บทที่ 574 เรื่องน่าอับอายของลั่วอวี้เหิง
หลังจากไป๋หู่เปิดประตู เขาก็เดินนำพาคนชุดดำเข้ามายังห้องโถง
ภายในห้องโถงที่สว่างไสวไปด้วยแสงเทียน มีจีเสวียนและพวกของเขานั่งอยู่ รวมถึง สายสืบขั้นสี่แห่งตำหนักความลับสวรรค์ที่ประจำอยู่เมืองยงโจวด้วย
จีเสวียนลุกขึ้นเพื่อต้อนรับ พร้อมกับประสานมือทักทายอีกฝ่ายว่า “คารวะเหล่าผู้อาวุโส”
ชังหลงผู้เป็นหัวหน้าส่งเสียง ‘อืม’ ก่อนจะหันหน้าไปพยักหน้าให้สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหว แล้วค่อยนั่งลง ส่วนคนชุดดำทั้งเจ็ดก็ยืนอยู่ข้างเขาอย่างเงียบๆ
“หาคนคนนั้นเจอหรือเปล่า?” ชังหลงเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาทั้งทุ้มต่ำและแหบแห้ง ราวกับบริเวณลำคอได้รับบาดเจ็บมา
“เจ้าก็น่าจะรู้ดีนะ เจ้าตำหนักถึงกับจัดการด้วยตัวเอง ก็ย่อมหาคนคนนั้นลำบากมากน่ะสิ” สายสืบขั้นสี่แห่งตำหนักความลับสวรรค์ เอ่ยอย่างราบเรียบ
ชังหลงผงกศีรษะ ถอดเสื้อคลุม แล้วกล่าวด้วยเสียงแหบและทุ้มต่ำ “ปราณมังกรเล่าเ?”
“ยังตามหาอยู่” สายสืบของตำหนักความลับสวรรค์ตอบ
หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง ชังหลงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ข้าไม่พอใจกับผลลัพธ์ของพวกเจ้ามาก ไม่ว่าจะสำนักพุทธ ตำหนักความลับสวรรค์ หรือพวกเจ้าต่างก็เสียเวลาหลายวัน เรื่องตามหาคนคนนั้นไม่เจอน่ะไม่เป็นไร แต่กระทั่งผู้ถูกปราณมังกรอาศัยก็ยังไม่เจออีกนี่สิ”
‘คนคนนั้นที่ว่าหมายถึงสวีเชียนหรือซุนเสวียนจี?’ จีเสวียนและคนอื่นๆ คิดในใจ
“ประชากรเมืองยงโจวมีตั้งแสนคน การคิดจะตามหาคนคนเดียว ก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร” สายสืบขั้นสี่กล่าวต่อ
“ระยะเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่พวกเราหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเจอก่อนคนคนนั้น”
“ว่าแผนการของพวกเจ้ามา” ชังหลงไม่ออกความเห็น แต่ดูก็ไม่ได้สับสนหรืองงในคำพูดของอีกฝ่าย
สายสืบตำหนักความลับสวรรค์จึงกล่าวต่อว่า “ง่ายมาก ก็ไปตามหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่คุณชายจีเสวียนบังเอิญเจอในชิงโจวคนนั้นสิ เขาคือหนึ่งในเก้าแห่งปราณมังกร เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการล่อให้คนคนนั้นโผล่ตัวออกมา และเพื่อที่จะนำหน้าอีกฝ่ายหนึ่งก้าว ภิกษุของสำนักพุทธคงคอยออก ‘ลาดตระเวน’ เมืองยงโจวทุกคืน
“เขาต้องลูบหน้าปะจมูกเป็นแน่ คงจะพยายามขัดขวางการตามหา แล้วเราก็จะถือโอกาสนี้ในการตามหาผู้ถูกอาศัยด้วยเลย
“ในตอนนี้ พอรู้มาบ้างว่าคนข้างกายของสวีเชียนคือผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ลั่วอวี้เหิง และซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์”
ชังหลงยกมือขึ้น ก่อนจะเอ่ยขัดจังหวะว่า “เขารู้พลังต่อสู้ฝั่งข้าหรือเปล่า?”
“สำนักพุทธดันไปแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาเลยรู้จำนวนของยอดฝีมือในสำนักพุทธ รวมถึงเจ้าด้วย…” สายสืบเฉินเหลือบมองสวี่หยวนซวง แล้วพูดขึ้นว่า “ส่วนใหญ่ก็รู้ดีแก่ใจนั่นแหละ”
ชังหลงถือโอกาสนี้มองสวี่หยวนซวงโดยไม่ถามอะไร ก่อนจะกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่เขาจะละทิ้งปราณมังกรดวงนี้ก็มีมากขึ้น ปราณมังกรทั้งเก้า หากละทิ้งไปแล้วก็แทบเป็นไปไม่เลยที่จะได้ปราณมังกรมา หลังจากออกยงโจว ตามหาปราณมังกรดวงอื่นจึงดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า”
สายสืบตำหนักความลับสวรรค์กลับยิ้มเอ่ยว่า “การล่าสัตว์ไม่ว่าครั้งใดก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกครั้ง ฉะนั้นต่อจากนี้ กลุ่มดาวทั้งเจ็ดจะหยุดภารกิจทั้งหมด แล้วแฝงตัวอยู่ในยุทธภพแทน เพื่อคอยตามล่าสวีเชียนจนกว่าเขาจะถูกจับกุม
“หากเขารู้จักถอยในสถานการณ์ลำบาก พวกเราก็จะยิ้มรับขณะที่ได้ปราณมังกรมา แล้วค่อยพาผู้ถูกอาศัยกลับยังเมืองเฉียนหลง การขัดขวางไม่ให้ต้าฟ่งรวบรวมปราณมังกร ก็เป็นภารกิจของพวกเราเช่นกัน ยิ่งปราณมังกรกระจัดกระจายอยู่ข้างนอกนานเท่าไร ต้าฟ่งก็จะยิ่งโกลาหลมากเท่านั้น”
ทันใดนั้นเอง สวี่หยวนไหวพลันกล่าวเสียงดังว่า “ชังหลง ยามที่เจ้าตามล่าสวีเชียน ข้าอยากให้เจ้าสังหารเขา”ไอรีนโนเวล
ชังหลงเพียงส่งเสียง ‘อา’ ก่อนจะหัวเราะเสียงแหบพร่าตอบว่า “ชีวิตของเขามีค่าดุจทองคำเชียวนะ นายน้อยหยวนไหวมีความแค้นต่อเขารึ?”
สวี่หยวนไหวกัดฟันพูด “แค้นฝังหุ่นเลยล่ะ”
สวี่หยวนซวงที่อยู่ข้างกายก้มหน้าลง ก็วางข้อศอกลงพนักแขน แล้วใช้มือขวากุมใบหน้า ท่าทางราวกับไม่อยากจะพูดสิ่งใด
นางรู้ความคิดของสวี่หยวนไหวดี เขาคิดไปแล้วว่าตัวนางถูกสวีเชียนทำให้ด่างพร้อย และไม่เชื่อคำอธิบายของนางเลยสักนิด
แต่เรื่องนี้ยังหาจุดที่ช่วยยืนยันคำอธิบายของนางไม่ได้ เลยไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งหากยิ่งอธิบายก็คงยิ่งสับสนกันไปใหญ่
สวี่หยวนซวงเลยถอดใจที่จะพูด
จากนั้นชังหลงก็พูดอย่างเรียบนิ่งว่า “เมื่อถึงเวลาที่จับกุมตัวสวีเชียนได้แล้ว แม้นายน้อยจะทุกข์ทรมานอย่างไร ก็ยังต้องปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ดี”
น้ำเสียงของเขาดูทั้งสบายใจและเปี่ยมความมั่นใจ
ฉีฮวนตานเซียงพลันพูดแทรกขึ้นมา “คนผู้นี้มีวิชาแปลกประหลาดยิ่ง และยังเชี่ยวชาญวิชากู่หลากหลายรูปแบบ คู่ควรแก่การศึกษานัก”
หลิ่วหงเหมียนหัวเราะคิกคัก “ด้วยการปิดล้อมจับกุมของสำนักพุทธที่มีพระอรหันต์ขั้นสอง เทพอารักษ์ขั้นสาม รวมถึงกลุ่มดาวทั้งเจ็ด ไหนจะการช่วยเหลือจากพวกเราอีก ตราบใดที่สวีเชียนนั่นติดกับดัก ถึงจะติดปีกก็หนีไม่รอดด้วยซ้ำ ใครก็ไม่สามารถช่วยเขาได้”
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับคำพูดของนาง
กำลังหลักที่ออกตามล่าจับกุมนั้นล้วนคือยอดฝีมือเหนือมนุษย์ทั้งนั้น ทว่าพลังการต่อสู้ของกลุ่มของจีเสวียน และเหล่า สายสืบตำหนักความลับสวรรค์ขั้นสี่ก็น่าเกรงขามไม่แพ้กันเลย
ผู้มีฝีมือขั้นสี่แต่ละคนต่างเลื่องชื่อลือนามในยุทธภพ หาใช่คนไร้ความสามารถไม่ไอรีนโนเวล
จู่ๆ จีเสวียนก็กล่าวออกมา “แล้วจะรับรองได้อย่างไรว่าสำนักพุทธก็ไม่ใช่พวกกลับกลอก จะไม่แย่งชิงปราณมังกรกับพวกเรา?”
ถึงกองกำลังกลุ่มดาวทั้งเจ็ดมีพลังเทียบเท่าขั้นสาม ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกองกำลังของสำนักพุทธในเมืองยงโจว ก็ยังห่างชั้นกันอยู่ดี
สายสืบเฉินจึงตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”
เขาไม่อธิบายอันใด
จีเสวียนก็ค่อยๆ กวาดสายตามองฝูงชน ก่อนจะก้มหน้าลง แล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
…
ยามนี้หิมะตกหนัก จนถนนเส้นหลักที่อยู่นอกเมืองถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเองก็ปรากฏสองร่างเงาที่สวมใส่เสื้อคลุมต้าฉ่าง กำลังเดินทางอยู่กลางพายุหิมะ โดยมีเสียงย่ำเท้า ‘สวบสาบ’ ดังเป็นระยะๆ
“ประตูเมืองปิดไปแล้ว”
เหิงหย่วนผู้มีรูปร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้น แล้วมองบนกำแพงเมืองอันมืดมิด
ตรงกลางระหว่างบนกำแพงเมืองอันมืดมิดและประตูเมืองที่ปิดไปแล้วนั้น ถูกสลักไว้สองคำก็คือ ‘ยงโจว!”
ซึ่งพวกเขาได้ติดตามผู้อาวุโสสองคนจากนิกายสวรรค์ ร่วมเดินทางจนมาถึงยงโจว
หลังจากผ่านช่วงเวลาการฝึกฝนอันยากลำบากนี้มา ในที่สุดเหิงหย่วนก็สามารถควบคุมพลังเทพระดับเพชรได้ อีกทั้งพลังต่อสู้ก็เลื่อนสู่ขั้นสี่
ทว่าตรงหว่างคิ้วของเขานั้นก็มีความเคร่งเครียดและความเศร้าโศกเพิ่มขึ้นในทุกๆ วันเช่นกัน
ฉู่หยวนเจิ่นพลันเรียกกระบี่บินออกมา กล่าวว่า “เข้าไปในเมืองกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน…”
เหิงหย่วนหันไปทางประตูเมือง แล้วพูดเสียงเบา “มีคนอยู่”
เขาย่างกรายเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ จึงพบว่ามีร่างคนสองคนกำลังขดตัวงออยู่บริเวณประตู คนหนึ่งตัวโตอีกคนตัวเล็ก โดยสวมเสื้อผ้ามอมแมมทั้งขาดรุ่งริ่ง คนหนึ่งเป็นชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ส่วนอีกคนเป็นเด็กรูปร่างผ่ายผอม
ดูเหมือนจะเป็นปู่หลานคู่หนึ่ง
พวกเขากอดกันแน่นท่ามกลางความหนาวจากพายุหิมะ ทว่าไฟแห่งชีวิตได้ดับมอดไปนานแล้ว
“อามิตตาพุทธ”
เหิงหย่วนพยายามแยกตัวพวกเขาออกจากกัน แต่กลับพบว่าปู่หลานคู่นี้ตัวแข็งไปแล้ว เสมือนน้ำแข็ง เป็นประติมากรรมที่ไร้ซึ่งชีวิต
เห็นได้ชัดเจนว่าคนผู้นี้คือจอมยุทธ์ภิกษุ และเป็นภิกษุที่จิตใจเมตตายิ่ง เขาใช้สองมือปะปนไปด้วยเกล็ดหิมะ ขุดพื้นดินที่แข็งราวกับเหล็ก เพื่อฝังศพให้กับสองปู่หลานคู่นี้
จากนั้นเขาก็นั่งลงหน้าหลุมศพ แล้วท่องบทสวดโปรดสรรพสัตว์
ส่วนฉู่หยวนเจิ่นก็ยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งเงียบ
ตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมา พวกเขาก็พบเรื่องเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
ทุกๆ ปีจะมีคนหนาวแข็งตายอยู่ตลอด เพียงแต่ฤดูหนาวปีนี้ลำบากเป็นพิเศษ พวกผู้คนที่มีฐานะยากจน ก็ได้แต่ประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ เท่านั้น
‘พวกที่ต้องระหกระเหินไปเรื่อย บ้างก็เป็นผู้ลี้ภัยไม่ก็ขอทาน ซึ่งเดิมทีก็แทบเอาตัวไม่รอดพ้นฤดูหนาวด้วยซ้ำ’
‘เช่นนั้นแล้ว ปีนี้จะมีคนตายไปมากเท่าใดกัน?’
ถึงฉู่หยวนเจิ่นจะยังไม่รู้ แต่ตัวเขารู้ว่า การประชากรลดน้อยลงเช่นนี้ ในอนาคตอาจจะส่งผลกระทบอันร้ายแรงที่น่ากลัวได้
และเขายังรู้อีกว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอารัมภบทเท่านั้น
ฤดูหนาวเพิ่งจะเริ่ม
ทว่าตลอดทั้งฤดูหนาวนั้น ก็ยังคงเป็นเพียงอารัมภบทอยู่ดี
“เลิกเสียทีเถอะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง