ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 577

บทที่ 577 ตถาคตเหนือความตาย

เขาถือดาบไว้ที่มือขวา ชายเสื้อคลุมสีดำปลิวไสวไปตามลมหนาว เครายาวเคลื่อนไหวเล็กน้อย ยืนขวางอยู่ที่เบื้องหน้าขบวนอย่างอาจหาญ

สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แววตาลึกล้ำราวกับเหวที่ไร้ก้นบึ้ง

‘สวีเชียน…’ สีหน้าของจิ้งซินและจิ้งหยวนเต็มไปด้วยความสับสน พลางประสานสองมือเข้าด้วยกันและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าเสียงเบา

จีเสวียนหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว มองชายในชุดดำอย่างพินิจพิจารณาด้วยความระมัดระวัง

หลังจากความเคร่งขรึมและความประหลาดใจที่เกิดขึ้นในตอนแรกของหลิ่วหงเหมียนผ่านพ้นไป ใบหน้าอันงดงามก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง มีพระอรหันต์ มีระดับเพชร มีชังหลงนำรบอยู่เบื้องหน้า นางจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

ดังนั้น นางจึงเริ่มใช้มุมมองของผู้หญิงคนหนึ่ง มาพิจารณาสวีเชียนผู้อยู่ในข่าวลือคนนี้

เมื่อพิจารณาจากอารมณ์และแรงดึงดูดของบุคคลนี้ หลิ่วหงเหมียนต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โดดเด่นเหนือใครอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับคนที่มักจะชื่นชมรูปลักษณ์ภายนอกเฉกเช่นนาง ก็ต้องยอมรับว่า ชั่ววินาทีเมื่อครู่ นางรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของตนเองเล็กน้อย น่าเสียดายที่รูปร่างลักษณะของเขาธรรมดาเกินไป ไม่ต้องพูดถึงจีเสวียนและสวี่หยวนไหวที่มีรูปลักษณ์ที่ยอดเยี่ยม แม้แต่เหมียวโหย่วฟาง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าของเขาก็มีความสมดุล และมีความหล่อเหลาเล็กน้อย

ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่ตื่นเต้นที่สุดยังคงเป็นฉีฮวนตานเซียง เขามีความกังวลอย่างมากกับพฤติกรรมการใช้วิชากู่หลายประเภทอย่างต่อเนื่องของสวี่ชีอัน ซึ่งเขารู้สึกพะวงในใจและเก็บไว้ในใจมาโดยตลอด ด้วยความปรารถนาที่จะใคร่รู้ความจริง

“อมิตตาพุทธ ประสกสวี ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”

จิ้งซินประสานทั้งสองมือเข้าด้วยกัน เขาแยกตัวออกจากฝูงชนและก้าวขึ้นไปด้านหน้าตามลำพัง พลางมองสวี่ชีอันด้วยความสงบ

“ประสกสวี เจ้ายึดสำนักพุทธเป็นที่พึ่ง ด้วยสติปัญญาและกรรมของเจ้าที่มีต่อสำนักพุทธ อนาคตศักดิ์ของเจ้าคงไม่อาจทัดเทียมพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้หรอก”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ คือองค์แรกที่อยู่ภายใต้พระพุทธเจ้า

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จีเสวียนและคนอื่นๆ ก็ไม่แน่ใจในสถานการณ์เล็กน้อย พลางมองไปที่แผ่นหลังของจิ้งซินด้วยความประหลาดใจ

เขากำลังพูดอะไร…

การที่สำนักพุทธต้องการดึงสวีเชียนมาเป็นพวกเป็นเหตุผลที่สามารถเข้าใจได้ เหล่าภิกษุมักจะบังคับให้ผู้คนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์มาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ภิกษุจิ้งซินกล่าวเมื่อครู่ ไม่ใช่การดึงมาเป็นพวกที่สามารถเข้าใจได้อีกต่อไป แต่เป็นการทรยศอย่างแท้จริง

“นี่ นี่เกิดอะไรขึ้น?” หลิ่วหงเหมียนพึมพำเสียงเบาและหันไปมองจีเสวียน

จีเสวียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็เหยียดออกและถามจิ้งหยวนที่อยู่ไม่ไกลด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ไต้ซือจิ้งหยวน ภิกษุจิ้งซินกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรรึ?”

สีหน้าของจิ้งหยวนเต็มไปด้วยความเย็นชา และไม่ได้ตอบกลับอะไร

จีเสวียนไม่ได้ถามอะไรอีก เกิดเสียงพูดคุยขึ้นระหว่างกันในขบวนเล็กๆ นี้

“สำนักพุทธมีเรื่องปิดบังพวกเราอยู่”

“ศักดิ์คงไม่อาจทัดเทียมพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ศักดิ์ไม่อาจทัดเทียม….ช่างไร้สาระสิ้นดี เจียหลัวซู่อยู่ขั้นหนึ่ง และยังใกล้เคียงกับการอยู่ยงคงกระพัน”

“แต่หากไม่มีเหตุผล จิ้งซินก็คงไม่กล่าวเช่นนี้”

ทั้งเจ็ดคนส่งกระแสลับทางเสียงระหว่างกัน หลิ่วหงเหมียน ฉีฮวนตานเซียงและสวี่หยวนไหว ทั้งสามคนรู้สึกตกตะลึงเป็นส่วนมาก เรียวคิ้วงามของสวี่หยวนซวงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับจับใจความอะไรบางอย่างได้ ส่วนนักพรตเจียวเยี่ยก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

มีเพียงจีเสวียนและไป๋หู่ ในดวงตาของพวกเขาทั้งสองเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่อธิบายได้ยาก ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักถึงความจริงบางอย่าง

ในฐานะทายาทของเจ้าเมืองเฉียนหลงและไป๋หู่ หนึ่งในดวงดาวยี่สิบแปดกลุ่ม ข้อมูลที่พวกเขารู้ย่อมละเอียดกว่าและมากกว่าหลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ

“หยุดพูดไร้สาระ มอบเด็กนั่นให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

สายตาของสวี่ชีอันข้ามผ่านจิ้งซินไปยังเหมียวโหย่วฟางที่ถูกคุ้มกันอยู่ในฝูงชน

เขาก็กำลังมองมาที่ข้าเช่นกัน…

สีหน้าของเหมียวโหย่วฟางเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

จิ้งซินส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง

“ในเมื่อประสกสวีดื้อดึงไม่ยอมรับผิด เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้แสงพุทธะชำระล้างบาปแก่เจ้า…เชิญพระอรหันต์!”

หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้น เสียงดังก้องกังวาน

ลำแสงพุทธะอันสว่างบริสุทธิ์ประกายแสงจ้าปรากฏอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม ใจกลางลำแสงมีพระภิกษุชรารูปร่างผอมบางนั่งขัดสมาธิตัวตรงอยู่บนแท่นดอกบัว คิ้วสีขาวย้อยลงมาที่ข้างแก้มทั้งสองข้าง ดวงตาปิดลงมาครึ่งหนึ่ง ถือดอกไม้ด้วยมือทั้งสองข้าง

“พระพุทธเจ้า ตามตัวข้ากลับไปยังอรัญตาด้วยเถิด” ภิกษุชราลืมตาขึ้นในฉับพลัน น้ำเสียงก้องกังวานดุจฟ้าร้อง ราวกับเป็นอำนาจจากสวรรค์

ทุกคนที่อยู่เบื้องล่างราวกับถูกสายฟ้าฟาดดังตูม พวกเขาสูญเสียการได้ยินชั่วขณะ ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ในสมองมีเพียงแรงกระตุ้นที่จะดึงให้ตนเองไปยึดสำนักพุทธเป็นที่พึ่ง ภิกษุทุกองค์ของสำนักพุทธต่างก็พนมมือและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าโดยจิตใต้สำนึก

เวลานี้เอง เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งก็ปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นจากสภาวะอันเคร่งศาสนาและความปรารถนาที่จะยึดสำนักพุทธเป็นที่พึ่ง ทันใดนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตอบกลับอันดังก้องของสวีเชียน

“ยอดฝีมือแห่งต้าฟ่ง ไม่เข้าร่วมสำนักพุทธ”

เขาถือดาบยืนอย่างสง่าผ่าเผยโดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

คนที่มีวิทยายุทธ์อย่างจีเสวียน สวี่หยวนไหว ไป๋หู่ และหลิ่วหงเหมียน เริ่มเกิดอารมณ์ซับซ้อนขึ้นในใจ

ในฐานะผู้มีพละกำลังเช่นกัน เมื่อสักครู่พวกเขากลับไม่สามารถควบคุมตนเองในการถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคตได้

จอมยุทธ์ให้ความสำคัญกับจิตใจ หัวแข็งดื้อรั้น และใช้กำลังฝ่าฝืนข้อห้าม ต่อสู้กับคน ต่อสู้กับสวรรค์ ต่อสู้กับตัวเอง ยิ่งความศรัทธาบริสุทธิ์ผุดผ่อง เส้นทางของวิทยายุทธก็จะยิ่งเต็มไปด้วยความวิริยะ

“สวีเชียนนี่ เขาสามารถอยู่ภายใต้การบีบบังคับของพระอรหันต์ขั้นสองโดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย…” หลิ่วหงเหมียนเม้มริมฝีปาก และมองชายในชุดดำอย่างลึกซึ้ง

ในอีกด้านหนึ่ง พระอรหันต์ตู้ฉิงยื่นมือออกไป หัตถ์พระพุทธเจ้าขนาดยักษ์เอื้อมลงมาจากท้องฟ้า โดยตั้งใจจะจับสวีเชียนไป

ในเวลานี้เอง แสงดาบส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า ราวกับดาวตกจากฟากฟ้า

ภายใต้ปราณกระบี่ ฝ่ามือทองยักษ์แตกสลายในทันใด

ทุกคนมองไปทางปราณกระบี่ เห็นเพียงผู้หญิงท่านหนึ่งที่สวมชุดขนนก สวมมงกุฎดอกบัวมาพร้อมกับกระบี่บิน นางงดงามดั่งเทพยดา ชาดที่หว่างคิ้วเปล่งประกายเจิดจ้า

ลั่วอวี้เหิง ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ระดับสูงสุดของขั้นสอง นี่คือบุคคลที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิดแห่งเมืองจิ่วโจวอย่างแท้จริง

เมื่อมองพิจารณากองกำลังหลัก ในหมู่ผู้หญิง ตอนนี้มีเพียงสามคนที่สมควรเป็นผู้ทรงอำนาจขั้นสูงสุด พวกนางแบ่งเป็นพระโพธิสัตว์หลิวหลีของสำนักพุทธ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง องค์หญิงอาณาจักรหมื่นปีศาจที่ล่มสลายไปแล้ว และลั่วอวี้เหิง ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์

หลิ่วหงเหมียนและสวี่หยวนซวงต่างก็เป็นหญิงสาวที่หยิ่งยโสในความงามของตนเอง แต่เมื่อพวกนางเห็นราชครูที่งดงามราวกับนางฟ้าที่ถูกเนรเทศจากฟากฟ้าให้มาอยู่บนโลก ก็เกิดความรู้สึกต่ำต้อยในตัวเองขึ้นมาทันที

พระอรหันต์กล่าวช้าๆ ว่า “ลั่วอวี้เหิง เจ้าอยู่ห่างจากภัยพิบัติเพียงก้าวเดียว รสชาติของไฟแห่งกรรมที่แผดเผาร่างคงไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีกระมัง”

“เจ้าต่อสู้กับเฮยเหลียนในเมืองหลวง ไฟแห่งกรรมอยู่ในเขตเหนือการควบคุมแล้ว”

“สำนักพุทธไม่ต้องการอยู่ค้ำฟ้ากับลัทธิเต๋า หากเจ้ารู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรก็ถอยไปดีกว่า มิเช่นนั้น…”

ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างก็ได้ยินพระอรหันต์ตู้ฉิงพูดถึงความลับที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ละคนก็มีความรู้สึกที่แตกต่างกัน

นิกายมนุษย์บำเพ็ญไฟกรรมรึ?

เฮยเหลียนคือใคร ถึงได้สามารถต่อสู้กับลั่วอวี้เหิงอย่างดุเดือดได้?

ไฟกรรมของลั่วอวี้เหิงใกล้จะอยู่เหนือการควบคุมแล้วรึ?

ลั่วอวี้เหิงใกล้จะควบคุมไฟแห่งกรรมไม่ได้แล้ว!

ภิกษุสำนักพุทธทุกองค์แสดงความดีอกดีใจ จีเสวียนและคนอื่นๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน

แม้ว่าจะมีความมั่นใจในพระอรหันต์อย่างเต็มที่ แม้จะรู้ว่าฝ่ายของตนเองมีระดับเพชรสองท่านและชังหลง แต่ชื่อเสียงของลั่วอวี้เหิงก็เป็นที่เอิกเกริกอย่างยิ่ง หากพระอรหันต์เทียบนางไม่ติด ยอดฝีมือขั้นสูงเช่นนั้นสักคนก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเกรงกลัวลั่วอวี้เหิงมาโดยตลอด ในแผนการของทุกคน คือให้พระอรหันต์ฉุดรั้งลั่วอวี้เหิงเอาไว้ ส่วนที่เหลือจะรีบทำการต่อสู้อย่างรวดเร็ว รอให้สวีเชียนถูกปราบปราม และให้ระดับเพชรและชังหลงยื่นมือเข้ามาช่วยพระอรหันต์ตู้ฉิงจัดการกับลั่วอวี้เหิง เช่นนี้ก็จะไร้ข้อผิดพลาดเหมือนเมื่อสักครู่

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเช่นนั้นอีกต่อไป

หากสถานการณ์ของลั่วอวี้เหิงร้ายแรงอย่างที่พระอรหันต์ตู้ฉิงกล่าวจริงๆ อาศัยเพียงแค่พระอรหันต์ลงมือ ก็เพียงพอที่จะปราบลั่วอวี้เหิงแล้ว

“มิเช่นนั้นจะเป็นอย่างไรรึ?” ราชครูหญิงเลิกเรียวคิ้วอันงดงามขึ้น

“บางทีนิกายมนุษย์อาจจะต้องเปลี่ยนผู้นำเต๋าแล้ว” พระอรหันต์ตู้ฉิงกล่าวเสียงเบา

ลั่วอวี้เหิงหัวเราะด้วยความเย็นชา คว้าดาบเหล็กขึ้นสนิมมาจากความว่างเปล่า และขว้างไปที่พระอรหันต์ตู้ฉิง

ทุกคนหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว ดวงตาร้อนผ่าว น้ำตาไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง

ดาบเหล็กทะลุผ่านร่างของพระอรหันต์ตู้ฉิง ที่หน้าอกของเขาเกิดรูขนาดใหญ่ แต่ไม่มีเลือดไหลออกมา

วินาทีต่อมา ‘อาการบาดเจ็บ’ ที่หน้าอกของพระอรหันต์ตู้ฉิงก็หายเป็นปกติ

พระอรหันต์ตู้ฉิงยิ้มเล็กน้อยด้วยความเห็นซึ้งถึงแก่นธรรม “การบำเพ็ญของตัวข้าคือตถาคตเหนือความตาย”

ลั่วอวี้เหิงอุทาน ‘ฮึ่ย’ พลางควบคุมกระบี่บินกลับมาด้วยการทะลุผ่านร่างพระอรหันต์ตู้ฉิงอีกครั้ง บาดแผลจากดาบอันน่าสะพรึงกลัวปรากฎขึ้นบนร่างของเขา

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่พระอรหันต์ตู้ฉิงยิ้มเล็กน้อย ‘อาการบาดเจ็บ’ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตถาคตเหนือความตาย การบำเพ็ญขั้นนี้ ไม่มีชีวิตอยู่หรือตาย และตั้งอยู่เป็นนิตย์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง