บทที่ 575 หักหลัง
หาตัวผู้ครองปราณมังกรพบแล้ว?
สวี่ชีอันดีใจเหลือล้น เขาวางมือลงบนราวบันไดแล้วกระโดดลงไปจากชั้นสี่
“เจ้านั่นอยู่ที่ไหน”
ขณะที่เอ่ยพูด เขาก็โบกมือไปทางด้านหลัง ชุดคลุมตัวยาวสีฟ้าลอยตามออกมาแล้วเข้ามาห่มตัวเขา
หลี่หลิงซู่เดิมทีก็ไม่มีอะไร แต่หางตาก็มองเห็นลั่วอวี้เหิงบินลงมาจากหอสังเกตการณ์เช่นกัน
ราชครูหันหน้ามองฟ้า นางใช้ปิ่นเรียบๆ หนึ่งอันมวยผม ทั้งเรียบง่ายและสะอาดเรียบร้อย เมื่อเทียบกับหลายวันก่อน บรรยากาศรอบตัวนางเปลี่ยนไปมาก ที่หว่างคิ้วก็มีความโศกเศร้าจางๆ พัวพันอยู่
ริ้วแดงบนใบหน้าไม่จางหายไป คิ้วขนงและดวงตาล้วนทรงเสน่ห์
‘งดงามราวกับบุปผายามวสันต์…’ หลี่หลิงซู่ทอดถอนใจ เขาบังคับให้ตนเองอย่าไปมองนางอีก จากนั้นก็กลับมาทำสีหน้าจริงจังแล้วเอ่ย
“อยู่ที่หอนางโลมชื่อ ‘ชุนอี้หนง’”
“ชุนอี้หนง?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด “นี่ไม่ใช่ชื่อของหอนางโลมทั่วไป”
คำขึ้นต้นของหอนางโลมมักจะเป็นคำประเภท ‘หอ โรง เรือน’ อะไรทำนองนั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนด
“จริงๆ มันไม่ใช่หอนางโลมทั่วไป หากพูดให้ถูกต้องบอกว่าเป็นชุมนุมตำรา” หลี่หลิงซู่เล่าถึงข้อมูลที่ได้มาจากตระกูลกงซุนแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีถูกก่อตั้งโดยบุตรีตระกูลเศรษฐีที่รักในบทกวีผู้หนึ่ง มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงแก่ปัญญาชนโดยเฉพาะ รวมถึงเอาไว้ใช้จัดงานชุมนุมวรรณกรรมด้วย ต่อมาตระกูลก็ประสบภัย ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก จึงเปลี่ยนจากชุมนุมตำราไปเป็นหอนางโลม และว่าจ้างสตรีมากพรสวรรค์ที่ครอบครัวประสบภัยเช่นเดียวกันมาขายศิลปะ เป็นการให้หญิงงามมานั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนบัณฑิต”
กล่าวจบหลี่หลิงซู่ก็คิดอย่างสงสัยว่า ‘ดูเหมือนสวีเชียนจะเข้าใจเรื่องหอนางโลมมากเลยนี่นา’
สวี่ชีอันเข้าใจเรื่องนี้ในทันที คำสี่คำจึงแล่นเข้ามาในหัว ‘คลับที่มีธีม’!
สถานที่ประเภทนี้พบได้ทั่วไปในต้าฟ่ง ที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือหอคณิกา
ธีมหลักของหอคณิกาก็คือดนตรี ละคร กายกรรม และอื่นๆ แต่ก็ยังเป็นธุรกิจขายเนื้อขายตัวเช่นกัน
อีกอย่าง ยังมีอารามเต๋าบางทีที่มีลักษณะเช่นนี้อยู่ด้วย ในนั้นล้วนมีแต่นักพรตหญิงที่มีผิวพรรณงดงาม จากนั้นจะแสร้งแสดงธรรมให้กับผู้แสวงบุญ แต่พูดไปพูดมาก็เริ่มกลิ้งไปอยู่ใต้ผ้าห่มกันแล้ว
สำหรับพวกผู้แสวงบุญแล้ว สตรีที่พวกเขาหลับนอนด้วยไม่ใช่สตรีในโลกปุถุชน แต่เป็นนักพรตหญิง
ให้ความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
‘ชุนอี้หนง’ ที่ว่านี่ก็เช่นเดียวกัน
สวี่ชีอันหันไปมองลั่วอวี้เหิง “ราชครู พวกเราไปกันเถอะ”
เพื่อเป็นการป้องกัน เขาจึงนำลั่วอวี้เหิงไปด้วย เมื่อมีพลังต่อสู้มากพอก็สามารถต่อกรกับอันตรายที่ไม่แน่นอนได้แล้วไอรีนโนเวล
…
ทุ่งต้าเจี่ยว ค่ายทหาร
สายสืบเฉินยื่นมือออกไปจับนกพิราบที่บินเข้ามาในเรือน แล้วดึงกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ที่ผูกติดกับกรงเล็บของมัน
เมื่อเขาอ่านเสร็จก็หันไปเอ่ยกับพวกจีเสวียนที่อยู่ด้านหลัง
“พบตัวผู้ครองปราณมังกรแล้ว”
คณะของจีเสวียนที่เดิมวางแผนจะออกไปตามหาหลังมื้อเช้ารู้สึกตกใจกับข่าวนี้มาก
“อยู่ที่ใด”
ไป๋หู่ หนึ่งในกลุ่มดาราเอ่ยถาม
สายสืบเฉินหัวเราะ
“อยู่ที่หอนางโลมชื่อ ‘ชุนอี้หนง’”
“เมื่อคืนเกิดเรื่องระหว่างสตรีผู้หนึ่งกับลูกค้า วุ่นวายกันยกใหญ่ พอเรื่องแพร่ออกไปจึงเปิดเผยที่ซ่อนตัวออกมา”
นักพรตเต๋าเจียวเย่ส่ายหน้าหัวเราะ “มิน่าตามหาในโรงเตี๊ยมก็ไม่เจอตัว ที่แท้เจ้านี่ก็ซ่อนอยู่ในหอนางโลมนี่เอง”
สวี่หยวนซวงแก้คำพูดให้ “นี่ไม่ใช่การซ่อนตัว แต่โชคชะตาทำให้เขาหลบเลี่ยงเคราะห์ร้ายได้ เขาจึงเลี่ยงที่จะไม่มาโรงเตี๊ยม”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าเขาไม่ควรมีเรื่อง แต่ควรซ่อนตัวเงียบๆ ก่อนที่เราจะหาตัวเขาพบเช่นนั้นสินะ”
สีหน้าของสวี่หยวนซวงเย็นชา นางเอ่ยเสียงเรียบ
“บางทีเขาอาจจะหนีและกำลังไปซ่อนตัวจากพวกเราอีกรอบแล้ว หรือไม่ก็มีคนที่มีโชคชะตามากกว่าตามหาเขาพบก่อน อย่าลืมล่ะว่าสวีเชียนมีปราณมังกรอยู่กับตัวสองสาย”
จากคำอธิบายของนาง สาเหตุที่ผู้ครองปราณมังกรถูกเปิดโปงนั้นเป็นเพราะสวีเชียนกำลังตามหาเขา
“รอช้าไม่ได้แล้ว ต้องรีบไป” จีเสวียนหันไปมองสายสืบเฉินแล้วเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ดูจากหูตาของตระกูลกงซุนในยงโจว พวกนั้นคงจะได้รับข่าวไม่ช้าไปกว่าพวกเราแน่”
สายสืบเฉินพยักหน้า “ข้าจะแจ้งภิกษุสำนักพุทธทันที อีกฝ่ายมีลั่วอวี้เหิงอยู่ด้วย อาศัยแค่พวกเราคงจะต่อกรไม่ได้แน่”
นักพรตเต๋าเจียวเย่พลันเอ่ยขึ้นมา “จะดีกว่าถ้าไม่ปรากฏตัวตรงๆ แล้วดักซุ่มอยู่ใกล้ๆ เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวจนถอยไปได้ก่อน”
…
ชุนอี้หนง
ในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างสง่างามและเปี่ยมกลิ่นอายความเก่าแก่ สตรีในชุดผ้าโปร่งผู้มีเรือนกายสง่างามกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หลังโต๊ะ
รูปสลักสัตว์ทองบนโต๊ะกำลังพ่นควันหอมออกมา
สตรีผู้นี้มีใบหน้างามเสลา ยามพลิกม้วนหนังสือก็มีท่าทีรู้หนังสือแบบบุตรีของตระกูลผู้ดีมั่งมีคนหนึ่ง
แต่ชุดที่นางสวมกลับซ่อนเร้นกิเลสปรารถนาและยั่วยวนบุรุษยิ่งนัก
บุคลิกสองอย่างสอดประสานกันจนเกิดเป็นเสน่ห์ที่ยากจะบรรยาย
เหมียวโหย่วฟางยืนอยู่ข้างหน้าต่างและกำลังชื่นชมทิวทัศน์หิมะด้านนอก หิมะกำลังตกหนักทีเดียว
ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันกลับมามองสตรีที่นั่งอยู่หลังโต๊ะแล้วเกาศีรษะ
วันนั้นเขาสังหารเจ้าของบ่อนพนันลิ่วป๋อด้วยดาบเดียว หลังจากดื่มด่ำกับความสุขของการแก้แค้น เดิมทีเหมียวโหย่วฟางก็วางแผนจะหาโรงเตี๊ยมสักแห่งเพื่อเข้าพัก
แต่ระหว่างทางเขาก็เจอกับโจรขโมยกระเป๋าของสตรีสกุลดี เขาจึงเข้าไปช่วยชิงกระเป๋ากลับมาคืนสตรีผู้นั้นอย่างผู้ผดุงความยุติธรรมแล้วเอาชนะโจรร้ายได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีที่มีใบหน้างดงามราวบุปผาผู้นั้นจะเป็นหนึ่งในหญิงชั้นนำใน ‘ชุนอี้หนง’ แห่งนี้ มีนามว่าจื่อยวน
แม่นางจื่อยวนมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเขาเป็นอย่างมาก นางเชิญให้เขาพักที่ ‘ชุนอี้หนง’ เหมียวโหย่วฟางเป็นชายหนุ่มที่มีกำลังวังชาดี ไหนเลยจะต้านทานการยั่วเย้าได้ ทางหนึ่งพูดว่าไม่เอาๆ อีกทางก็ถอดกางเกงออกไปแล้ว
เมื่อคืนมีคุณชายคนหนึ่งที่แต่งตัวแบบบัณฑิตอยากให้จื่อยวนไปอ่านหนังสือด้วย ท่าทางดื้อรั้นเอาแต่ใจยิ่ง จื่อยวนไม่ยอมไป เขาจึงต้องใช้กำลังสั่งสอน
พอเจ้านั่นถูกเหมียวโหย่วฟางสั่งสอนไปยกหนึ่งก็รีบเผ่นออกจาก ‘ชุนอี้หนง’ ทันที
‘เหมียวโหย่วฟางหนอเหมียวโหย่วฟาง เจ้าจะต้องเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่นะ จะมามัวแต่อาลัยอาวรณ์ความงามไม่ได้’ …เหมียวโหย่วฟางกระแอมไอแล้วเอ่ยขึ้น
“แม่นางจื่อยวน วันนี้ข้าต้องไปแล้วนะ”
หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเงยหน้าขึ้นมามองแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม
“คุณชายเหมียวต้องการท้าทายผู้แข็งแกร่งในงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์เพื่อขัดเกลาวิทยายุทธ์ ถ้าอย่างนั้นอยู่ในค่ายทหารก็มิสู้อยู่กับข้าน้อยนะเจ้าคะ”
หมายความว่าไม่ให้เขาไป
เหมียวโหย่วฟางไร้คำพูดไปชั่วขณะ สัญชาตญาณบอกให้เขาออกไปจากที่นี่ เหมียวโหย่วฟางคิดว่าเป็นเพราะตนหมกมุ่นอยู่กับความงามของแม่นางจื่อยวนในช่วงสองวันนี้ ดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา
“เพราะต้องท้าทายยอดฝีมือเพื่อขัดเกลาวิทยายุทธ์ ข้าจึงไม่อาจแบ่งจิตใจไปที่ไหนได้ จะต้องมีสมาธิอยู่กับการฝึกตน”
แม่นางจื่อยวนเม้มริมฝีปาก ความผิดหวังวาบผ่านแววตา จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน
“เช่นนั้นคุณชายค่อยไปพรุ่งนี้ ดีหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง