ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 605

บทที่ 605 แม่หมอคนทรง

วัดศาลหลักเมืองตั้งอยู่นอกเมือง ห่างออกไปทางทิศตะวันออกหกลี้

สวี่ชีอันและพรรคพวกควบม้ามาถึงที่หมายในเวลาชั่วจิบน้ำชา

วัดเล็กๆ ปูด้วยกระเบื้องสีดำและผนังสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก วัดขนาดเล็กรายล้อมด้วยกำแพงสีขาว และมีทางแคบๆ เชื่อมระหว่างวัดกับถนน

วัดศาลหลักเมืองค่อนข้างเป็นที่รู้จัก มีทั้งคนทั่วไปที่แต่งตัวธรรมดา และชนชั้นสูงในเครื่องแต่งกายสีสันสดใสเดินไปมา เข้าออกทางเข้าแคบๆ ของวัดอยู่เรื่อยๆ

นอกจากนี้ยังมีรถม้าหลายคันจอดอยู่ด้านนอกวัด

“ย่ะ!”

สวี่ชีอันบังคับม้าให้เดินไปที่หน้าประตูวัด พลิกตัวลงจากม้า จากนั้นประคองมู่หนานจือลงจากม้า แล้วผูกม้าติดกับเสาไม้ข้างทางพร้อมกับหลี่หลิงซู่ และเหมียวโหย่วฟาง

เขาหลับตาสัมผัสสิ่งรอบข้างสักครู่ แต่ก็ต้องผิดหวังทันที รอบด้านไม่มีกลิ่นอายของปราณมังกรอยู่เลย

ที่ทางเข้าวิหารมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคนยืนเฝ้าอยู่ ทั้งคู่ยกมือห้ามพวกเขา เงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า

“จะเข้าไปไหว้พระในวิหาร จ่ายมาก่อนยี่สิบอีแปะ”

ยุคสมัยนี้มีตั๋วเข้าสถานที่เหมือนกัน แม้ว่าเรื่องวิหารจะไม่เกี่ยวกับปราณมังกร แต่ในเมื่อมาถึงที่แล้ว ก็ต้องเข้าไปชมสักหน่อย…สวี่ชีอันเหลือบมองหลี่หลิงซู่แวบหนึ่ง ฝ่ายหลังเม้มปากแน่น แล้วควักเงินยี่สิบอีแปะออกมาให้

ชายคนด้านซ้ายมือรับมา มองเครื่องแต่งกายของสวี่ชีอันแล้วถอนหายใจกล่าว

“ยี่สิบอีแปะต่อคน”

มู่หนานจือขมวดคิ้ว เจ้าคนผู้นี้เห็นท่าทางสวี่ชีอันแต่งตัวดี จึงสบโอกาสเรียกเก็บเงินเพิ่มละสิ

“เหตุใดพวกนั้นถึงไม่ต้องจ่ายเล่า” นางชี้ไปทางคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่เข้าไปวิหารด้วยกัน

“พวกนั้นมาที่นี่ประจำ ไม่ต้องจ่าย” ชายหนุ่มเฝ้าประตูพูดจาเล่นลิ้น ดูไม่หวั่นเกรงการมีเรื่องสักนิด และพูดอย่างเหลืออดว่า

“จะเข้าไปไหว้พระก็จ่ายเงินมา ไม่มีเงินก็ไสหัวไป”

สวี่ชีอันหันไปปรามมู่หนานจือ แล้วกล่าว “ให้เขาไป”

หลังจากจ่ายเงินแล้ว ทั้งสี่คนก็ก้าวเข้าไปหลังประตูใหญ่ สวี่ชีอันกวาดตามองรอบหนึ่ง ลานวัดถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งด้วยแผ่นหินทอดยาวไปสู่ตัววิหาร ด้านซ้ายมือเป็นเจดีย์ก่อด้วยดินเหลือง มีการเผากระดาษเหลืองกันอยู่

ด้านขวามือมีเชิงเทียนสูงประมาณครึ่งตัวคนตั้งอยู่หนึ่งคู่ เทียนสีแดงกำลังลุกไหม้ น้ำตาเทียนไหลเป็นสาย

สาธุชนทั้งหลายต่างรวมตัวกันเผากระดาษเหลือง และจุดเทียนอยู่เต็มสองฝั่ง

พวกเขาทั้งสี่เดินผ่านลานวัด ตรงเข้าไปยังวัดศาลหลักเมือง สิ่งของที่ประดิษฐานอยู่ด้านในวิหารดึงดูดความสนใจของพวกเขาทันที

มันคือรูปปั้นเด็กหน้าตาน่าเกลียด ไม่สวมเสื้อผ้า พุงอ้วนกลม มันยกมือสองข้างขึ้นสูงถือกระจกหิน กระจกดังกล่าวแตกหัก เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

ตัวรูปปั้นไม่มีความเสียหาย มีแต่ตัวกระจกที่แตกหัก

เบื้องหน้ารูปปั้นมีสาธุชนราวๆ สิบกว่าคนกำลังกราบไหว้ ด้านขวามือของโต๊ะธูปเทียนเบื้องหน้า มีหญิงชรายืนเฝ้าอยู่ ใบหน้าของนางซูบตอบ หน้าผากโหนกสูง ลักษณะคล้ายกับหนู

ดูฉลาดหลักแหลม และเห็นแก่ได้

ไม่มีความผันผวนของพลังปราณ ไม่มีวิญญาณอธรรม หรือปีศาจชั่วร้าย…สวี่ชีอันแผ่จิตเดิมออกไปสำรวจ และยืนยันแล้วว่าที่นี่เป็นวัดศาลหลักเมืองทั่วไปวัดหนึ่ง

จะใช่วัดศาลหลักเมืองจริงๆ หรือไม่ ยังต้องตรวจสอบกันก่อน

วัดศาลหลักเมืองตามปกติไม่มีทางเคารพรูปสักการะเด็กน้อย

หลี่หลิงซู่เองก็ใช้เคล็ดวิชา ‘เปิดด่าน’ ของลัทธิเต๋าขั้นแปด หลังจากตรวจสอบทั้งวัดแล้ว เขาก็หันไปส่ายหน้าให้กับสวี่ชีอัน เป็นการบ่งบอกว่าไม่พบสิ่งผิดปกติ

เสี่ยวเอ้อร์ที่ร้านโอ้อวดเกิดจริงไปหรือเปล่า สวี่ชีอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แทนที่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังจะมีวิทยายุทธ์ชั้นสูง จนทำให้เขาจับสังเกตไม่ได้ กลับกลายเป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่ร้านหลอกให้คนเชื่อเท่านั้น

ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้ไม่มีทางที่มังกรและหงส์จะปรากฏตัวคู่กัน เหมือนกับนิกายสวรรค์ ฆ้องเงินสวี่ผู้กล้าหาญโดนหลอกเข้าเสียแล้ว

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยุดตรงหน้าแม่หมอคนทรง

“พวกเราเป็นคนต่างถิ่น ได้ยินว่าวัดศาลหลักเมืองที่นี่ศักดิ์สิทธิ์นักจึงผ่านมาสักการะ ท่านคือคนทรงใช่หรือไม่ ขอสอบถามสักนิด ทีนี่บูชาเทพเซียนองค์ใดหรือ”

หญิงชรามองไปที่เขา และเห็นสวี่ชีอันสวมอาภรณ์เนื้อดี ดวงตาจึงเป็นประกายขึ้นมา นางกระแอมไอหนึ่งครั้ง และเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“พ่อหนุ่ม เจ้ามาถูกที่แล้วล่ะ

“ที่วัดแห่งนี้บูชาท่านเทพฮุ่นเทียน ท่านเป็นเทพที่มีอทธิฤทธิ์รอบด้าน ในมือถือของวิเศษเรียกว่ากระจกเทพฮุ่นเทียน เทพฮุ่นเทียนใช้กระจกเทพบานนี้ส่องลงมาดูใต้หล้า

“ยายเฒ่าคนนี้เห็นจุดอิ้นถางของเจ้าหมองคล้ำ ช่วงนี้กำลังประสบเคราะห์ ที่เจ้ามาสักการะถึงที่นี่ได้ เป็นเพราะเทพฮุ่นเทียนคอยดลบันดาลให้เจ้าอยู่ลับๆ ท่านมองเห็นชะตาของเจ้า”

สวี่ชีอันกล่าวพร้อมกับแสดงสีหน้า ‘หวาดกลัว’ ออกมา

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าขอรับ ทะ ที่ผ่านมาทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่นแท้ๆ”

หญิงชรากล่าวเรียบๆ

“นั่นเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น หากต้องการปัดเป่าความโชคร้ายละก็ ยายเฒ่าคนนี้จะชี้ทางสว่างให้เจ้าเอง”

เมื่อเห็นสวี่ชีอันพยักหน้าแล้ว นางก็เหลือบมองเสื้อของสวี่ชีอันพลางกล่าว

“ท่านเทพโปรดปรานเงินทอง หากถวายเงินสองร้อยตำลึงเป็นเวลาเจ็ดวันก็จะสามารถปัดเป่าโชคร้ายออกไปได้”

สองร้อยตำลึง โลภมากเหลือเกินนะ…สวี่ชีอันจำชื่อกระจกเทพฮุ่นเทียนของเทพฮุ่นเทียนได้ กะว่าขากลับจะสอบถามสมาชิกพรรคฟ้าดินในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีสักหน่อย

ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างมั่นใจอยู่แล้วว่าแม่หมอคนทรงผู้นี้เป็นพวกร้อยเล่ห์เพทุบาย

ในตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนในชุดขาดวิ่นก็เดินเข้ามา เขาสวมเสื้อชั้นในข้างใต้ และสวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าฝ้ายมอมแมม เห็นหญ้าฟางโผล่ทะลุรอยโหว่ออกมา

ข้างในเสื้อคลุมถูกยัดไส้ด้วยฟาง

ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าผ่านการกรำแดดกรำฝนมานาน การตรากตรำทำงานมาหลายปีทำให้ใบหน้าของเขาหมองคล้ำ เขากล่าวอย่างเป็นทุกข์

“แม่หมอ เมียข้าใกล้จะตายอยู่แล้ว หะ เหตุใดนางถึงยังไม่ดีขึ้นอีก

“ไหนท่านบอกว่าบูชาท่านเทพเป็นเวลาเจ็ดวันแล้ว ความเจ็บป่วยของนางจะดีขึ้น”

แม่หมอคนทรงขมวดคิ้ว “นั่นก็แสดงว่าเจ้ายังศรัทธาไม่มากพอน่ะสิ เจ้าต้องถวายต่อไปอีกสามวัน”

เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้น ความขมขื่นก็ฉายชัดบนใบหน้า “ขะ ข้าไม่มีเงินเหลือแล้ว เงินที่เก็บหอมรอมริบของข้าล้วนแต่นำมาถวายให้กับวัดทั้งหมดแล้วขอรับ”

แม่หมอคนทรงเอ่ยอย่างไม่พอใจ

“นั่นมันเรื่องของเจ้า ไม่มีเงิน เจ้าก็ขายที่นา ไม่ก็ไปยืมเงินของใครสักคนมาสิ

“วัดแห่งนี้เที่ยงธรรม ไม่มาสงสารเจ้าเพียงเพราะครอบครัวของเจ้ายากจนหรอก สาธุชนคนอื่นไม่ต้องบูชาท่านเทพกันหรือไร ครอบครัวเหล่านั้นไม่ได้ยากจนเหมือนกันหรอกหรือ”

หลังจากได้ฟังชุดตรรกะดังกล่าว ชายวัยกลางคืนก็พูดอะไรไม่ออก ริมฝีปากของเขาสั่นระริก

“แต่เมียข้ากินอะไรไม่ได้เลยนะขอรับ นางกินอะไรไม่ได้แล้ว…”

ในตรรกะความคิดอันเรียบง่ายของสามัญชน แค่เดินไม่ได้ กินไม่ได้ก็ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแล้ว

แม่หมอคนทรงแค่นเสียง พลางเอ่ยอย่างขู่เข็ญ

“ท่านเทพจะอำนวยพรให้แก่พวกเรา หากผู้ใดล่วงเกิน ท่านย่อมลงโทษ”

ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ ความหวาดผวาสุดขีดปรากฏชัดบนใบหน้า เขาก้มหน้าลงไป ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก

เหมียวโหย่วฟางที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอยู่ไม่ไกลนัก ขมวดคิ้วมุ่น

อีกด้านหนึ่ง หลี่หลิงซู่กำลังสอบถามข้อมูลจากสาธุชนในวัดอย่างมีชั้นเชิง เป้าหมายของเขาคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง

“น้องชายยังหนุ่มยังแน่น มาขอพรอะไรที่วัดหรือ”

หลี่หลิงซู่หล่อเหลา บุคลิกงามสง่า ยากที่จะเมินเฉย ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ปะ เปล่าขอรับ”

หลี่หลิงซู่กล่าวยิ้มๆ “ทุกคนต่างก็มากราบไหว้ขอพรกันทั้งสิ้น พูดมาเถิด”

เขาแอบใช้พลังของจิตเดิมส่งอิทธิพล น้ำเสียงของเขาแฝงเร้นด้วยเสน่ห์ชวนให้เชื่อฟัง และสนิทสนม ทำให้ชายหนุ่มเผลอเปิดใจโดยไม่รู้ตัว เขากล่าวพลางส่งยิ้มขมขื่น

“ข้ามาขอบุตรขอรับ”

หลี่หลิงซู่ส่งเสียง ‘อ้อ’ เป็นการตอบรับ และเอ่ยถาม “เจ็ดวันเหมือนกันหรือ”

ชายหนุ่มพยักหน้า

“คงเสียเงินไปไม่น้อยเลยสิท่า” หลี่หลิงซู่พูดแล้วก็หันไปมองชายวัยกลางคนผู้นั้น

“เสียเงินน่ะไม่เท่าใดหรอก…”

ชายหนุ่มเผยสีหน้าอันแปลกประหลาดออกมา และพูดพึมพำอะไรบางอย่าง ในตอนนี้เอง ผ้าม่านที่กั้นห้องโถงด้านในก็เปิดออก และมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินออกมาอย่างรีบร้อน

ใบหน้าของนางแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย เมื่อเห็นสายตาของผู้คนจ้องมอง นางก็รีบเดินไปหาสามีของตน

หลังจากนั้นก็ม่านก็เปิดออกอีกครั้ง ตามมาด้วยชายร่างบึกบึน เขามองเรือนร่างของหญิงสาวคนงามอย่างไม่พออกพอใจนัก

“ท่านแม่ ข้าส่งบุตรไปให้นางในนามของวัดแล้ว ท่านไปเก็บเงินได้แล้ว แม่นางพึงพอใจมากทีเดียว”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นกล่าวกลั้วหัวเราะ

หญิงชรามองไปยังคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“นายหญิงจาง นายใหญ่จาง พวกท่านพอใจหรือไม่”

สีแดงระเรื่อบนใบหน้าของหญิงสาวผู้งดงามจางหายไป เหลือเพียงความขาวซีด ความอัปยศอดสูและคับแค้นใจฉายชัดในแววตาของชายหนุ่มแซ่จาง แต่เขากลับฝืนยิ้ม

“พอใจ พอใจ…”

พูดแล้ว เขาก็ถอดถุงเงินยื่นให้ด้วยรอยยิ้มกล้ำกลืน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง