ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 602

บทที่ 602 กระบี่จงมา

ลั่วอวี้เหิงเหม่อมองหลังคาอย่างเลื่อนลอย รูม่านตาไร้จุดโฟกัส

หลังตื่นขึ้นจากจมสู่ห้วงนิทราลึก เกิดความรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าตนอยู่แห่งหนใด

ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกเช่นนี้ นางยังเด็กนัก

ลั่วอวี้เหิงพ่นลมออกปากดัง ‘ฟู่ว’ รวบรวมพลังที่จุดศูนย์กลาง กำหนดจิตเดิม เริ่มสำรวจภายในตน ยอมรับความทรงจำตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา

บุคลิกทั้งเจ็ด เปรียบดั่งตัวแทนไฟแห่งกรรมแผดเผาร่างกายนาง ซึ่งเรียกว่า ‘ใจมาร’

บัดนี้ไฟแห่งกรรมดับมอดแล้ว ความทรงจำทั้งเจ็ดบุคลิกเริ่มปรากฏทีละบุคลิก

ลั่วอวี้เหิงรู้สึกว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างสวี่ชีอัน ตนล้วนยอมรับทั้งสิ้น

ประการแรก นางมีความรู้สึกดีๆ แก่สวี่ชีอัน จุดนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธ

เพื่อไม่ให้ทางหันหลังกลับแก่ตนเอง การบำเพ็ญคู่ครั้งแรก นางจึงใช้เวลาทั้งคืนกับสวี่ชีอันในฐานะบุคลิกหลัก

จึงไม่เกิดความรู้สึกเช่นนั้นยามตื่น ความรู้สึกที่ว่าตนนอนกับชายแปลกหน้าตลอดเจ็ดวันเต็ม

ประการสุดท้าย แม้แต่ร่างกายก็ยอมพลีให้แก่เขา ฉะนั้นตลอดเจ็ดวันจึงไม่มีอะไรไปมากกว่าบำเพ็ญซ้ำแล้วซ้ำเล่า

‘ครั้งแรกที่จับคู่บำเพ็ญกับเขา ในใจข้ายังคงต่อต้าน คงต้องรอความทรงจำตลอดเจ็ดวันนี้หวนคืน ข้าอาจยอมรับเขาได้โดยไม่อับอายหรือลำบากใจ…’

ขณะที่ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิด เศษเสี้ยวความทรงจำก็เริ่มปรากฏขึ้นในสมองนางดั่งตะเกียงไฟฉายภาพ

‘ความทรงจำ’ แรกของนางคือ ความทรงจำจากบุคลิกแห่ง ‘ความโกรธ’

ความคิดหลั่งไหลเป็นภาพฉายอย่างรวดเร็ว ในความทรงจำนั้น นางกำลังถลึงตามองสวี่ชีอันด้วยความโกรธเคืองอยู่เสมอ ท่าทีร้ายกาจทำให้นางขมวดคิ้ว

‘ก็เหมือนเดิม อารมณ์ร้อนจนเป็นนิสัย นางเป็นตัวแทนความดื้อรั้นบุคลิกสุดท้ายของข้า ไม่ยอมให้ไฟแห่งกรรมจำนนต่อบุรุษผู้ที่มีความรู้สึกไม่เพียงพอ นึกไม่ถึงว่าการเลือกระงับอารมณ์โกรธเคืองอย่างเด็ดเดี่ยว จะเป็นการปฏิเสธการจับคู่บำเพ็ญ ไม่สมเหตุสมผลนัก…’

‘อืม ทัศนคติของเขาไม่เลวเลย ความหงุดหงิดฉุนเฉียวของ ‘ข้า’โดยไม่มีเหตุผลก่อให้เกิดความไม่พอใจจนใหญ่โต’

ลั่วอวี้เหิงลอบพยักหน้า เห็นด้วยกับบุคลิกแห่ง ‘ความโกรธ’ ที่เกิดอารมณ์มากเกินไปจนไร้เหตุผล ขณะแอบพึงพอใจกับทัศนคติที่ดีของสวี่ชีอัน

ในเวลานี้ ภาพหนึ่งฉายขึ้นมา นั่นเป็นช่วงกลางดึก สวี่ชีอันบุกรุกเข้ามาในห้องนอน ‘เย้าแหย่’ บุคลิกแห่งความโกรธ จนทั้งสองตะลุมบอนกันบนเตียง จากนั้นเสื้อผ้าของนางก็ถูกถอดทีละชิ้น เผยให้เห็นร่างอวบอิ่มขาวราวหิมะ

ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้ว ใบหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย

‘แต่สิ่งที่เขาพูดก็สมเหตุสมผล ถ้าบุคลิกแห่งความโกรธไม่ยอมบำเพ็ญคู่ บุคลิกอื่นก็จะทำแบบเดียวกันนี้ ข้าคงตายแน่ แม้เขาไม่เข้าใจบุคลิกอื่น แต่ก็บุกรุกเข้ามา นั่นก็เป็นเพราะคิดเผื่อข้า…’

ลั่วอวี้เหิงสะกดจิตตน

เอาล่ะ วันของบุคลิกแห่งความโกรธผ่านไปเช่นนี้ แม้ว่าจะเกิดอุปสรรคบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ลั่วอวี้เหิงยังทำใจยอมรับได้

‘ต่อไปจะเป็นบุคลิกใด…’ นางพึมพำอย่างไม่แน่ใจ

การปรากฏบุคลิกทั้งเจ็ดบุคลิกนั้นเป็นแบบสุ่ม ไร้ร่องรอยและไร้กฎเกณฑ์

ในไม่ช้า ฉากหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมา ลั่วอวี้เหิงจึงได้รู้ว่าบุคลิกที่สองคือบุคลิกใด

ราคะ!

ในภาพนั้น นางตื่นแต่เช้า เป็นฝ่ายรุกวางต้นขาพาดเอวสวี่ชีอัน ยั่วยวนให้เขาบำเพ็ญคู่กับตน

วนเวียนอยู่เช่นนี้ทั้งวันทั้งคืน

ไร้ยางอาย ไร้ยางอายเหลือเกิน…ใบหน้าลั่วอวี้เหิงแดงก่ำ เลือดสูบฉีดบนพวงแก้ม จนอยากเอาหน้ามุดดิน นิ้วเท้านางงอเกร็งด้วยความอับอาย ร่างกายเกร็งทื่อ

นางรู้ดีว่าบุคลิกนี้ค่อนข้างแสบสันบ้าง แต่กระนั้นก็ไม่คิดว่าจะไร้ยางอายเช่นนี้

ลั่วอวี้เหิงไม่มีวันยอมรับว่านี้คือตนเอง

หลังจากบุคลิกแห่งราคะคือบุคลิกแห่งความกลัว และทันทีที่บุคลิกแห่งความกลัวปรากฏ มันก็สร้างความลำบากสวี่ชีอันผู้เหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันทั้งคืน

ลั่วอวี้เหิง ‘เพ่งดู’ อย่างชัดเจน หลังจากเสร็จสิ้นการบำเพ็ญคู่ก็ออกจากห้องพร้อมกับสีหน้าซีดเผือด

เมื่อเห็นสวี่ชีอันเป็นเช่นนี้ ราชครูก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์สับสน จนเกิดความคิด ‘ละอายใจต่อเขา’

แต่ในไม่ช้า ความคิดนี้ก็พลันสลายไปด้วยภาพความทรงจำต่อมา นางเห็นสวี่ชีอันกลั่นแกล้งบุคลิกแห่งความกลัว จากนั้นบุคลิกแห่งความโศกเศร้าก็แทรกขึ้นมา

“อายุอานามข้าเหลือเฟือพอจะจับเจ้าทำภรรยา…”

“ไม่เสียเปล่าที่ข้ากัดฟันทนต่อสู้มายี่สิบปีและไม่ปรานีจักรพรรดิหยวนจิ่ง ข้ารอจนเจ้าท่องยุทธภพเสร็จสิ้น เราก็จะกลายเป็นคู่บำเพ็ญโดยสมบูรณ์”

“บอกรักฉันเร็วเข้า”

“น่ารำคาญ”

“เรียกสวี่หลางเร็วเข้า”

“สะ…สวี่หลาง…”

สวี่หลางงั้นหรือ!

ลั่วอวี้เหิงสั่นสะท้าน ตะลึงพรึงเพริดจนพูดไม่ออก ร่างกายนางสั่นไหว จนริมฝีปากสั่นตาม

ข้าทำอะไรลงไป ต่อจากนี้ข้าจะสู้หน้าเขาได้อย่างไร

เรื่องนี้ยังไม่สิ้นสุด บุคลิกแห่งความโศกเศร้ากำลังสมเพชตน พรั่งพรูความในใจให้เขาฟัง พูดถึงการเดินข้ามผ่านในใจตน พูดว่าพอรุ่งสางก็คิดแต่อยากแนบชิดเขา แต่ก็กลัวเสียหน้า ทั้งที่ในใจยุ่งเหยิง

ภายหลังที่เขาเป็นฝ่ายรุกเชื่อมต่อตน จึงฟูมฟายด้วยความปีติยินดี

เจ้ากำลังบิดเบือน! ลั่วอวี้เหิงเดือดพล่าน

ท่ามกลางความมืดมิด นางรู้สึกว่าภาพลักษณ์ในอดีตของตนพังทลายลงและหายไปตลอดกาล

เบื้องหลังความละอายใจนั้น บุคลิกแห่งความโศกเศร้าได้หลงรักคนสกุลสวี่เสียแล้ว ดังนั้นบุคลิกแห่งความรักจึงอุทิศให้แก่เขาอย่างสุดใจ

ลั่วอวี้เหิง ‘เห็น’ ภาพในโรงเตี๊ยมหลังเล็ก นางถูกดัดตนในท่าทางต่างๆ

นี่ไม่ใช่เคล็ดลับกามศิลป์ในห้องหับ แต่เป็นฝีมือของคนสกุลสวี่ล้วนๆ

ช่างทารุณ ทารุณข้ามากเกินไปแล้ว…ดวงตาลั่วอวี้เหิงพลันเปลี่ยนเป็นสีดำ

ฟู่ว!

นางหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ เพ่งมองพื้นที่ว่างเปล่าภายในห้องแห่งใดสักที่ พึมพำกับตนว่า

“ในเมื่อตัดสินใจจับคู่บำเพ็ญกับเขาแล้ว ถือว่าเขาเป็นคู่บำเพ็ญในภายภาคหน้า ระ…เรียกสวี่หลางสักหน่อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรง

“ระหว่างคู่บำเพ็ญ การอิงแอบแนบชิดนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ อย่าถือสา อย่าเอามาใส่ใจ…

“อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องระหว่างข้ากับเขา โดยไม่ต้องให้ผู้อื่นมารับรู้”

ทันใดนั้น ความทรงจำส่วนหนึ่งก็ปรากฏ ภายในห้องแห่งหนใดสักที่ โต๊ะด้านข้างมีหลินอัน ฮว๋ายชิ่ง หลี่เมี่ยวเจิน และลูกศิษย์หญิงของท่านโหราจารย์สองคนนั่งอยู่

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าบางคนชอบสวี่หลาง บางคนประทับใจเขา และบางคนก็แอบชอบเขาอยู่เงียบๆ แต่หลังจากคืนนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะละทิ้งความคิดมิควรเหล่านี้”

“สวี่หลาง เจ้าพูดอะไรสักอย่างสิ”

ลั่วอวี้เหิงเหมือนดั่งรูปปั้นหิน กำลังสลายไปตามกระแสลม

นางเงียบเชียบไม่ยินดียินร้ายเป็นเวลานาน ชั่วขณะหนี่ง นางก็เหยียดมือขวาออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากอารมณ์แปรปรวน

“กระบี่จงมา!”

กระบี่เหล็กเปื้อนสนิมลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำ พุ่งตรงมาอยู่ในมือลั่วอวี้เหิง

ราชครูเหยียบลำแสงสีทองออกจากอารามรัตนะ นางออกไปอย่างเด็ดเดี่ยวและอาจหาญ เฉกเช่นขุนพลหญิงรีบเร่งไปสนามรบ ซึ่งพกพาความกล้าที่ไร้ซึ่งการแยกแยะผิดชอบชั่วดี

จวนสกุลสวี่ อาสะใภ้หาวหวอดๆ ขณะสั่งสอนเสี่ยวโต้วติงที่ตะโกนเสียงดังเปี่ยมไปด้วยพลังตั้งแต่เช้าตรู่ จนทำให้นางตื่น

“เจ้าพูดให้รู้ความหน่อย ฟ้ายังไม่ทันสว่างเจ้าก็อาละวาดเสียแล้ว แม่ทั้งมาหุงหาอาหารทั้งแต่งตัวให้เจ้า แต่เจ้าก็กวนฝันข้าแต่เช้าน่ะหรือ”

อาสะใภ้เท้าเอว บ่นเสียงหวาน

เสี่ยวโต้วติงยืนอยู่ตรงหน้านาง ก้มศีรษะยอมรับผิด

“เจ้ารู้ตัวว่าผิดหรือยัง”

“รู้แล้ว”

“ต่อไปยังจะกล้าอีกหรือไม่”

“ไม่กล้าเจ้าค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง