บทที่ 606 ตัวตนที่แท้จริงของท่านเทพ – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 606 ตัวตนที่แท้จริงของท่านเทพ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บทที่ 606 ตัวตนที่แท้จริงของท่านเทพ
พลังชีวิตและกลิ่นอายของเหมียวโหย่วฟางถูกลิดรอนอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสัญญาณเดือนล่วงหน้าแต่อย่างใด
ในไม่กี่ลมหายใจเขาก็จวนจะสิ้นลมแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่หลิงซู่ที่มีประสบการณ์ช่ำชองก็ตื่นตระหนกกับฉากตรงหน้าเช่นกัน เขารีบรุดเข้าไปและคุกเข่าลงเพื่อตรวจสอบทันที
สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในสมองของสวี่ชีอันคือคำว่า ‘วิชาสาปสังหาร’
ตามประสบการณ์ของเขา มีไม่กี่วิธีที่สามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย หนึ่งในนั้นคือ ‘วิชาพ่อมดแห่งความฝัน’ และ ‘วิชาสาปสังหาร’ ของสำนักพ่อมด และ ‘วิชาล่อให้หลง’ ของลัทธิเต๋าที่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่วิชาพ่อมดแห่งความฝันและวิชาล่อให้หลงต่างก็มีข้อกำหนดเบื้องต้นอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป้าหมายต้องอยู่ในสถานะหลับสนิท
ซึ่งเหมียวโหย่วฟางไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดนี้ เช่นนั้นก็เหลือเพียงวิชาสาปสังหารแล้ว
แต่ปัญหาก็คือ วิชาสาปสังหารจำเป็นต้องใช้เส้นผม ผิวหนัง หรือเลือดเนื้อมาเป็นสื่อกลาง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นของใช้ที่พกติดตัวเป็นอาจิณ เหมียวโหย่วฟางอยู่กับพวกเราตลอดเวลา และเขาก็ไม่ได้สูญเสียของใช้ที่ ‘คล้าย’ กับอะไรพวกนั้น…สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น
“อวัยวะภายในทั้งห้าและอารมณ์ทั้งหกของเขากำลังล้มเหลว จิตเดิมหายไปส่วนหนึ่งแล้ว”
สีหน้าและท่าทางของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน เขาก็รีบหยิบยาอายุวัฒนะออกมาจากถุงหอม และป้อนให้เหมียวโหย่วฟางทันที
“จิตเดิมหายไปส่วนหนึ่งแล้วรึ?!” สวี่ชีอันถามราวกับต้องการยืนยัน
หลี่หลิงซู่พยักหน้า เขาเข้าใจว่าสวี่ชีอันหมายความว่าอะไร จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “นี่ไม่ใช่วิชาสาปสังหาร”
วิชาสาปสังหารจะไม่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ ‘จิตเดิมหายไปส่วนหนึ่ง’ ถ้าเหมียวโหย่วฟางถูกโจมตีด้วยวิชาสาปสังหารจริงๆ เช่นนั้นสถานะของเขาในตอนนี้ จิตเดิมและกายเนื้อก็ควรจะล้มเหลวไปด้วยกันจนกระทั่งถึงแก่ความตายไปแล้ว
หลี่หลิงซู่กล่าวเพิ่มเติมว่า “วิญญาณสวรรค์ของเขาหายไปแล้ว ราวกับถูกดึงออกไป ที่น่าแปลกคือข้าไม่สามารถรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อย”
สามารถช่วงชิงจิตเดิมไปต่อหน้าต่อตายอดฝีมือขั้นสี่รวมปราณโดยไม่ถูกจับได้เช่นนี้ มันประหลาดกว่าวิชาสาปสังหารจริงๆ…สวี่ชีอันดึงสติกลับมาพลางลากมู่หนานจือไปด้านข้าง และโน้มตัวลงไปตรวจสอบสภาพการณ์ของเหมียวโหย่วฟาง
ตอนนี้เขาเป็นเหมือนเชิงเทียนในสายลมที่สามารถสิ้นลมได้ทุกเมื่อ
“วิธีการใดกันที่สามารถแยกจิตเดิมบางส่วนออกไปและทำให้กายเนื้อเข้าใกล้ความตายเช่นนี้?” สวี่ชีอันถามด้วยความรวดเร็ว
“วิธีการแยกจิตเดิมบางส่วนออกไปเป็นเรื่องที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ข้าก็ทำได้ แต่การที่มันปิดบังการรับรู้ของข้าได้ ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ระดับบรรลุธรรม ก็ต้องมีวิธีการที่พิเศษ…สำหรับเรื่องการทำให้กายเนื้อเข้าใกล้ความตาย…หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว เมื่อไร้ซึ่งวิญญาณสวรรค์ คนก็จะหมดสติ เมื่อไร้ซึ่งวิญญาณโลก ก็จะกลายเป็นคนบ้า เมื่อไร้ซึ่งวิญญาณมนุษย์ ก็จะตายทันที”
หลี่หลิงซู่ก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าอันตื่นตระหนกและหนักอึ้งอีกว่า “แย่แล้ว ยาอายุวัฒนะไม่ได้ผล เขาอยู่ได้นานสุดเพียงแค่เวลาหนึ่งถ้วยชา”
ไร้ซึ่งวิญญาณสวรรค์ก็จะนอนกลายเป็นผัก ไร้ซึ่งวิญญาณโลกก็จะกลายเป็นคนบ้า ไร้ซึ่งวิญญาณมนุษย์ก็จะตายทันที…สวี่ชีอันคิดทบทวนและกล่าวว่า “จะว่าไปแล้ว สภาพกายเนื้อของเหมียวโหย่วฟางดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการไร้ซึ่งวิญญาณสวรรค์”
หลี่หลิงซู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ข้อสรุปจากมุมมองของเทพบุตรนิกายสวรรค์ว่า “ควรพูดว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยต่างหาก”
ทันใดนั้นความคิดของสวี่ชีอันก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “มันใช้วิญญาณสวรรค์เป็นสื่อกลาง คล้ายกับวิชาสาปสังหารใช่หรือไม่? เพียงแต่วิชาสาปสังหารอ้างอิงตามเส้นผม ผิวหนังและเลือดเนื้อ แต่วิธีการนี้อ้างอิงตามวิญญาณสวรรค์ อืม ข้ารู้แล้วว่าควรทำอย่างไร”
สวี่ชีอันยื่นฝ่ามือออกไปตีศีรษะของเหมียวโหย่วฟางเบาๆ ภายใต้การมองอย่างครุ่นคิดของหลี่หลิงซู่
ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ เกิดขึ้น แต่อวัยวะภายในทั้งห้าและอารมณ์ทั้งหกของเหมียวโหย่วฟางหยุดล้มเหลวทันที ยาอายุวัฒนะที่เขาเพิ่งได้รับก็เริ่มออกฤทธิ์และหล่อเลี้ยงอวัยวะภายใน
สวี่ชีอันใช้ความสามารถระดับสูงของเทียนกู่เพื่อ ‘ซ่อน’ เหมียวโหย่วฟางและตัดการเชื่อมต่อระหว่างวิญญาณสวรรค์และร่างกาย
ได้ผลอย่างที่คิดจริงๆ…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ยอดเยี่ยม!”
หลี่หลิงซู่ปลื้มปีติมาก คนที่อยู่เบื้องหลังไม่สามารถข่มเหงเหมียวโหย่วฟางผ่านวิญญาณสวรรค์ได้อีกต่อไป
ระหว่างที่พวกเขากำลังแก้ไขปัญหาก็ทำให้ผู้บำเพ็ญส่วนมากถึงกับหมดหนทาง
ไม่ใช่เพราะประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวางของทั้งสองคน แต่เป็นเพราะสวี่ชีอันมีวิธีการที่สมบูรณ์มากพอ
จุดประสงค์ของเจ็ดยอดกู่แข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงแม้มันจะไม่ได้เติบโตในระดับบรรลุธรรมขั้นสาม แต่เมื่อเทียบกับระบบจอมยุทธ์ที่สามารถแสดงพลังทำลายล้าง เจ็ดยอดกู่กลับมีประโยชน์ยิ่งกว่าในบางช่วงเวลา
และปัญหาใหม่ก็ตามเข้ามา หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้ว “ใครกันที่กำลังจัดการกับพวกเรา?”
สวี่ชีอันถามกลับว่า “เจ้าเดาออกแล้วไม่ใช่รึ สิ่งที่ขัดแย้งกับพวกเราอย่างชัดเจนในตอนนี้อยู่แค่เอื้อมมือ”
ทั้งสองมองไปที่ประติมากรรมของวิหารพร้อมกัน สวี่ชีอันกล่าวว่า “เมื่อครู่เหมียวโหย่วฟางพังทลายรูปปั้นประติมากรรมของมัน”
หลี่หลิงซู่กล่าวว่า “ไม่น่าจะใช่ เมืองเล็กๆ กับศาลหลักเมืองเล็กๆ จะมีของที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร? จะว่าไปแล้ว ท่านเทพนี่เป็นอะไรกัน? กระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังไม่รับรู้ถึงความผันผวนของวิญญาณแม้แต่น้อย”
สวี่ชีอันยักไหล่กล่าวว่า “ตอนนี้ข้ารู้เพียงว่ามีคนโชคร้ายอยู่ในหมู่พวกเรา”
การได้พบเจอเรื่องยุ่งยากในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งเช่นนี้ ก็เหมือนเด็กตกปลาในลำธารแล้วเจอมังกร นอกจากผิวที่คล้ำไปหน่อย อันที่จริงก็ไม่พบคำอธิบายที่เหมาะสมมากกว่านี้แล้ว
เมื่อไม่มีตัวละครอย่าง ‘ผู้อาวุโสสวี’ สวี่ชีอันจึงพูดตามอารมณ์ขึ้นมาก “ออกไปไต่ถามวิญญาณก่อน ดูว่าท่านเทพนี่คืออะไร”
ข้าอยู่ที่สว่าง ศัตรูอยู่ที่มืด หากต้องการจะแก้ปัญหานี้ก็ต้องง่วนอยู่กับการครุ่นคิดก่อนว่ามันคืออะไร เพราะกระทั่งตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจรายละเอียดของท่านเทพ
หลี่หลิงซู่แบกเหมียวโหย่วฟางขึ้นหลังทันที ในขณะที่กำลังวางแผนจะหันหลังออกจากวิหาร จู่ๆ เขาก็หยุดนิ่ง และในวินาทีต่อมา เขาก็ทำซ้ำความผิดพลาดแบบเดียวกับเหมียวโหย่วฟางอย่างสมบูรณ์แบบ
‘ปัง!’
ทั้งสองล้มลงไปที่พื้นพร้อมกัน
ในอีกด้านหนึ่ง มู่หนานจือและจิ้งจอกน้อยก็เข้าสู่อาการหมดสติในเวลาเดียวกัน พลังชีวิตของหลี่หลิงซู่และจิ้งจอกน้อยลดลงอย่างรวดเร็ว มีเพียงมู่หนานจือเท่านั้นที่ยังปลอดภัยและไม่สูญเสีย แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้
สวี่ชีอันคว้าร่างของนางไว้ในอ้อมแขนก่อนที่นางจะล้มลงพื้น
เขามองไปยังสถานที่ที่มีรูปปั้นประติมากรรมพังทลายด้วยสายตาเคร่งขรึม
ไม่รู้ว่ากระจกหินครึ่งหนึ่งที่รูปปั้นเด็กน้อยถือไว้ลอยขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด เสียง ‘แครก’ ดังขึ้นและปรากฏรอยแตกบนพื้นผิวกระจก
นี่คือกระจกสำริดครึ่งชิ้นที่ประดับด้วยลวดลายคล้ายเถาวัลย์ ผิวกระจกเรียบสะท้อนดวงตาที่ปราศจากขนตาข้างหนึ่ง ซึ่งกำลังจ้องมองทุกคนในวิหารด้วยความเย็นชาและเฉยเมย
กระจกนี้ถูกตัดออกจากกันตรงกลาง รอยตัดเรียบราวกับถูกตัดด้วยมีดคมกริบ
ชั่วพริบตาที่ถูกจ้องมองด้วยดวงตาข้างนี้ สัญชาตญาณชาวยุทธจักรของสวี่ชีอันก็แจ้งเตือนสัญญาณอันตรายออกมาทันที
ในเวลาเดียวกัน ในที่สุดสวี่ชีอันก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าท่านเทพคืออะไร
มันคือของวิเศษชิ้นหนึ่ง ของวิเศษที่ไม่สมบูรณ์ เป็นของที่เพียบพร้อมไปด้วยความตระหนักในตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผิดปกติ
ของวิเศษชิ้นหนึ่ง ได้รับการบูชาจากผู้คนและดูดซับควันธูปที่นี่…หัวใจของสวี่ชีอันกระตุกวูบ เขาเหมือนจะคาดเดาข้อมูลภายในบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ
ดวงตาในกระจกมองลงมาที่สวี่ชีอันด้วยความเย็นชา ก่อนจะฉายลำแสงสีเขียวเข้มออกมาอย่างกะทันหัน
ลำแสงนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมันกระทำต่อจิตวิญญาณโดยตรง
ชั่วพริบตา สวี่ชีอันรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่กำลังดึงจิตเดิมและพยายามฉีกวิญญาณออกจากร่าง
“ฮึ่ย!”
จิตเดิมของเขาเป็นสิ่งที่ดึงตะปูตอกวิญญาณออกมาเป็นอันดับแรก จิตเดิมขั้นสามของแท้ จิตเดิมของยอดฝีมือระดับบรรลุธรรม แม้จะเป็นจอมยุทธ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ของวิเศษสามารถดูดซับไปได้ง่ายๆ
ในขณะที่สวี่ชีอันพยายามรักษาเสถียรภาพของจิตเดิมและต่อต้านแรงดึง เขาก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาและเขย่าเจดีย์พุทธะออกมา
ภิกษุชราถ่าหลิงก้มลงไปมองกระจกสีบรอนซ์ราวกับกำลังสื่อสารกับมัน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “มันบอกว่าจำเรื่องในอดีตไม่ได้ หลังจากตื่นขึ้นมาก็ถูกหญิงชราคนหนึ่งหยิบขึ้นมา จากนั้นมันจึงขอควันธูปจากหญิงชรา…หืม? ภิกษุหัวล้านจอมขโมยงั้นรึ?”
ภิกษุชราชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะหัวเราะร่า “เพราะความไม่สมบูรณ์ จิตใจและสติปัญญาของมันจึงสับสน”
ของวิเศษที่ไม่สมบูรณ์และอยู่ในสภาวะสับสนนั้นไม่ปกติเท่าใดนัก…สวี่ชีอันพยักหน้ากล่าวว่า “ท่านอาวุโสได้โปรดดูแลสิ่งนี้ไว้ชั่วคราวด้วยเถิด”
หลังจากกล่าวแล้ว เขาก็ออกจากเจดีย์พุทธะพร้อมกับวิญญาณคนสามคนและสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัว
หลังจากวิญญาณกลับไปยังสถานที่เดิม พวกเขาก็ทยอยตื่นขึ้นทีละคน สวี่ชีอันเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัด เหมียวโหย่วฟางที่ได้ฟังก็เบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เขาเคยสันนิษฐานมาก่อนแล้วว่าท่านเทพคือปีศาจแห่งขุนเขาหรือสัตว์ประหลาดอะไรทำนองนั้น แต่สิ่งเดียวที่ไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยคือเป็นกระจก
“หลี่หลิงซู่ อัญเชิญวิญญาณ!” สวี่ชีอันออกคำสั่ง
หลี่หลิงซู่พึมพำอะไรบางอย่าง ในช่วงเวลาสั้นๆ ภายในวิหารก็เกิดลมแรงและอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว
วิญญาณสองดวงควบแน่น แบ่งเป็นหญิงชราผมขาวดวงหนึ่ง อีกดวงหนึ่งเป็นชายรูปร่างใหญ่ที่มีดวงตาและสีหน้าหม่นหมอง
สวี่ชีอันถามว่า “เจ้าได้กระจกมาได้อย่างไร”
แม่หมอมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาเฉื่อยชาและตอบด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า “บ่อน้ำที่แห้งขอดในบ้านของข้า”
วิญญาณที่เพิ่งเสียชีวิตใหม่ๆ ไม่มีความคิดความอ่าน ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น ไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก
สวี่ชีอันค่อยๆ ถามคำถามมากมาย จนกระทั่งรู้สถานการณ์โดยรวมทั่วไป
ประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากการเก็บเกี่ยวไม่ค่อยดี ประสบภัยพิบัติบ่อยครั้ง ลูกชายของแม่หมอไม่เต็มใจที่จะเลี้ยงดูมารดา ดังนั้นเขาจึงผลักนางลงไปในบ่อน้ำที่แห้งขอด
แม่หมอหยิบกระจกสำริดขึ้นมาจากในบ่อน้ำ ตั้งแต่นั้นมานางก็ถูกกระจกสำริดครอบงำ เพื่อให้นางซ่อมแซมวัดเฉิงหวงแห่งนี้ให้มัน ที่ผ่านมานางจึงมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์และไม่ต้องทนหิวโหยอีกต่อไป
แต่นางคิดว่าท่านเทพนั้นเป็นบ้า ประเดี๋ยวก็ต้องบูชาควันธูป ประเดี๋ยวก็ต้องไปฆ่าภิกษุสงฆ์ ประเดี๋ยวก็ตะโกนอีกว่าราชาเป็นอมตะ โชคดีที่ท่านเทพที่ครอบงำนางอยู่นั้นเชื่อฟังเป็นอย่างดี โดยพื้นฐานแล้วจะกระทำการต่างๆ ตามข้อเสนอของนาง ให้ฆ่าใครก็ฆ่า
ดังนั้นจึงมีสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลี่กุ้ย เป็นผลให้นางได้รับถังทองคำใบแรกจากหลี่กุ้ย และอาศัยมันในการสร้างชื่อให้กับตัวเอง อาศัยพลังของกระจกเทพฮุ่นเทียน ทำให้ผู้คนในเมืองต่างก็หวาดกลัว
ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ลูกชายของนางยังสืบทอดความยิ่งใหญ่ของท่านเทพในนามของลูกชาย บังคับขู่เข็ญและค้าประเวณีหญิงงามในครอบครัวสุจริตจำนวนมาก
“ถึงตายก็ยังไม่สาสม!” เหมียวโหย่วฟางกล่าวด้วยความเย็นชา “ถ้ารู้แต่แรก ข้าจะไม่ปล่อยให้แม่ลูกคู่นี้ตายอย่างรวดเร็วเช่นนี้”
“เหมียวโย่วฟาง เจ้าลองไปซักถามคนอื่นก่อนเถอะ ชายฉกรรจ์ที่เฝ้าวิหารพวกนั้นก็ควรฆ่าให้ตายไปพร้อมกัน” สวี่ชีอันวางแผนอย่างเป็นระเบียบ
ทักษะการบำรุงชี่ของเขาลึกซึ้งกว่าเมื่อก่อนมาก เขาสามารถซ่อนความสุขและความโกรธไว้ในใจได้อย่างมิดชิด
ชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งที่ให้การช่วยเหลือทรราชอยู่ในรายชื่อที่ต้องสังหารของเขานานแล้ว แต่เขากลับไม่รีบร้อนเหมือนก่อนหน้านี้และค่อยๆ ดำเนินการอย่างไม่ช้าหรือเร็วเกินไป ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้ว
ดูเหมือนเขามีส่วนหนึ่งของเว่ยเยวียนมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งเดียวที่ไม่ชัดเจนในตอนนี้คือเหตุใดกระจกสำริดจึงมาอยู่ที่ราบลุ่มกลาง แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ราวกับไม่จำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน…สวี่ชีอันโบกแขนเสื้อ จากนั้นวิญญาณสองแม่ลูกก็มลายหายไปทันที
เขาฉุกคิดขึ้นมาว่าจะจัดการกับกระจกเทพฮุ่นเทียนอย่างไร
โดยปกติแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการครอบงำของวิเศษที่ไม่สมบูรณ์นี้ไว้ข้างกายและปล่อยให้มัน ‘ชดใช้ความผิดด้วยบุญ’ แต่ของวิเศษที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้นก็หมายถึงวิธีการที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวิธี ยิ่งมีวิธีการมากเท่าใด ความสามารถในการจัดการกับภัยอันตรายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
แต่ในเมื่อของวิเศษชิ้นนี้เป็น ‘กระจกโต๊ะเครื่องแป้ง’ ของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางในตอนนั้น สวี่ชีอันก็รู้สึกว่ามันอาจจะสร้างประโยชน์สูงสุดได้
เช่นนั้นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์จะสนใจของที่ระลึกของมารดาหรือไม่นะ?
ไม่แน่ว่าข้าอาจจะขายมันได้ในราคาสูง…สวี่ชีอันมองไป๋จีพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “สาวน้อยน่ารัก เจ้าสามารถติดต่อองค์หญิงของเจ้าได้หรือไม่?”
………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...