‘พรืด…’ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินไท่ที่กำลังดื่มชาก็พ่นออกมาทันที
หลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่นพากันแข็งทื่อ และหันไปมองสวี่ชีอันอย่างรวดเร็ว
“คนที่แต่งบทกวีไม่ใช่หยางหลิงหรอกหรือ”
น้องเล็กช่างวอนนัก ขายข้าง่ายๆ เช่นนี้…สวี่ชีอันกัดฟัน “เป็นนามแฝงของข้าขอรับ”
“จริงหรือ”
“จริงขอรับ!”
ทั้งสองคนยังไม่เชื่อ จึงถามว่า “เจ้าไปทำอะไรที่สำนักสังคีต”
สวี่ชีอันนั่งตัวตรง และตอบว่า “ตามประสาชายหนุ่มเชยชมของสวยงามขอรับ”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบทันที ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามรู้สึกว่ามีเลือดอุดตันในอก อยากอาเจียนออกมาแต่ก็อาเจียนไม่ได้
ไม่กี่วินาทีต่อมา จางเซิ่นก็ลุกขึ้น และชี้ไปที่จมูกของสวี่ชีอัน “เจ้า เจ้า…”
เขาหันไปรอบๆ ห้อง และกระวนกระวายจนไม่รู้จะกระวนกระวายอย่างไร “บทเพลงแต่โบราณ เจ้าใช้กับผู้หญิงค้าประเวณี นางมีค่าหรือ นางคู่ควรหรือ”
ใช่ๆๆ ใช้กับเจ้าก็ดี…สวี่ชีอันแอบสาปแช่งในใจ แต่สีหน้าแสดงท่าทางฟังอาจารย์ตำหนิ
หลี่มู่ไป๋ลุกลี้ลุกลนเช่นกัน “ชมดอกบ๊วยน่ะ ‘หออิ่งเหมยมอบให้ฝูเซียง’ ช่างสามหาว สามหาวเหลือเกิน ทำให้บทกวีดีๆ เสื่อมเสีย”
หากเปลี่ยนเป็น ‘สำนักอวิ๋นลู่มอบให้ท่านมู่ไป๋’ ได้ ท่านก็คงจะหัวเราะเป็นเสียงหมูออกมา…สวี่ชีอันแขวะในใจ
บทกวีสองบรรทัดนี้จะกลายเป็นที่รู้จักชั่วนิรันดร์…ใช้กับผู้หญิงค้าประเวณี เสียเปล่าจริงๆ แต่เรื่องต่างๆ ไม่อาจมองเพียงแค่ผิวเผินได้ หากบทกวีบทนี้ไม่ชนะใจคณิกาฝูเซียง เขาจะเผยข่าวที่เป็นประโยชน์ออกมาได้อย่างไร
จะใส่ร้ายโจวลี่ได้อย่างไร
ไม่ใส่ร้ายโจวลี่ หากรองเจ้ากรมโจวรอดมาได้ล่ะ หากศัตรูทางการเมืองไม่ต่อสู้กับเขาล่ะ
บทสรุปที่รอต้อนรับบ้านสกุลสวี่จะเป็นแบบไหน
เดิมทีบทกวีก็คัดลอกมา จึงไม่รู้สึกเสียใจ อีกอย่าง หากแก้ไขปัญหาปัจจุบันไม่ได้ เสบียงในท้องเยอะขึ้นจะมีประโยชน์อะไร
บทกวีดีเพียงใด หากแลกเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์จริงๆ ได้ มันถึงจะมีประโยชน์
เฉินไท่ถอนหายใจออกมา สำหรับหยางหลิงเป็นนามแฝงของสวี่ชีอัน ตอนแรกเขาก็ตกใจและไม่เชื่อ แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลอยู่
พรสวรรค์ด้านบทกวีเช่นนี้ จะบอกให้ปรากฏขึ้นมาก็ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร
“หลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่นรับเขาเป็นศิษย์ได้ ข้าก็รับได้เช่นกัน…ในเมื่อมีอาจารย์สองคน เช่นนั้นเหตุใดจะมีสามคนไม่ได้…” ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉินแอบตัดสินใจว่า จะหาโอกาสรับนักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านบทกวีคนนี้เข้าสังกัดในอนาคต
หลังผ่านช่วงเวลาโจมตีทางวาจา สวี่ชีอันก็ยอมรับผิดอย่างเชื่อฟัง และให้คำมั่นสัญญาว่าหากในอนาคตมีบทกวีดีๆ จะให้อาจารย์ทั้งสองคนแก้ไขและขัดเกลาก่อน
หลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่นพยายามทำให้ใจเย็นลง
นอกจากความเสียใจที่เสียไปกับบทกวีแล้ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนยังรู้สึกจริงๆ ว่าสวี่ชีอันใช้บทกวีบทนี้กับคณิกาของสำนักสังคีต ช่างเสียเปล่า
สิ้นเปลืองทรัพยากร
สวี่ซินเหนียนยังถือว่ามีสามัญสำนึกอยู่บ้าง เขาออกมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ทันเวลา และเปลี่ยนหัวข้อ “น้องหญิงศึกษาที่สำนักมาหลายวัน ไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนมองหน้ากัน เฉินไท่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “น้องหญิงของเจ้า จิตใจหนักแน่นและทำลายไม่ได้จริงๆ”
จางเซิ่นพูดอย่างจนปัญญา “ในช่วงเวลาสิบวัน อาจารย์ที่สอนน้องเจ้าเปลี่ยนถึงสี่คน”
หลี่มู่ไป๋พูดเสริม “พวกเขาให้คำมั่นว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่สอนเด็กเล็กๆ อีก”
สวี่ฉือจิ้วกับสวี่หนิงเยี่ยน “…”
…
ณ ลานเล็ก ครอบครัวกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากจากกันไปนาน
อาสะใภ้ต้อนรับสามีกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างมีความสุข อารองก็กอดลูกสาวกับภรรยาอย่างมีความสุขเช่นกัน
เมื่อสวี่หลิงอินเห็นพ่อ ความเศร้าโศกก็ผุดขึ้นมาจากข้างใน นางกอดขาของเขาร้องฮือๆๆ อยู่ครู่หนึ่ง
อารองสวี่รู้สึกสงสารนางไปชั่วขณะ เขารู้สึกว่าลูกสาวศึกษาที่สำนัก ต้องทนทุกข์ทรมานมาก อาจารย์ของสำนักต้องเข้มงวดมากแน่ๆ
สวี่หลิงเยวี่ยที่สวมชุดผ้าไหมสีเขียวยืนอยู่ข้างๆ เมื่อมองภาพนี้ใบหน้ารูปไข่ที่ซูบลงของเด็กสาวเผยรอยยิ้มสดใสออกมา
นางอายุมากแล้ว ไม่อาจโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดของพ่อโดยไม่กลัวเกรงเหมือนเสี่ยวโต้วติงได้ และไม่ใช่ลูกชายคนโต จึงไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่เหมือนพี่ชาย
เด็กที่ยืนอยู่ตรงกลางมักจะค่อนข้างเขินอาย
“ไม่เจอกันสิบวัน น้องหญิงซูบผอมลงมาก” สวี่ชีอันเดินเข้าไป ดึงมืออันอ่อนนุ่มของน้องสาว และพินิจอย่างละเอียด
รอบเอวเรียวที่รัดเข็มขัดเข้ารูป หน้าอกเริ่มนูนขึ้น รูปร่างกำลังโตของหญิงสาวมีเสน่ห์เป็นพิเศษ
ดวงตากลมโตบนใบหน้ารูปไข่ ไม่ว่าจะมองใกล้หรือไกลก็ไร้ที่ติ ขาดเสน่ห์ของหญิงสาวเล็กน้อย แต่มีความงามกับไหวพริบอันบริสุทธิ์ของสาวน้อย
สวี่หลิงเยวี่ยชักมือออกอย่างไม่รู้ตัว และอดกลั้นไว้ อุณหภูมิที่ฝ่ามือของพี่ใหญ่ทำให้ใบหน้าของนางแดงขึ้น ตาใสแป๋วเป็นระลอกคลื่น นางตะโกนออกมาเบาๆ “พี่ใหญ่…”
ระหว่างทางที่กลับบ้าน สวี่หลิงเยวี่ยเสนอตัวอย่างไม่เคยมีมาก่อนว่าอยากขี่ม้า แต่เพราะขี่ม้าไม่เป็น หลังจากได้รับการยินยอมจากพ่อ นางก็ขี่ม้าตัวเดียวกับสวี่ชีอัน
แดดร้อน ลมพัดใบหน้าเย็นเล็กน้อย การขี่ม้าในฤดูหนาว ก็เทียบได้กับการขับมอเตอร์ไซค์ในวันเพ็ญเดือนสิบสองของฤดูหนาว และไม่สวมหมวกนิรภัย
สุดท้ายแล้วสวี่หลิงเยวี่ยก็เป็นผู้หญิง ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของสวี่ชีอันแน่น มองทิวทัศน์รอบๆ ด้วยดวงตาระยิบระยับ และรู้สึกปลอดภัยกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในอ้อมแขนของสวี่ซินเหนียนก็มีน้องสาวคนหนึ่งเช่นกัน
“พี่รอง ม้าเขย่าจนข้าจะอ้วกแล้ว…”
“เช่นนั้นก็กลับไปในรถม้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง