ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 604

บทที่ 604 ศาลเจ้า

ทุกสถานที่ที่เดินทางผ่าน มักจะถามผู้รู้ประจำท้องถิ่นเกี่ยวกับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย…นี่คือสิ่งที่สวี่ชีอันเชื่อว่า นอกจากการหนทางการตรวจจับปราณมังกรแล้ว วิธีนี้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพมากกว่า

ร่างพักพิงปราณมังกรล้วนเป็นพวกรักสวยรักงาม อวดอุตริต่อหน้าผู้คน พวกเขามักก่อปัญหาเพื่อดึงดูดความสนใจผู้คน

แต่ว่ากันตามความเข้มของปราณมังกร การเคลื่อนไหวที่ปะทุขึ้นมักแตกต่างกัน ปราณมังกรบางชนิดสร้างความฮือฮาให้คูเมือง ขณะที่ร่างพักพิงปราณมังกรบางคนอาจกลายเป็นคนที่น่าจับตามอง

นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่ปั่นป่วน ทั่วทุกสารทิศจะไม่สงบสุข เกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย

หลี่หลิงซู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บอกมาว่ามีอะไรน่าสนใจ”

เหมียวโหย่วฟางคาบตะเกียบ กล่าวเสริมไม่จริงจังนัก

“ตามหลักยุทธภพ พวกเดรัจฉานภูตผีปีศาจที่ก่อความวุ่นวายจะถูกเรียกว่า ‘เรื่องลี้ลับ’ หากโจรในคาบชาวยุทธภพออกปล้นสะดมชาวบ้านจะเรียกว่า ‘เหตุเภทภัย’ หากผู้ลากมากดีใช้อำนาจบาตรใหญ่ ค้าประเวณี กดขี่ราษฎรก็จะเรียก ‘พวกไร้ประโยชน์’

“ผู้อาวุโส ท่านถามเป็นเพียงข้อแรกนะ”

สวี่ชีอันพูดด้วยความประหลาดใจ “มีเรื่องน่าสนใจกว่านี้อีกหรือ”

เขามองหลี่หลิงซู่ในทันที เทพบุตรเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ราวกับตนได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก

เมื่อเห็นเช่นนั้น เหมียวโหย่วฟางพลันลุกขึ้น เมื่อรู้สึกเหนือกว่า ส่ายศีรษะพลางพูดว่า

“พวกท่านทั้งสองเป็นผู้สูงส่ง เป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าใจสำนวนสุภาษิต หลักประเพณีระดับล่างของยุทธภพ”

หลังพูดจบ เขาก็เห็นมู่หนานจือห่อตัวลง จนแนบชิดกับสวี่ชีอันด้วยสีหน้าหวาดกลัว

คำถามของสวี่ชีอันเมื่อครู่คือ “มีเรื่องลี้ลับหรือเปล่า”

เสี่ยวเอ้อร์ตอบกลับว่า “มี!”

นี่แสดงให้เห็นว่ามีเหตุการณ์ภูตผีปีศาจออกอาละวาดเกิดขึ้นหลายครั้งในเมืองเล็กๆ เมื่อไม่นานมานี้

มู่หนานจือกลัวภูตผีปีศาจเหล่านี้เป็นที่สุด แม้ข้างกายจะมีจอมยุทธขั้นบรรลุธรรม ก็ไม่อาจทำให้นางอุ่นใจ

ภายใต้การเฝ้ามองอย่างเงียบงันของแขก เสี่ยวเอ้อร์ของร้านก็มองไปที่ประตูร้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีแขกใหม่เข้ามาในร้าน จึงนั่งลงข้างๆ เหมียวโหย่วฟางและพูดว่า

“เรื่องนี้ถูกพูดขึ้นเมื่อเดือนก่อน ในอำเภอมีชายคนหนึ่งชื่อว่าหลี่กุ้ย ภรรยาเสียชีวิต

“คนตายเป็นเรื่องปกติ ไม่น่ามีอะไรผิดแปลก แต่ใครจะรู้ ในเจ็ดวันแรก หลี่กุ้ยได้ยินเสียงคนเคาะประตูตอนกลางคืน ด้วยความสะลึมสะลือจึงถามว่านั่นใคร

“คนที่อยู่นอกประตูตอบกลับมาว่าเป็นภรรยาของเขา อยากเข้าบ้านไปนอน ก่อนจะถามว่าเหตุใดเขาถึงปิดประตู

“หลี่กุ้ยรู้สึกสับสนในเวลานั้น เขาจึงลุกเดินไปเปิดประตู ขณะกำลังเดินถึงประตูพลันคิดได้ว่า ภรรยาตนตายไปแล้ว จะกลับมาได้อย่างไร

“ด้วยความกลัวจึงหนีกลับไปที่เตียง ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไม่กล้าโผล่หัวออกมา

“ภรรยาของหลี่กุ้ยยังคงเคาะประตูอยู่ข้างนอก ถามเขาว่าทำไมไม่เปิดประตู พูดประโยคนั้นอยู่ซ้ำๆ

“จนกระทั่งรุ่งสาง ไก่เริ่มขัน เสียงเคาะประตูก็เงียบลง”

มู่หนานจือตัวสั่นเบาๆ จินตนาการถึงตอนตนอยู่คนเดียวในห้องว่างเปล่ากลางดึก จากนั้นมีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูโดยอ้างว่าเป็นสวี่ชีอันที่ตายไปแล้วเจ็ดวัน…

สีหน้านางพลันถอดสี

สวี่ชีอันที่ไม่รู้ว่าตนได้กลายเป็นสามีที่ตายไปแล้วในหัวมู่หนานจือถามขึ้น

“จากนั้นล่ะ”

เสี่ยวเอ้อร์เล่าต่อ

“วันรุ่งขึ้น หลี่กุ้ยก็ไปแจ้งทางการ แต่ทางการคิดว่าหลี่กุ้ยกำลังโกหก จึงทุบตีเขาและโยนเขาไป คืนต่อมา ภรรยาของหลี่กุ้ยกลับมาเคาะประตูบ้านอีกครั้ง

“ครั้งนี้ ภรรยาของเขาเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหลี่กุ้ยไม่เปิดประตู นางจึงนอนคว่ำหน้าอยู่นอกหน้าต่างมองเข้ามาภายในบ้าน นอนอยู่เช่นนั้นตลอดทั้งคืน…”

มู่หนานจือตกใจจนตัวแข็งทื่อ จิ้งจอกขาวตัวน้อยในอ้อมแขนของนางเกือบหายใจไม่ออก จึงตะกุยขาอย่างรุนแรง

เหมียวโหย่วฟางฟังด้วยความเพลิดเพลิน ตั้งคำถามว่า

“รู้ได้อย่างไรว่านอนคว่ำหน้าทั้งคืน เหตุใดจึงรู้ละเอียดจัง”

เสี่ยวเอ้อร์ร้านหัวเราะ “แหะๆ” เอ่ยว่า “เรื่องยังไม่จบเท่านี้ หลังจากไก่ขัน ภรรยาของหลี่กุ้ยก็จากไป หลี่กุ้ยหวาดกลัวอยู่สองวัน รู้สึกว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เกิดความโกรธสุมในทรวงจนไม่เกรงกลัว ก็เลย…”

เหมียวโหย่วฟางเอ่ยแทรก “ก็เลยไปแจ้งให้ทางการทราบอีกครั้งหรือ”

เสี่ยวเอ้อร์พูดไม่ออก ลอบเลียริมฝีปาก เผยยิ้มดูกระอักกระอ่วน

“นายท่านชอบพูดหยอกอยู่เรื่อย แจ้งทางการไม่จำเป็นต้องโกรธเคืองเช่นนั้น…”

หลังเรื่องราวชะงักไปชั่วครู่ เสี่ยวเอ้อร์ก็มีสีหน้าจริงจัง กดเสียงต่ำเล่าต่อ “เขาเรียกเพื่อนมารวมตัวกันเพื่อไปขุดหลุมฝังศพ”

มู่หนานจือถามเสียงแผ่วเบา “ศพไม่อยู่แล้วใช่หรือไม่?”

เสี่ยวเอ้อร์สั่นศีรษะ

“นั่นก็ไม่ใช่ หลี่กุ้ยขุดหลุมฝังศพของภรรยากับเพื่อนๆ พบว่าร่างของนางยังนอนอยู่ในโลงศพ ร่างกายย่อยสลายไปบ้างแล้ว

“ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตำหนิหลี่กุ้ยที่พูดจาไร้สาระ ทางการไม่ได้ผิด ถ้าท้ายที่สุดแล้วศพยังอยู่ในโลง เป็นไปได้หรือไม่ว่านางเปิดฝาโลงออกมาทำให้ผู้คนหวาดกลัว แล้วฝังตัวเองกลับก่อนรุ่งสาง?”

มู่หนานจือได้ยินว่าไม่ใช่ผี จึงไม่กลัว เลยตอกกลับไปว่า

“หลี่กุ้ยผู้นี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย หยิบยกเรื่องภรรยาที่ตายแล้วมาแอบอ้าง”

เสี่ยวเอ้อร์มีสีหน้าจริงจัง ส่ายหัวแล้วพูดว่า

“ใจเย็นก่อนแม่นาง ฟังข้าให้จบ

“เมื่อเผชิญกับความสงสัยของทุกคนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า หลี่กุ้ยอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมาเป็นภาพลวงตาของเขาเองหรือไม่

“เขาแน่ใจว่าเขาตาฝาดหูฝาด เขาจึงสังเกตร่างกายของภรรยาอย่างรอบคอบ เจ้าเดาสิว่าเขาเจออะไร”

เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้มีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่อง เขารู้วิธีเล่าเรื่อง กระตุ้นความสงสัย พร้อมทั้งท่าทางกับการใช้มือร่วมด้วย สวี่ชีอันรู้สึกว่าถ้าตนไม่เคยชินกับการค้าประเวณี ป่านนี้ไม่พูดถึงค่าหัวคงล้มเลิกไปแล้ว

“เจออะไรหรือ”

เสียงเล็กแหลมเหมือนเด็กของจิ้งจอกขาวตัวน้อยดึงขึ้นในอ้อมกอดมู่หนานจือ

เสี่ยวเอ้อร์มองไปรอบๆ “เสียงผู้ใด?”

ขณะสายตาเขาจับจ้องไปยังทรวงอกอวบอิ่มของพระชายา สวี่ชีอันก็ใช่ฝ่ามือดันศีรษะเขาหงายหลังแล้วพูดเสียงเรียบ

“เล่าเรื่องต่อไป”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง