บทที่ 572 รวมพลนิกายสวรรค์
เมื่อเผชิญหน้ากับเทพอารักษ์ตู้หนาน สวี่ชีอันรู้สึกกังวลและระแวง จนแผ่นหลังเครียดตึง ขณะเดียวกันก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกโล่งใจไปหนึ่งเปราะ
เหตุผลที่มีความคิดซับซ้อนเช่นนี้ เป็นเพราะเทพอารักษ์ตู้หนานมีสถานะเป็นจอมยุทธ์ฝ่ายสงฆ์ ความหยาบกระด้างจึงไม่น้อยหน้าจอมยุทธ์ทั่วไป
ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันจึงไม่ได้กังวลมากนัก หลังเทพอารักษ์เจอตัว
แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ์ ซึ่งมีสัญชาตญาณนักรบอันน่าสะพรึงกลัว เป็นไปได้สูงว่าหากมองผ่านท่ามกลางฝูงชนปราดเดียว ผู้ใดเผยความเป็นปรปักษ์ เขาก็รับรู้ได้
เมื่อถึงเวลานั้น คุณสมบัติพิเศษของ ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ จากเทียนกู่อาจใช้การไม่ได้
เรียกได้ว่าสุดขีดทั้งสองฝ่าย
หลี่หลิงซู่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงดึงชายม่านแพรคลุมหมวกลง ก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าปกติ
ทั้งสองฝ่ายเดินผ่านกันและกัน
ฟู่…เทพบุตรถอนหายใจด้วยความโล่งอก รอจนพ้นเงาร่างของอีกฝ่าย เขาก็พูดด้วยความหวาดหวั่น “แรงกดดันของเทพอารักษ์ขั้นสามน่าทึ่งเสียจริง”
ใช่แรงกดดันที่ไหนกันเล่า มันเป็นแรงกดดันในใจเจ้าเองหรอก! สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“หากมีเรื่องด่วน ติดต่อข้าทันที”
เขาวางแผนกลับสวนชิงซิ่ง
เดิมทีเขาต้องการร่างพักพิงปราณมังกรต่อไป แต่หลังจากเผชิญหน้ากับเทพอารักษ์ตู้หนานแล้ว เขาตระหนักได้ว่าขอความช่วยเหลือหน่อยดีกว่า เพราะอีกฝ่ายก็มีบทบาทในพื้นที่นี้เช่นกัน
นอกจากนี้ เขายังไม่พบแหล่งกบดานของภิกษุสำนักพุทธ รวมถึงไม่รู้แผนการล่าสุดของพวกเขา เรื่องนี้ทำให้สวี่ชีอันมิอาจนิ่งนอนใจได้
เขามีเหรียญเก่าที่แข็งแกร่ง อะไรก็ตามที่อยู่เหนือการควบคุม เขาจะปล่อยวางจนติดเป็นนิสัย แม้จะพลาดโอกาสด้วยเหตุนี้ก็ตาม
“เข้าใจแล้ว”
หลี่หลิงซู่พยักหน้า จากนั้นก็ได้ยินสวีเชียนถามว่า “ในยงโจวมีสหายเจ้าหรือไม่”
“ไม่มี”
หลี่หลิงซู่ส่ายหัว “แต่ข้าคิดว่าแม่นางกงซุนก็ไม่เลวเลย เพียงแต่ยังไม่มีเวลาสานสัมพันธ์กับนางอีกสักก้าว ข้ามองออกว่า นางเองก็สนใจในตัวข้า ความสนใจ มักเป็นจุดเริ่มต้นความรู้สึกดีๆ”
ขณะพูด ม่านที่บดบังเขาก็ขยับเล็กน้อย
“อืม แม่นางกงซุนเป็นหญิงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” สวี่ชีอันพยักหน้า เชิงเห็นด้วยกับเขา
รอยยิ้มแย้มขึ้นบนมุมปากหลี่หลิงซู่ ครั้นกำลังจะเอ่ยอย่างถ่อมตัวอีกไม่กี่ประโยค เขาก็ได้ยินสวีเชียนพูดขึ้น
“ข้ากลับก่อนล่ะ ลั่วอวี้เหิงกับมู่หนานจืออยู่กันเพียงลำพังในสวนชิงซิ่ง ข้ากลัวว่าพวกนางจะทะเลาะกัน”
…รอยยิ้มหลี่หลิงซู่พลันชะงักค้าง!
ไอ้ระยำเอ๊ย เจ้าอวดข้าอยู่รึ!
“กลับดีๆ ล่ะท่านผู้อาวุโส” เขาฝืนยิ้ม
หลังกล่าวลาสวีเชียนแล้ว หลี่หลิงซู่จึงเดินไปทางโรงเตี๊ยม ทบทวนสิ่งที่เคยพูดไว้ พลางพึมพำด้วยความสับสน
“เหตุใดอาจารย์อาปิงอี๋กับท่านอาจารย์ถึงจับกุมข้ากับหลี่เมี่ยวเจินด้วย พวกเราตั้งใจบำเพ็ญพรต ระลึกถึงคำสอนของนิกายสวรรค์ ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องที่ข้าสมคบคิดกับอาจารย์ป้าหลิงอวี้ จึงถูกท่านเทพสวรรค์จับได้
“ไม่หรอก ตามนิสัยของเทพสวรรค์แล้ว คงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วเหตุใดอาจารย์ถึงจับกุมข้า เล่นตลกอะไรกันหรือ ข้าเป็นเด็กที่อาจารย์อุ้มชูจนเติบใหญ่ เลี้ยงดูข้าเหมือนลูก
“ตาเฒ่าสวีเชียนนั่น ยิ่งชอบพูดให้ตกใจอยู่ด้วย”
ขณะเดินคิดไปเรื่อยๆ ไม่นานเขาก็ถึงโรงเตี๊ยม เมื่อปลายเท้าเหยียบเข้าไปในโถงรับแขกโรงเตี๊ยม หลี่หลิงซู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนก้าวถอยไปยังทางเข้าโรงเตี๊ยมด้วยความประหลาดใจ แล้วจึงเอียงหัวมองไปด้านซ้าย
บนผนังด้านซ้ายของโรงเตี๊ยม วาดลายดอกบัวเก้ากลีบด้วยก้อนถ่านขาว
นี่คือรหัสลับที่นิกายสวรรค์ใช้ติดต่อกัน
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบหมวกคลุมหน้าที่เพิ่งถอดออกแล้วสวมใหม่อีกครั้ง
ในย่ามใบนี้มีเพียงหมวกใบเดียวเท่านั้น ภายในจึงว่างเปล่า
หลังจากปกปิดใบหน้าอันหล่อเหลา หลี่หลิงซู่ก็ก้าวเข้าไปในประตูของโรงเตี๊ยม เขาพยายามควบคุมกลิ่นอายและจิตเดิม ทำให้ตนเองดูเหมือนคนปกติ
สวีเชียนมักใช้คาถา ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ กับเขาเสมอ เพียงบดบังใบหน้าและไม่เปิดเผยคาถานิกายสวรรค์ ต่อให้เดินผ่านอาจารย์ตน ก็ไม่สามารถจับได้
“นายท่าน ท่านต้องเข้าพักหรือแวะทานอาหารขอรับ?”
เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านมองเขาไม่ออก จึงเอ่ยทายตามมารยาท
หลี่หลิงซู่หยิบกุญแจห้องออกมาเชิงบอกใบ้ หลังจากเสี่ยวเอ้อร์รู้ว่าเขาผู้นี้คือแขกในร้าน ก็กะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วถอยออกไป
เทพบุตรกวาดตามองโถงรับแขก แต่ไม่เห็นเงาอาจารย์ผู้อาวุโส
จึงเดินผ่านโถงรับแขก เขาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ก่อนเดินทอดน่องไปตามทางเดินทอดยาว
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีขนาดกลาง ชั้นสองและชั้นสามเป็นพื้นที่ห้องพักและทางเดินด้านนอก
ขณะเดินทอดน่อง หลี่หลิงซู่ขับเน้นประสาทสัมผัสรับฟังให้คมชัดยิ่งขึ้น เพื่อฟังความเคลื่อนไหวภายในห้องระหว่างทาง
ขจัดเสียงรบกวน บทสนทนาที่ไร้ประโยชน์ และเสียงหึ่งๆ ครั้นเดินมาเกือบสุดปลายทาง หลี่หลิงซู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“อาจารย์ ฆ่าข้าเลยเถอะ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว…”
เสียงนี้เป็นเสียงหญิงสาวรุ่นๆ เจือด้วยความละอายใจและโศกเศร้า
หลี่เมี่ยวเจิน!
นั่นคือหลี่เมี่ยวเจินยายคนใจดำอำมหิต ผู้ทำทองไม่รู้ร้อนต่อศิษย์พี่ที่ตกทุกข์ได้ยาก
หลี่หลิงซู่ชะลอฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วรัวขึ้นกะทันหัน
สวีเชียนไม่ได้หลอกเขา อาจารย์ผู้อาวุโสมาเยือนยงโจวจริงๆ
ในเวลานี้หลี่หลิงซู่ได้ยินวาจาเย็นชาจากเทพธิดาปิงอี๋ “ข้าน่าจะทิ้งเจ้าไว้ข้างถนน เผื่อเจ้าจะได้ตระหนักถึงการปล่อยวางความรู้สึกเสียบ้าง”
อาจารย์อาปิงอี๋ยังคงชอบใช้น้ำเสียงเย็นชาและพูดจาน่ากลัวเช่นเคย…หลี่หลิงซู่พึมพำในใจ
สองมือวางบนราวรั้วกั้น แสร้งทำเป็นมองแขกเหรื่อรับประทานอาหาร ทว่าจริงๆ แล้วกำลังเงี่ยหูดักฟัง
ในฐานะเทพบุตร เขารู้จักนิสัยของอาจารย์ดี ที่มักไม่ใส่ใจว่าจะมีคนแอบฟังหรือไม่
“ท่านอยากทำก็ทำสิ แต่แก้เชือกวิญญาณให้ข้าก่อน ข้าโดนเจ้าสิ่งนี้มัดมาสิบวันแล้ว ตอนข้าอยากเข้าห้องน้ำ ท่านยังเอาแต่รออยู่ข้างนอก” หลี่เมี่ยวเจินขึ้นเสียง
ชิ! หลี่เมี่ยวเจินนะหลี่เมี่ยวเจิน วันนี้ของเจ้ามาถึงสักที…หลี่หลิงซู่เกือบหลุดหัวเราะก๊าก
“ถ้าข้าไม่มัดเจ้าด้วยเชือก เจ้าก็จะเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่น ไหนจะก่อเรื่องอีกจนได้ เราไม่ได้มีเวลามาจัดการเรื่องวุ่นวายพรรค์นั้น”
เทพธิดาปิงอี๋พูดเสียงเรียบ
ถูกต้อง นังเด็กไม่รักดีหลี่เมี่ยวเจินชอบแส่เข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง
เทพบุตรรู้สึกมานานแล้วว่า ศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจินเลือกเดินทางผิด แล้วจะปล่อยวางความรู้สึกได้อย่างไร การอยู่เหนือความรู้สึก ปล่อยให้ตนเปลี่ยนไปตามสติสัมปชัญญะต่างหาก ถึงเรียกว่าการปล่อยวางความรู้สึก
สิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินทำลงไป ใช่เรื่องที่ศิษย์นิกายสวรรค์ทำหรือไม่
ไม่แปลกใจที่อาจารย์อาปิงอี๋ต้องการลงโทษนาง
“สิ่งสำคัญสำหรับพวกเราตอนนี้คือหาหลี่หลิงซู่ให้พบ แล้วนำเขากลับไปที่นิกายสวรรค์” เทพธิดาปิงอี๋กล่าวเสริม
ตามหาข้างั้นรึ? ในใจหลี่หลิงซู่สั่นสะท้าน มุมปากคว่ำลง รอยยิ้มมีความสุขค่อยๆ อันตรธานหายไป
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงเฮ้อหนึ่งเสียง พลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นมัวเที่ยวเล่นซุกซนอยู่บนหน้าท้องสตรีที่ใด”
‘เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า!’
หลี่หลิงซู่รู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจ ก่อนได้ยินอาจารย์ตน นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงพูดเสียงเรียบ
“หากพบหลี่หลิงซู่ ข้าจะกําราบเขาที่ตีนเขา แล้วจองจำเป็นเวลาสามปี จนกระทั่งเขาปล่อยวางความรู้สึก”
‘มาเพื่อจับกุมข้ากับหลี่เมี่ยวเจินจริงด้วย…’
หลี่เมี่ยวเจินเถียงทันควัน “ถ้าเขาไม่เปลี่ยนนิสัยล่ะ”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ “จับตอนแล้วก็ไม่มีผลต่อการบำเพ็ญ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง