ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 606

บทที่ 606 ตัวตนที่แท้จริงของท่านเทพ

พลังชีวิตและกลิ่นอายของเหมียวโหย่วฟางถูกลิดรอนอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสัญญาณเดือนล่วงหน้าแต่อย่างใด

ในไม่กี่ลมหายใจเขาก็จวนจะสิ้นลมแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น?”

หลี่หลิงซู่ที่มีประสบการณ์ช่ำชองก็ตื่นตระหนกกับฉากตรงหน้าเช่นกัน เขารีบรุดเข้าไปและคุกเข่าลงเพื่อตรวจสอบทันที

สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในสมองของสวี่ชีอันคือคำว่า ‘วิชาสาปสังหาร’

ตามประสบการณ์ของเขา มีไม่กี่วิธีที่สามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย หนึ่งในนั้นคือ ‘วิชาพ่อมดแห่งความฝัน’ และ ‘วิชาสาปสังหาร’ ของสำนักพ่อมด และ ‘วิชาล่อให้หลง’ ของลัทธิเต๋าที่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่วิชาพ่อมดแห่งความฝันและวิชาล่อให้หลงต่างก็มีข้อกำหนดเบื้องต้นอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป้าหมายต้องอยู่ในสถานะหลับสนิท

ซึ่งเหมียวโหย่วฟางไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดนี้ เช่นนั้นก็เหลือเพียงวิชาสาปสังหารแล้ว

แต่ปัญหาก็คือ วิชาสาปสังหารจำเป็นต้องใช้เส้นผม ผิวหนัง หรือเลือดเนื้อมาเป็นสื่อกลาง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นของใช้ที่พกติดตัวเป็นอาจิณ เหมียวโหย่วฟางอยู่กับพวกเราตลอดเวลา และเขาก็ไม่ได้สูญเสียของใช้ที่ ‘คล้าย’ กับอะไรพวกนั้น…สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น

“อวัยวะภายในทั้งห้าและอารมณ์ทั้งหกของเขากำลังล้มเหลว จิตเดิมหายไปส่วนหนึ่งแล้ว”

สีหน้าและท่าทางของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน เขาก็รีบหยิบยาอายุวัฒนะออกมาจากถุงหอม และป้อนให้เหมียวโหย่วฟางทันที

“จิตเดิมหายไปส่วนหนึ่งแล้วรึ?!” สวี่ชีอันถามราวกับต้องการยืนยัน

หลี่หลิงซู่พยักหน้า เขาเข้าใจว่าสวี่ชีอันหมายความว่าอะไร จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “นี่ไม่ใช่วิชาสาปสังหาร”

วิชาสาปสังหารจะไม่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ ‘จิตเดิมหายไปส่วนหนึ่ง’ ถ้าเหมียวโหย่วฟางถูกโจมตีด้วยวิชาสาปสังหารจริงๆ เช่นนั้นสถานะของเขาในตอนนี้ จิตเดิมและกายเนื้อก็ควรจะล้มเหลวไปด้วยกันจนกระทั่งถึงแก่ความตายไปแล้ว

หลี่หลิงซู่กล่าวเพิ่มเติมว่า “วิญญาณสวรรค์ของเขาหายไปแล้ว ราวกับถูกดึงออกไป ที่น่าแปลกคือข้าไม่สามารถรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อย”

สามารถช่วงชิงจิตเดิมไปต่อหน้าต่อตายอดฝีมือขั้นสี่รวมปราณโดยไม่ถูกจับได้เช่นนี้ มันประหลาดกว่าวิชาสาปสังหารจริงๆ…สวี่ชีอันดึงสติกลับมาพลางลากมู่หนานจือไปด้านข้าง และโน้มตัวลงไปตรวจสอบสภาพการณ์ของเหมียวโหย่วฟาง

ตอนนี้เขาเป็นเหมือนเชิงเทียนในสายลมที่สามารถสิ้นลมได้ทุกเมื่อ

“วิธีการใดกันที่สามารถแยกจิตเดิมบางส่วนออกไปและทำให้กายเนื้อเข้าใกล้ความตายเช่นนี้?” สวี่ชีอันถามด้วยความรวดเร็ว

“วิธีการแยกจิตเดิมบางส่วนออกไปเป็นเรื่องที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ข้าก็ทำได้ แต่การที่มันปิดบังการรับรู้ของข้าได้ ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ระดับบรรลุธรรม ก็ต้องมีวิธีการที่พิเศษ…สำหรับเรื่องการทำให้กายเนื้อเข้าใกล้ความตาย…หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว เมื่อไร้ซึ่งวิญญาณสวรรค์ คนก็จะหมดสติ เมื่อไร้ซึ่งวิญญาณโลก ก็จะกลายเป็นคนบ้า เมื่อไร้ซึ่งวิญญาณมนุษย์ ก็จะตายทันที”

หลี่หลิงซู่ก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าอันตื่นตระหนกและหนักอึ้งอีกว่า “แย่แล้ว ยาอายุวัฒนะไม่ได้ผล เขาอยู่ได้นานสุดเพียงแค่เวลาหนึ่งถ้วยชา”

ไร้ซึ่งวิญญาณสวรรค์ก็จะนอนกลายเป็นผัก ไร้ซึ่งวิญญาณโลกก็จะกลายเป็นคนบ้า ไร้ซึ่งวิญญาณมนุษย์ก็จะตายทันที…สวี่ชีอันคิดทบทวนและกล่าวว่า “จะว่าไปแล้ว สภาพกายเนื้อของเหมียวโหย่วฟางดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการไร้ซึ่งวิญญาณสวรรค์”

หลี่หลิงซู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปจากมุมมองของเทพบุตรนิกายสวรรค์ว่า “ควรพูดว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยต่างหาก”

ทันใดนั้นความคิดของสวี่ชีอันก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “มันใช้วิญญาณสวรรค์เป็นสื่อกลาง คล้ายกับวิชาสาปสังหารใช่หรือไม่? เพียงแต่วิชาสาปสังหารอ้างอิงตามเส้นผม ผิวหนังและเลือดเนื้อ แต่วิธีการนี้อ้างอิงตามวิญญาณสวรรค์ อืม ข้ารู้แล้วว่าควรทำอย่างไร”

สวี่ชีอันยื่นฝ่ามือออกไปตีศีรษะของเหมียวโหย่วฟางเบาๆ ภายใต้การมองอย่างครุ่นคิดของหลี่หลิงซู่

ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ เกิดขึ้น แต่อวัยวะภายในทั้งห้าและอารมณ์ทั้งหกของเหมียวโหย่วฟางหยุดล้มเหลวทันที ยาอายุวัฒนะที่เขาเพิ่งได้รับก็เริ่มออกฤทธิ์และหล่อเลี้ยงอวัยวะภายใน

สวี่ชีอันใช้ความสามารถระดับสูงของเทียนกู่เพื่อ ‘ซ่อน’ เหมียวโหย่วฟางและตัดการเชื่อมต่อระหว่างวิญญาณสวรรค์และร่างกาย

ได้ผลอย่างที่คิดจริงๆ…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ยอดเยี่ยม!”

หลี่หลิงซู่ปลื้มปีติมาก คนที่อยู่เบื้องหลังไม่สามารถข่มเหงเหมียวโหย่วฟางผ่านวิญญาณสวรรค์ได้อีกต่อไป

ระหว่างที่พวกเขากำลังแก้ไขปัญหาก็ทำให้ผู้บำเพ็ญส่วนมากถึงกับหมดหนทาง

ไม่ใช่เพราะประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวางของทั้งสองคน แต่เป็นเพราะสวี่ชีอันมีวิธีการที่สมบูรณ์มากพอ

จุดประสงค์ของเจ็ดยอดกู่แข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ได้เติบโตในระดับบรรลุธรรมขั้นสาม แต่เมื่อเทียบกับระบบจอมยุทธ์ที่สามารถแสดงพลังทำลายล้าง เจ็ดยอดกู่กลับมีประโยชน์ยิ่งกว่าในบางช่วงเวลา

และปัญหาใหม่ก็ตามเข้ามา หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้ว “ใครกันที่กำลังจัดการกับพวกเรา?”

สวี่ชีอันถามกลับว่า “เจ้าเดาออกแล้วไม่ใช่รึ สิ่งที่ขัดแย้งกับพวกเราอย่างชัดเจนในตอนนี้อยู่แค่เอื้อมมือ”

ทั้งสองมองไปที่ประติมากรรมของวิหารพร้อมกัน สวี่ชีอันกล่าวว่า “เมื่อครู่เหมียวโหย่วฟางพังทลายรูปปั้นประติมากรรมของมัน”

หลี่หลิงซู่กล่าวว่า “ไม่น่าจะใช่ เมืองเล็กๆ กับศาลหลักเมืองเล็กๆ จะมีของที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร? จะว่าไปแล้ว ท่านเทพนี่เป็นอะไรกัน? กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่รับรู้ถึงความผันผวนของวิญญาณแม้แต่น้อย”

สวี่ชีอันยักไหล่กล่าวว่า “ตอนนี้ข้ารู้เพียงว่ามีคนโชคร้ายอยู่ในหมู่พวกเรา”

การได้พบเจอเรื่องยุ่งยากในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งเช่นนี้ ก็เหมือนเด็กตกปลาในลำธารแล้วเจอมังกร นอกจากผิวที่คล้ำไปหน่อย อันที่จริงก็ไม่พบคำอธิบายที่เหมาะสมมากกว่านี้แล้ว

เมื่อไม่มีตัวละครอย่าง ‘ผู้อาวุโสสวี’ สวี่ชีอันจึงพูดตามอารมณ์ขึ้นมาก “ออกไปไต่ถามวิญญาณก่อน ดูว่าท่านเทพนี่คืออะไร”

ข้าอยู่ที่สว่าง ศัตรูอยู่ที่มืด หากต้องการจะแก้ปัญหานี้ก็ต้องง่วนอยู่กับการครุ่นคิดก่อนว่ามันคืออะไร เพราะกระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจรายละเอียดของท่านเทพ

หลี่หลิงซู่แบกเหมียวโหย่วฟางขึ้นหลังทันที ในขณะที่กำลังวางแผนจะหันหลังออกจากวิหาร จู่ๆ เขาก็หยุดนิ่ง และในวินาทีต่อมา เขาก็ทำซ้ำความผิดพลาดแบบเดียวกับเหมียวโหย่วฟางอย่างสมบูรณ์แบบ

‘ปัง!’

ทั้งสองล้มลงไปที่พื้นพร้อมกัน

ในอีกด้านหนึ่ง มู่หนานจือและจิ้งจอกน้อยก็เข้าสู่อาการหมดสติในเวลาเดียวกัน พลังชีวิตของหลี่หลิงซู่และจิ้งจอกน้อยลดลงอย่างรวดเร็ว มีเพียงมู่หนานจือเท่านั้นที่ยังปลอดภัยและไม่สูญเสีย แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้

สวี่ชีอันคว้าร่างของนางไว้ในอ้อมแขนก่อนที่นางจะล้มลงพื้น

เขามองไปยังสถานที่ที่มีรูปปั้นประติมากรรมพังทลายด้วยสายตาเคร่งขรึม

ไม่รู้ว่ากระจกหินครึ่งหนึ่งที่รูปปั้นเด็กน้อยถือไว้ลอยขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด เสียง ‘แครก’ ดังขึ้นและปรากฏรอยแตกบนพื้นผิวกระจก

นี่คือกระจกสำริดครึ่งชิ้นที่ประดับด้วยลวดลายคล้ายเถาวัลย์ ผิวกระจกเรียบสะท้อนดวงตาที่ปราศจากขนตาข้างหนึ่ง ซึ่งกำลังจ้องมองทุกคนในวิหารด้วยความเย็นชาและเฉยเมย

กระจกนี้ถูกตัดออกจากกันตรงกลาง รอยตัดเรียบราวกับถูกตัดด้วยมีดคมกริบ

ชั่วพริบตาที่ถูกจ้องมองด้วยดวงตาข้างนี้ สัญชาตญาณชาวยุทธจักรของสวี่ชีอันก็แจ้งเตือนสัญญาณอันตรายออกมาทันที

ในเวลาเดียวกัน ในที่สุดสวี่ชีอันก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าท่านเทพคืออะไร

มันคือของวิเศษชิ้นหนึ่ง ของวิเศษที่ไม่สมบูรณ์ เป็นของที่เพียบพร้อมไปด้วยความตระหนักในตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผิดปกติ

ของวิเศษชิ้นหนึ่ง ได้รับการบูชาจากผู้คนและดูดซับควันธูปที่นี่…หัวใจของสวี่ชีอันกระตุกวูบ เขาเหมือนจะคาดเดาข้อมูลภายในบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ

ดวงตาในกระจกมองลงมาที่สวี่ชีอันด้วยความเย็นชา ก่อนจะฉายลำแสงสีเขียวเข้มออกมาอย่างกะทันหัน

ลำแสงนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมันกระทำต่อจิตวิญญาณโดยตรง

ชั่วพริบตา สวี่ชีอันรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่กำลังดึงจิตเดิมและพยายามฉีกวิญญาณออกจากร่าง

“ฮึ่ย!”

จิตเดิมของเขาเป็นสิ่งที่ดึงตะปูตอกวิญญาณออกมาเป็นอันดับแรก จิตเดิมขั้นสามของแท้ จิตเดิมของยอดฝีมือระดับบรรลุธรรม แม้จะเป็นจอมยุทธ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ของวิเศษสามารถดูดซับไปได้ง่ายๆ

ในขณะที่สวี่ชีอันพยายามรักษาเสถียรภาพของจิตเดิมและต่อต้านแรงดึง เขาก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาและเขย่าเจดีย์พุทธะออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง