พวกเขาใกล้มาถึงยงโจวแล้วหรือ”
สวี่ชีอันตอบคำถามทีละข้อ
“เรื่องในนิกายสวรรค์ของพวกเจ้าข้าไม่รู้ชัดเจน ข่าวกรองของข้าครอบคลุมไปทั่วต้าฟ่ง และนิกายสวรรค์ของพวกเจ้าก็ไม่คิดจะทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ ในระยะไม่กี่วันนี้พวกเขาก็จะมาถึงยงโจวแล้ว”
สวี่ชีอันเชื่อว่าการเตือนเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว
อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เขารู้นิสัยของหลี่หลิงซู่ดี จุดเด่นสุดของผู้ชายห่วยๆ คนนี้คือรับฟังคำพูดของผู้อื่น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือแค่ไหน เพียงเป็นคำพูดของคนที่เขาเชื่อถือ หลี่หลิงซู่ก็จะเก็บเอามาใส่ใจ จากนั้นก็เกิดความระมัดระวังและไปสังเกตการณ์
นี่คือจุดเด่นที่ยอดฝีมือวัยหนุ่มหลายคนไม่มี
“ผู้อาวุโส อย่าล้อกันเล่น นิกายสวรรค์จะจับกุมข้ากับศิษย์น้องเมี่ยวเจินได้อย่างไร”
…
ประตูเมืองทางทิศใต้ของเมืองยงโจว
บรรดาคนที่เดินอยู่พากันหันไปมองกลุ่มคนสามคน ในบรรดาพวกเขาแบ่งเป็น นักพรตหญิงใบหน้างดงามเยือกเย็น นักพรตวัยกลางคนที่หนวดยาวถึงหน้าอก และหญิงสาวที่มีบุคลิกห้าวหาญ
ที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงก็คือ นักพรตหญิงใบหน้างดงามเยือกเย็น ใช้เชือกเส้นหนึ่งจูงหญิงสาวที่มีลักษณะท่าทางองอาจห้าวหาญผู้นั้นอยู่
มือทั้งคู่ของหญิงสาวถูกมัดไว้ และเดินตามหลังนักพรตหญิงที่มีใบหน้างดงามเยือกเย็น
‘อัปยศอดสูยิ่งนัก หากพบกับคนที่รู้จักข้า ท่วงทีของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินคงอันตรธานไปจนหมดสิ้น…’ หลี่เมี่ยวเจินบ่นอยู่ด้านหลังอาจารย์
“ข้าไม่หนีหรอก และก็หนีไม่ได้ด้วย อาจารย์ท่านเก็บเชือกมัดวิญญาณนี้ไปเถิด”
เทพธิดาปิงอี๋มีสีหน้าเมินเฉยและไม่สนใจนางเลย
“หากสหายเห็นเข้า ข้าจะเสียหน้าได้” หลี่เมี่ยวเจินพูดซุบซิบ
ตอนนี้เทพธิดาปิงอี๋ถึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หากเจ้าสามารถปลงตกได้ ก็จะไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องเสียหน้า”
หลี่เมี่ยวเจินไม่ยอมจึงพูดโต้เถียง “ถ้าท่านทำได้ ท่านก็หมอบอยู่บนพื้นแล้วเลียนเสียงสุนัขเห่าสิ”
เทพธิดาปิงอี๋หยุดฝีเท้า และจ้องมองนางอย่างเยือกเย็น ลูกตาดำขลับงดงามค่อยๆ โปร่งแสง
ครู่ต่อมา หลี่เมี่ยวเจินก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อค้นพบว่าปากทรยศตนเอง ส่งเสียงร้อง “โฮ่งๆ” ออกมา
นางรีบหุบปากทันที
“โฮ่งๆ…”
แต่ก็ไม่ได้ผล
“อา อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว ศิษย์ผิดไปแล้ว ท่านทำแบบนี้กับข้าไม่ได้…โฮ่งๆ!”
เทพธิดาปิงอี๋หมุนตัวกลับ และจูงนางเดินต่อ
“โฮ่งๆ โฮ่งๆ!”
หลี่เมี่ยวเจินเดินไปด้วย เลียนเสียงสุนัขเห่าไปด้วย นางหลั่งน้ำตาด้วยความอับอายท่ามกลางสายตาที่มองมาของผู้คนที่อยู่ข้างถนน
‘ข้าคงอยู่กับเจ้าสุนัขอย่างสวี่ชีอันนานเกินไป ถึงได้ติดโรคที่ต่ำทรามที่สุดของเขา…’ พอหลี่เมี่ยวเจินอ้าปาก ก็ส่งเสียงสุนัขเห่าออกมาอีก
“โฮ่ง!”
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง