บทที่ 576 ชุดดำขวางทาง
มือยักษ์ลงมาจากฟ้า ราวกับยอดเขากดทับ ทำให้หลี่หลิงซู่รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าอึดอัด ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะวิ่งหนีหรือหลบเลี่ยง ในใจเฝ้ารอแต่ความตาย
หลี่หลิงซู่จ้องมองมือยักษ์บดบังท้องฟ้าด้วยความสิ้นหวัง นัยน์ตาของเขาเหลือเพียงแสงสีทอง สติของเขาจมสู่ความมืดอันไร้สิ้นสุด
“อมิตตาพุทธ!”
เสียงท่องบทสวดปลุกเทพบุตรให้ตื่นจากสภาวะดำดิ่ง เขาหันมองรอบข้างอย่างมึนงง นี่คือโลกที่ปกคลุมไปด้วยเมฆมงคล แสงสีทองจรัสส่องประกายท่ามกลางชั้นเมฆในท้องฟ้า
เสียงสวดแว่วๆ ดังก้องที่ข้างหู
ในชั่วพริบตานี้ ภายในใจหลี่หลิงซู่โปร่งโล่ง ไม่มีความฟุ้งซ่านแม้แต่น้อย อดพนมมือขึ้นไม่ได้
“ประสกเป็นใคร”
เสียงอันกว้างไพศาลกึกก้อง ร่างยักษ์นั่งยืดตรงบนท้องฟ้าข้างหน้า ดอกบัวที่ลอยกลางอากาศมีขนาดใหญ่เท่าภูเขาลูกเล็ก พระอรหันต์คิ้วขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนฐานดอกบัวยิ่งดูเหมือนยักษ์ค้ำฟ้า
หลี่หลิงซู่ยิ่งรู้สึกร่างกายเล็กจิ๋ว อยากหนีเข้าสู่ประตูแห่งธรรม
ไม่ใช่ว่าจิตใจของหลี่หลิงซู่ไม่มั่นคง การเผชิญหน้ากับพระอรหันต์ในแดนพุทธ คงน่าแปลกหากรักษาจิตใจให้สงบนิ่งอยู่ได้
มีเพียงจอมยุทธ์ที่ดื้อรั้นที่สุด จึงจะต่อต้านไม่เลื่อมใสในพุทธจิตได้
“ข้าน้อยหลี่หลิงซู่ เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์”
เขาเผยตัวตนด้วยใจที่สงบ
คาถาของฉานซือทั่วไปยังมีแบบแผน ต้องท่องออกเสียง ส่วนคาถาของพระอรหันต์ไร้รูปมิอาจมองเห็น
“สวีเชียนอยู่ที่ไหน”
“สวนชิงซิ่งชานเมืองทางเหนือของเมืองยงโจวขอรับ” หลี่หลิงซู่ขายสหายด้วยใจที่สงบ
“มีใครข้างกาย”
พระอรหันต์ตู้ฉิงจีบมือยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้อ้าปาก เสียงน่าเกรงขามอันไพศาลดังก้องอยู่ในแดนพุทธ
“ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ รวมถึงสาวงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง มู่หนานจือ พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือ”
หลี่หลิงซู่เอ่ย แม้แต่เขาเองก็ไม่รับรู้ว่าน้ำเสียงดูเศร้าลง
“เขาปรารถนาสิ่งใด”
“ต้องการจับตัวผู้ถูกปราณมังกรอาศัย แต่ช้าไปก้าวหนึ่ง จึงถูกไต้ซือช่วงชิงไปก่อนเสียได้” หลี่หลิงซู่เอ่ยอย่างเสียดาย
“เหตุใดจึงเปิดเผยเจ้าออกมา”
พระอรหันต์ถามอีก
“ไม่ทราบ” หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างเศร้าโศกในทันใด “สวีเชียนเดรัจฉานนี่ ข้าหนักเอาเบาสู้มาตลอดทาง เคารพนอบน้อมกับเขา เขากลับขายข้าในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าน่าจะขายเขาไปก่อน ไม่เพียงคบชู้กับลั่วอวี้เหิง แม้แต่สาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งก็เป็นภรรยาของเขา ไต้ซือ ความริษยาทำให้ใบหน้าของข้าน่าเกลียดน่าชัง”
เขาเหมือนผู้ศรัทธาที่เลื่อมใส ตอบคำถามของพระอรหันต์ตู้ฉิงพลางสาธยายความกลัดกลุ้มของตน
พระอรหันต์ตู้ฉิงเอ่ยอย่างช้าๆ “รูปคือความว่างเปล่า”
หลี่หลิงซู่ราวกับถูกอสนีบาตฟาด ความริษยาภายในใจมลายหายสิ้น แล้วเอ่ยพึมพำ
“รูปคือความว่างเปล่า รูปคือความว่างเปล่า”
พึมพำซ้ำไปมาไม่หยุดราวกับรู้แจ้ง
…
ณ โรงเตี๊ยม
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงรวบรวมข้อมูลของวันนี้พร้อมเอ่ย
“ข้าสืบพบเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้สวีเชียนนั่นเคยมาที่ยงโจว เหมือนจะเจรจากับตระกูลกงซุนในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมเยียนคฤหาสน์กงซุน”
พูดจบเขาก็มองไปที่เทพธิดาปิงอี๋ รอข่าวจากอีกฝ่าย
เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยอย่างแผ่วเบา
“สองวันมานี้ เทพารักษ์ของสำนักพุทธมักจะนำภิกษุระหกระเหินไปอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาน่าจะพักแรมอยู่ในแดนพุทธ ข้าหาโอกาสพาตัวภิกษุมาสอบสวนข้อมูลไม่ได้”
หลี่เมี่ยวเจินนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ สรุปสิ่งที่รู้กันดี “วันนี้ท่านทั้งสองบรรลุผลน้อยนัก”ไอรีนโนเวล
เทพธิดาปิงอี๋กับนักพรตเสวียนเฉิงปรายตามองนางอย่างเฉยชา
เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ลงภูเขาท่องโลกมาสองปีก็ไม่ได้เข้าใจการตัดอารมณ์ความรู้สึกสักนิด แต่เรียนรู้ทักษะคารมหมาหยอกไก่ไปไม่น้อย ดูท่าว่าการกักบริเวณเพื่อบำเพ็ญให้บริสุทธิ์จะมีความจำเป็นมาก”
อ่า นี่ เป็นเพราะสวี่ชีอัน…หลี่เมี่ยวเจินรีบหุบปาก
อยู่ใกล้ชาดเปื้อนแดง อยู่ใกล้หมึกเปื้อนดำ[1] ยามที่นางนำทัพที่อวิ๋นโจวยังคงเป็นเทพธิดาผู้เรียบร้อย เมื่อไปที่เมืองหลวงก็คลุกคลีกับคนสกุลสวี่อยู่ครึ่งปี ค่อยๆ ซึมซับเชื้อบ้ามาจากเขา
ขณะที่กำลังพูดก็มีเสียง ‘ก๊อก ก๊อก’ ดังขึ้นสองครั้งที่บานหน้าต่าง
นิกายสวรรค์ทั้งสามมองไปที่หน้าต่างพร้อมกัน นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงโบกมือ ก่อนบานหน้าต่างจะเปิดออก
นกกระจอกตัวหนึ่งบินเข้ามายืนอยู่ข้างโต๊ะ แล้วเอ่ยภาษามนุษย์
“ข้าน้อยสวีเชียนขอรับ”
สวีเชียน…เทพธิดาปิงอี๋กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงสบตากันด้วยสีหน้าราบเรียบ
สำหรับคนของนิกายสวรรค์ที่ขาดความผันผวนทางอารมณ์ รายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้ก็พอจะแสดงความตื่นตระหนกภายในใจและความสนใจของพวกเขาได้
สวี่ชีอันงั้นหรือ?!
หลี่เมี่ยวเจินตาเป็นประกายในทันใด สีหน้าชื่นมื่น ทันทีที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นก็ข่มลงไปอย่างร้อนตัว ปรายตามองท่านอาจารย์อย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้สนใจตนก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกในทันใด
“ซินกู่”
เทพธิดาปิงอี๋มองสำรวจนกกระจอก แล้วคารวะพร้อมกันกับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิง “สหายธรรมพบกันอีกแล้ว”
“สวัสดีสหายธรรมทั้งสอง”
สวี่ชีอันข่มใจไม่ใช้ปีกประสานมือ รักษามาดอันสูงส่ง ขณะที่นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋มองสำรวจเขา เขาก็สังเกตสองยอดฝีมือจากนิกายสวรรค์เช่นกัน
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงไว้เคราดำยาวถึงอก คู่นัยน์ตาหงส์แดงอันน่าเกรงขาม ทำให้ภาพของกวนอูฉายขึ้นมาในหัวของสวี่ชีอันโดยไม่รู้ตัว
เทพธิดาปิงอี๋เป็นหญิงสาวที่เดาอายุไม่ถูก นางมีความงามที่โดดเด่นกว่าใคร รวมถึงรูปร่างอันอวบอัดเป็นเอกลักษณ์ของหญิงวัยผู้ใหญ่ บุคลิกของนางเยือกเย็น ราวกับหุ่นไม้อันประณีตที่ไร้พลังชีวิต
ใบหน้าอันงามเลิศปราศจากอารมณ์
ส่วนสาวน้อยหลี่เมี่ยวเจินที่กระตือรือร้น สวี่ชีอันเหลือบมองและหลบสายตา
เขาเอ่ยอย่างช้าๆ
“เทพบุตรหลี่หลิงซู่ทางฝ่ายท่านกำลังท่องยุทธภพร่วมกับข้า”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงสีหน้าราบเรียบ น้ำเสียงนิ่งเฉย
“คนผู้นั้นอยู่ที่ไหน”
เขานิ่งเฉยเช่นนี้ไม่ใช่ว่ากำลังไม่พอใจ ทว่านิสัยของนิกายสวรรค์เป็นเช่นนี้
สวี่ชีอันเอ่ย “หลี่หลิงซู่ถูกพระอรหันต์สำนักพุทธจับตัวไปขอรับ”
พูดจบเขาก็ไม่เห็นอารมณ์เฉกเช่น ความแค้น ความตระหนก หรือความกังวลใดๆ บนใบหน้าของเทพธิดาปิงอี๋กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงทั้งสิ้น ผู้อาวุโสนิกายสวรรค์ทั้งสองสีหน้าไร้ความรู้สึกเฉกเช่นเคย
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชีอันเกิดคลางแคลงแผนการของตน
หลี่หลิงซู่ทำให้ขั้นสามของนิกายสวรรค์ทั้งสองตัดสินใจแตกหักกับสำนักพุทธได้จริงหรือ
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเอ่ยอย่างเฉยชา
“ชิงกลับมาก็สิ้นเรื่อง รบกวนสหายธรรมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดด้วย”
เฮ้อ นิกายสวรรค์เช่นพวกเจ้าช่างเหลือเกินจริงๆ…สวี่ชีอันถอนหายใจ ก่อนจะผงกหัวนก
“หากไม่รังเกียจ ร่างแท้ของข้าจะมาอธิบายรายละเอียด”
เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตามแต่สหายธรรมเถิด”
นกกระจอกผงกศีรษะ ก่อนจะกระพือปีกบิน
ในม่านตาโปร่งแสงของเทพธิดาปิงอี๋สะท้อนเงาของนกกระจอกที่โบยบิน แล้วถอนสายตากลับพร้อมส่งโทรจิตหานักบวชเต๋าเสวียนเฉิง
“เขาใช้วิธีการซินกู่”
จิตเดิมสถิตร่างสัตว์และซินกู่ควบคุมสัตว์ เป็นสองแนวคิด
บุคคลที่ขึ้นชื่อในอย่างแรกก็คือนักบวชเต๋าจวี๋เมา ยามที่เป็นแมว กายเนื้อของนักบวชเต๋าจะมิอาจเคลื่อนไหวได้
ซินกู่ก็เหมือนเปลี่ยนสัตว์ให้กลายเป็นร่างอวตาร ไม่ก็ควบคุมความคิดหรืออารมณ์ของสัตว์เป็นต้น
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงพยักหน้า แล้วกล่าวเสริม
“ทักษะวิชากู่ธรรมดา ไม่แกร่งกล้าอย่างที่พวกเราคาดไว้ พลังบำเพ็ญแท้จริงของคนผู้นี้น่าจะอยู่ที่ขั้นสาม”
ก่อนหน้านี้พวกเขาตัดสินสวีเชียนเจ้าคนพรรค์นี้ว่าน่าจะอยู่ที่ขั้นสามเป็นอย่างต่ำ เป็นไปได้สูงว่าจะอยู่ขั้นสอง แต่ไม่มีทางเป็นขั้นหนึ่งได้
การพบหน้ากันในวันนี้ สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับพวกเขา แม้จะเป็นเพียงร่างอวตารก็เพียงพอที่จะมองเห็นเบาะแสบางอย่างได้
เทพธิดาปิงอี๋กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงตัดสินผ่านการควบคุมนกกระจอกด้วยวิธีการซินกู่ของสวีเชียนตามความผันผวนของจิตเดิมจากอีกฝ่าย
‘ก๊อก ก๊อก!’
บัดนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้น
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเอ่ยเสียงดัง “เข้ามาได้”
เสียงประตูไม้ระแนงผลักออก ชายหนุ่มชุดคลุมฟ้าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามายังห้องพัก
ม่านตาของนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋โปร่งแสงพร้อมเพรียง เปิดใช้งานพลังภายใน ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ของนิกายสวรรค์มาสืบสาวความจริงกับสวี่ชีอัน
ทว่าในสายตาของยอดฝีมือขั้นสามของนิกายสวรรค์ทั้งสอง สวีเชียนก็เหมือนคนธรรมดาที่ไม่มีพลังบำเพ็ญ ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
นี่ก็คือความผิดปกติที่ใหญ่ที่สุด
พลังภายใน ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ของนิกายสวรรค์เป็นวรยุทธ์ที่ซาบซึ้งในฟ้าดินและกลืนกลายไปกับธรรมชาติ
รูปแบบที่แสดงออกด้านนอกเปลี่ยนทุกสิ่งรอบข้างให้ใช้งานเอง
มันเป็นวิธีการตรวจสอบที่ลึกล้ำเช่นเดียวกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง