ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 581

สรุปบท บทที่ 581 รุ่งอรุณ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 581 รุ่งอรุณ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 581 รุ่งอรุณ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 581 รุ่งอรุณ

การร่วมมือกันครั้งแรกของเหล่ายอดฝีมือจากสำนักพุทธและเมืองเฉียนหลงคว้าน้ำเหลว สั่นคลอนความมั่นใจและจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาเป็นอย่างมาก

จีเสวียนขมวดคิ้วมุ่น

ในทางตรงกันข้าม ในฐานะที่เป็นผู้ชมและผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุด นักพรตเต๋าเจียวเยี่ยจึงตัดสินสถานการณ์ได้ทันที เขาส่งเสียงทางจิตไปว่า

“อย่าลน นายน้อย สวี่ชีอันเป็นขั้นสามจริงๆ กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าของพวกท่าน แต่การที่กายเนื้อแข็งแกร่ง ไม่ได้หมายความว่าพลังต่อสู้จะแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน สาเหตุที่เขาสามารถตัดกรงเล็บหินผาของไป๋หู่ได้อย่างง่ายดายก็เพราะอาศัยอาวุธวิเศษ เพียงหาวิธีจัดการกับดาบเล่มนั้นได้ สวี่ชีอันก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสี่ที่มีการป้องกันระดับขั้นสามเท่านั้น ด้วยพลังต่อสู้ของพวกเรา ก็เพียงพอที่จะสู้พัวพันกับเขาได้แล้ว”

ตอนนี้ นักพรตเต๋าเจียวเยี่ยไม่กล้าคุยโวอีกแล้วว่าจะสามารถเอาชนะสวี่ชีอันได้ และเขาเชื่อว่าในใจของพวกจีเสวียนก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

‘ต้องจัดการดาบเล่มนั้น…’ จีเสวียนขมวดคิ้วมุ่น ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไป แล้วสรุปข้อมูลออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมพิจารณาข้อได้เปรียบ จุดเด่น และพลังต่อสู้ของฝ่ายตนอย่างรวดเร็วไปด้วย

แววตาของเขาสว่างวาบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ

“ฉีฮวนตานเซียง ข้าจำได้ว่าซินกู่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาไม่สูงมากใช่หรือไม่ ในที่นี้รวมถึงวิญญาณอาวุธที่เพิ่งเริ่มตระหนักรู้ปัญญาด้วยหรือเปล่า”

ตรงนี้ล้วนมีแต่คนฉลาด พวกเขารีบหันหน้าไปมองฉีฮวนตานเซียงทันที

“ตามทฤษฎีแล้ว แค่เป็นของที่มีสติปัญญาก็สามารถควบคุมและส่งผลได้แล้ว แต่ข้ายังไม่เคยลองส่งผลต่ออาวุธวิเศษเลย”

ฉีฮวนตานเซียงเอ่ยช้าๆ

“เท่านี้ก็พอแล้ว!”

จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนเอ่ยเสียงต่ำ

“ไม่จำเป็นต้องสู้เพื่อชนะเขา แค่ยื้อเวลาจนอรหันต์ตู้ฉิงหรือระดับเพชรทั้งสองท่านจัดการศัตรูเสร็จ เท่านั้นพวกเราก็ชนะแล้ว หากตั้งนานแล้วพวกเขาก็ยังไม่ได้ชัย เช่นนั้นพวกเราก็ค่อยๆ ทรมานสวี่ชีอันจนตายอย่างช้าๆ แล้วกัน”

หลังจากส่งเสียงพูดคุยปรึกษากันเสร็จ ทุกคนก็ฟื้นฟูพลังความมั่นใจขึ้นอีกครั้ง อย่างน้อยก็ยังเห็นความหวังของชัยชนะอยู่

เมื่อมีความหวัง ก็มีจิตวิญญาณในการต่อสู้

สวี่ชีอันมองพวกเขาส่งเสียงทางจิตปรึกษากันอย่างเงียบๆ ไม่ร้อนรน

สายตาของเขากวาดมองพวกจีเสวียน และมองไปยังน้องชายและน้องสาวที่อยู่ไกลๆ

ถือว่ายังเชื่อฟัง ไม่ได้เข้ามาขวางทางอีก…เขาเอ่ยประเมินอยู่ในใจ

หากลักพาตัวสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวเพื่อใช้บีบบังคับสวี่ผิงเฟิง? นี่อาจจะมีเรื่องประหลาดใจอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้?

ไม่สิ เพื่อเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง สวี่ผิงเฟิงก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ในเมื่อเขามองบุตรคนหนึ่งเป็นเครื่องมือและตัวหมาก ก็ย่อมมองบุตรและธิดาอีกคนเป็นตัวหมากได้ด้วยเช่นกัน

ความแตกต่างของข้ากับพวกสวี่หยวนไหวอยู่ที่ข้าเกิดก่อน และไม่ใช่ลูกรักของสวี่ผิงเฟิงอย่างพวกเขา

หากบุตรคนที่สองและธิดาคนโตขัดขวางไม่ให้เขาเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง เขาคิดจะทิ้งและสามารถโละทิ้งได้เช่นกัน

ข้าบำเพ็ญคู่กับราชครูมาตั้งนาน พลังปราณก็กล้าแกร่งขึ้น ใช้พวกเขามาฝึกมือได้พอดี

สวี่ชีอันถอนสายตากลับมา แล้วมองจิ้งซินนำพวกฉานซือนั่งเจริญสมาธิภาวนา

คิดจะใช้วิชาฉานมาต่อกรกับสิงโตคำรามของข้าสินะ…

เป็นอย่างที่คิด หลังจากนั่งลงเป็นรูปแบบกระบวนแล้ว สายตาของจิ้งซินก็มองมาที่เขาอย่างล้ำลึกแล้วเอ่ยเสียงขรึม

“จงวางดาบลง!”

ค่ายกลทำให้พลังของวิชาทรงศีลแผ่ขยายไปได้มากขึ้น ในชั่วพริบตา สวี่ชีอันก็รู้สึกจิตสงบอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งยังไม่เกิดความคิดอยากจะต่อสู้ แม้แต่ดาบไท่ผิงก็ยังอยากจะวางลงไปด้วย

เช่นเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงความคิดของดาบไท่ผิงผ่านจิตสัมผัสที่ส่งเข้าไปด้วยว่า ‘อา นายท่าน ข้าไม่อยากต่อสู้แล้ว!’

‘ตึง ตึง ตึง…’

จิ้งหยวนเป็นผู้นำเข้าสู้คนแรก ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้กำปั้นทรงพลังเพื่อทุบสวี่ชีอันอีก แต่คว้าดาบไท่ผิงไปจากมือของเขาแทน

และได้มาอย่างง่ายดายอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นสวี่ชีอันหรือว่าดาบไท่ผิงล้วนแต่ไม่ได้ปฏิเสธหรือต่อต้านใดๆ เลย

เมื่อได้มาแล้ว จิ้งหยวนก็ไม่คิดอะไร เขาโยนดาบไท่ผิงกลับไปให้ข้างหลังทันที

ฉีฮวนตานเซียงก้าวมาข้างหน้าแล้วหยิบดาบขึ้นมาด้วยมือ เขากุมด้ามดาบเอาไว้ เมื่ออาวุธวิเศษมาอยู่ในมือ เขาก็ใช้วิธีการของซินกู่พยายามควบคุมมันและทำให้มันกลายเป็นอาวุธของฝ่ายตน

ถึงอย่างนั้นก็ทำไม่สำเร็จ อาวุธวิเศษกลับสั่นสะเทือนและเกือบจะหลุดมือไปหลายครั้ง

ฉีฮวนตานเซียงเปลี่ยนกลยุทธ์ เขาใช้ ‘การสื่อสาร’ ที่อ่อนโยนมาส่งอิทธิพลต่ออาวุธวิเศษ และมอบความคิด ‘หยุดรบ’ ให้แก่มัน

ดาบไท่ผิงปฏิเสธอยู่พักหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดปกติมันก็ไม่ดิ้นรนอีก ท่าทางดูไม่ค่อยฉลาดนัก

สำเร็จแล้ว!

พวกจีเสวียนดีใจอย่างยิ่ง

สวี่ชีอันที่ไม่มีดาบไท่ผิงก็เป็นเพียงเต่าหนังหยาบ ระดับภัยคุกคามที่มีก็ลดลงเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็หลุดออกจากสภาวะจำศีล ร่างกายของเขามีเงามืดอึมครึมปกคลุมอยู่หนึ่งชั้นโดยไม่สนว่ามีจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็หลอมรวมเข้าไปในเงาจิ้งหยวน

เขาใช้เงาของจิ้งหยวนกระโดดข้ามไปปรากฏตัวอยู่ในเงาของหลิ่วหงเหมียน

‘พลั่ก!’

ชายกระโปรงของหลิ่วหงเหมียนพลิ้วไหว รองเท้าผ้าปักกระโดดจนพื้นเป็นรูลึก

แต่สวี่ชีอันรีบกระโดดข้ามไปยังเงาใต้เท้าของจีเสวียนอีกครั้งอย่างรวดเร็วก่อนที่นางก็เคลื่อนเท้าออก

เขากระโดดข้ามเงาของทุกคนอย่างไม่หยุดยั้ง และสุดท้ายก็มาปรากฏตัวอยู่ในเงาของฉีฮวนตานเซียง

เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นคือการชิงดาบไท่ผิงคืนมา

จิ้งซินเลิกคิ้วแล้วเอ่ยเสียงขรึม

“ห้ามฆ่าสัตว์!”

สวี่ชีอันที่กำลังจะลงมือพลันแข็งทื่อ

จิ้งหยวนถือโอกาสนี้หันกลับไปช่วยเหลือ แสงทองบนร่างกายทำให้เขาดูเหมือนเป็นสายฟ้าสีทองอร่าม

‘โครม!’

จิ้งหยวนส่งหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของสวี่ชีอัน

วิชาทรงศีลส่งผลต่อข้าแค่ไม่กี่วินาที วิชาทรงศีลหนึ่งครั้งต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าวินาทีถึงจะใช้งานได้อีกครั้งหนึ่ง…สวี่ชีอันแสยะยิ้ม ตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้หมัดของตนเหวี่ยงกระแทกเข้าที่หน้าผากของจิ้งหยวน

‘พลั่ก!’

หน้าผากของจิ้งหยวนสาดแสงสีทองอร่าม แสงทองที่ปกคลุมร่างกายพลันหม่นลงทันใด จากนั้นก็กระเด็นออกไปเหมือนกับปืนใหญ่

“ถอย!”

จีเสวียนผลักฉีฮวนตานเซียงออกแล้วพุ่งเข้าไป กระบี่เงาจันทร์ระเบิดประกายแสงเจิดจ้าออกมา ครั้งนี้เป้าหมายของมันคือหว่างคิ้ว

“โฮก…”

เสียงสิงโตคำรามที่ระเบิดความน่าเกรงขามทรงอานุภาพของสวี่ชีอันสั่นสะเทือนจนเบื้องหน้าของจีเสวียนดำมืดไม่เห็นสิ่งใด เขาได้ยินเสียง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ อยู่ที่ทรวงอกของตน ราวกับเสียงตีเหล็กหนักๆ

วินาทีต่อมา ความเจ็บปวดรุนแรงก็แผ่กระจาย ทรวงอกของเขาเว้าลึกลงไปทั้งแผง

หลิ่วหงเหมียนได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางรีบจับจีเสวียนบินออกมาแล้วพาตัวถอยออกไป

ใบหน้าของหญิงงามจากหอหมื่นบุปผาซีดเผือดเล็กน้อย

จีเสวียนขั้นสี่พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ จเป็นอย่างที่สวี่ชีอันผู้นี้พูดจริงหรือว่าเมื่อครู่เป็นแค่การอุ่นเครื่อง

“นายน้อย!”

ฉีฮวนตานเซียงตะโกนลั่น สีหน้าของเขาโหดเหี้ยมราวกับโมโหและละอายใจอย่างที่สุด มือหนึ่งกำดาบ ส่วนอีกมือบีบกระเป๋าหนังที่เอว

‘พลั่ก!’

กลุ่มควันสีเขียวลอยล่องออกมา เสียงกระพือปีกบินเข้ามารวมตัวกันแล้วกระจายออกไป

พวกหลิ่วหงเหมียนและไป๋หู่หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็รีบถอยอย่างรวดเร็ว

พิษที่น่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้ ฉีฮวนตานเซียงตั้งชื่อเอาไว้ว่า แมลงกร่อนกระดูก มันเติบโตอยู่ในหุบเหวลึกที่ผนึกเทพเจ้ากู่เอาไว้ ดูดกินพลังที่เทพเจ้ากู่แผ่ออกมาเป็นอาหาร

พวกเขามีพิษทั่วร่าง ปากจะคายพิษที่สามารถกร่อนร่างกายของจอมยุทธ์ขั้นสี่ออกมา ตั้งแต่ผิวไปจนถึงเนื้อ และตั้งแต่เนื้อไปจนถึงกระดูก ฝูงแมลงกร่อนกระดูกที่เติบใหญ่จนเพียงพอแล้วจะสามารถสังหารจอมยุทธ์ขั้นสี่ผู้หนึ่งได้ภายในสามอึดใจ

นี่คือวิธีการก้นกรุของฉีฮวนตานเซียง ยามปกติมักไม่นำมาใช้ เพราะเมื่อแมลงกร่อนกระดูกพวกนี้ได้ดื่มเลือดมนุษย์เข้าไป แม้แต่ตัวเขาก็ยากที่จะควบคุมได้

ปรมาจารย์ซินกู่ผู้มีบุคลิกสุดโต่งเอ่ยเสียงเฉียบว่า

“เจ้าคนแซ่สวี่ ไม่ว่าเจ้าจะอัจฉริยะเพียงใด และต่อให้วันนี้ข้าจะถูกแมลงกร่อนกระดูกสะท้อนกลับมา อย่างไรก็จะต้องทำให้เจ้าจ่ายค่าตอบแทนอย่างแน่นอน”

ที่ไกลๆ สวี่หยวนซวงพาน้องชายถอยหลังทันใด เห็นได้ชัดว่านางรู้ดีว่าแมลงพิษชนิดนี้น่ากลัวขนาดไหน

กลุ่มหมอกสีเขียวบินล่องอยู่เต็มท้องฟ้า แล้วเข้าไปปกคลุมตัวสวี่ชีอันอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมของฉีฮวนตานเซียง ปกคลุมทั้งร่างกายและใบหน้าของเขาเอาไว้อย่างแน่นขนัด

เมื่อเห็นภาพนี้ สวี่หยวนไหวก็สัมผัสได้ทันทีว่าพี่สาวของตนหยุดชะงัก เมื่อหันหน้าไปมองก็เห็นสีหน้าของนางดูซับซ้อนหาใดเปรียบ นางกำลังจดจ้องไปยังร่างสีเขียวทึมที่อยู่ไกลๆ นั่นตาด้วยสายตาตะลึง

‘ตอนนี้ก็เพียงพอจะทำให้เขาจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลได้แล้ว…’ สวี่หยวนไหวเกิดความคิดซับซ้อนขึ้นมา

ทันใดนั้นเขาก็พลันเบิกตาโต สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

ในตอนนี้เอง ลมหอบหนึ่งก็พัดมา ไป๋หู่ที่แขนหักเข้ามาขวางตรงหน้าเขาและรับกำปั้นนี้เอง

‘โครม!’

กายเนื้อของเผ่าพันธุ์ปีศาจขั้นสี่แข็งแรงไม่แพ้กัน ไป๋หู่คำรามเสียงต่ำและกลิ้งกระเด็นออกไปพร้อมกับฉีฮวนตานเซียง

ในชั่วขณะนี้เอง เพราะเมื่อครู่สูญเสียการควบคุมซินกู่ไป ดาบไท่ผิงจึง ‘ฟื้นตื่น’ ขึ้นมาแล้วหลุดออกจากมือของฉีฮวนตานเซียงโดยอัตโนมัติ แล้วบินกลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายตัวเอง

‘หวึ่ง หวึ่ง หวึ่ง’…

ดาบไท่ผิงส่งคลื่นจิตออกมาซึ่งมีความหมายคร่าวๆ ว่า ‘เรื่องไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด ท่านฟังข้าอธิบายก่อนนะ’…

คำอารัมภบทแบบผู้ชายสารเลวพรรค์นี้ อย่าเอามาใช้กับข้าเด็ดขาด…สวี่ชีอันจับดาบไท่ผิงแล้วถอยไปด้านหลังเพื่อเว้นระยะห่าง คิดจะออกกระบวนดาบจากระยะไกล

ระยะนี้อยู่ไกลจากขอบเขตของวิชาทรงศีล

‘เขาคิดจะทำอะไร’

พวกฉานซือและจิ้งซินมองท่าทางของเขาไม่เข้าใจ

ระยะห่างที่ไกลขนาดนี้ แม้จะฟันดาบออกมา แต่จะเหลือพลังทำลายล้างอยู่สักเท่าไหร่กัน

เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลังโจมตีที่สามารถทะลวงผ่านค่ายกลของฉานซือตั้งมากมายขนาดนี้ได้หรอก

“หยกสลาย!”

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา หลังจากสะสมพลังช่วงสั้นๆ เขาก็ฟันดาบไท่ผิงลงไป

เสียงสิงโตคำรามน่าเกรงขามดังขึ้น ประกายดาบสีทองหม่นสาดส่องในทันใด ครู่ต่อมามันก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกจิ้งซิน

ยอมเป็นหยกสลาย ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์

เพียงแค่เล็งเป้าหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจระยะห่าง

‘ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ’….

ทรวงอกของฉานซือแต่ละรูปมีรอยดาบน่าสยดสยองปรากฏอยู่ ทำลายไปถึงหัวใจและทำลายปราณชีวิตของพวกเขาทุกคน

ค่ายกลวิชาฉานไม่อาจขวางจิตดาบอันรุนแรงเช่นนี้ไว้ได้

จิ้งซินเป็นฉานซือคนเดียวที่รอดพ้นจากหายนะ แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะไม่แกร่งเท่าจอมยุทธ์ แต่หลังจากมาถึงขั้นสี่ พลังชีวิตก็อยู่เหนือกว่าปุถุชนทั่วไป

หลังจากหัวใจโดนทำลาย เขาก็ยังไม่ได้ตกตายในทันที

เขาหยิบขวดกระเบื้องออกมาจากในจีวรด้วยมืออันสั่นเทาแล้วเทขี้เถ้าธูปออกมาถูที่ทรวงอก

นี่คือขี้เถ้าธูปจากกระถางธูปที่อรหันต์ตู้ฉิงนั่งทำสมาธิ ซึ่งได้ปนเปื้อนกลิ่นอายที่ช่วยลบล้างผลลัพธ์ออกมา

ทั้งยังมีสรรพคุณชุบเนื้อและกระดูก

อีกด้านหนึ่ง ทรวงอกของสวี่ชีอันก็มีรอยเลือดระเบิดออกมาติดๆ กัน เลือดและเนื้อปะปนจนเลือนรางกรีดหัวใจ

ราคาที่ต้องแลกจากหยกสลาย

แต่สำหรับเขาที่มีกายเนื้อขั้นสาม พลังเท่านั้นยังไม่ถึงตาย อย่างมากก็เพราะยังมีตะปูตอกวิญญาณอยู่ บาดแผลจึงรักษาได้ช้าหน่อย

ร่างกายบอบบางของหลิ่วหงเหมียนสั่นเทาเล็กน้อย สองขาอ่อนแรง ทั้งใจเหลือเพียงความหวาดผวา

จีเสวียนบาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่หมดสติ เขามองเห็นภาพทุกอย่าง แววตานั้นหม่นหมองไร้แสง เต็มไปด้วยความสะเทือนใจหนักหน่วง

ส่วนฉีฮวนตานเซียงที่ชิงชีวิตคืนมาได้ สุดท้ายก็เกิดความหวาดกลัวอย่างหนักต่ออัจฉริยะจากภาคกลางที่โด่งดังผู้นี้

ตอนนี้ไป๋หู่คิดแต่จะหนี ไม่มีความคิดอื่นใดเหลืออยู่อีก

ส่วนอีกด้าน สวี่หยวนไหวกำหมัดแน่น ในใจของเขาทั้งขื่นขมและสิ้นหวัง เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่มีความคิดที่จะแข่งขันกับสวี่ชีอันอีกแม้แต่น้อย

‘แพ้แล้ว พ่ายแพ้ยับเยิน อีกทั้งนี่ยังเป็นช่วงที่พลังฝึกตนของเขาถูกผนึกอยู่ด้วยซ้ำ…’ สวี่หยวนซวงตกตะลึง

“ขะ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว นี่สินะ ระดับขั้นที่ข้าใฝ่ฝันถึง” เหมียวโหย่วฟางเอ่ยพึมพำ

เขาหันไปมองด้านข้างและพยายามขอความเห็นชอบจากนักพรตเฒ่า แต่กลับพบว่าเจ้าคนแก่นั่นถอยไปอยู่ไกลๆ ตั้งนานแล้ว โดยเว้นระยะห่างจากตัวเองไกลมาก

ขณะเดียวกันนั้น ชามทองคำที่ลอยอยู่บนฟ้าก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และแผ่แสงสีทองออกมาเป็นวงกลม

การต่อสู้ของอรหันต์ตู้ฉิงและลั่วอวี้เหิงใกล้จะสิ้นสุดแล้ว

พวกจิ้งซินและจีเสวียนที่กำลังสิ้นหวังกลั้นหายใจ พยายามคว้าจับแสงแห่งรุ่งอรุณเฮือกสุดท้ายท่ามกลางความมืดมิด

………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง