ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 608

บทที่ 608 ส่องผ่านจิ่วโจว

ไป๋จีเกลือกกลิ้งไปอย่างรวดเร็ว มันก้าวขาสั้นๆ วิ่งไปทางมู่หนานจืออย่างมีความสุข เงยหน้าขึ้นและมองนางตาปริบๆ

มู่หนานจือโน้มตัวลงแล้วอุ้มมันไว้ในอ้อมแขน ไป๋จีหันไปมองสวี่ชีอันและเอ่ยเสียงหวาน

“ท่านหญิงกลับไปแล้วหรือ ข้อตกลงระหว่างพวกเจ้าบรรลุหรือไม่”

“นางพึงพอใจกับข้อตกลงนี้มาก ที่สำคัญยังเอ่ยชมเรื่องความเฉลียวฉลาดของเจ้าด้วย” สวี่ชีอันตอบ

ไป๋จีหน้าชื่นตาบานทันที ราวกับเด็กๆ ที่ได้รับรางวัลดอกไม้สีแดงในโรงเรียนอนุบาล ทั้งภูมิใจและทะนงตน แต่ก็อดกลั้นไว้

สวี่ชีอันค่อยๆ จูงใจ “ดังนั้น หลังจากนี้หากมีเรื่องอันใดก็ต้องฟังข้า เข้าใจหรือไม่ ข้าอาจจะใจร้าย แต่ทั้งหมดนี่ก็เพื่อเผ่าจิ้งจอกของพวกเจ้า”

ไป๋จีส่งเสียง ‘อืม’

รู้สึกว่าความสัมพันธ์กับสวี่ชีอันแน่นแฟ้นขึ้น

“ท่านหญิงได้พูดอะไรอีกหรือไม่” มันจ้องมองสวี่ชีอัน พยายามหาคำตอบว่าท่านหญิงห่วงใยมัน

มู่หนานจือบุ้ยปากและแค่นเสียงพูด

“ท่านหญิงของเจ้าต้องการยกเจ้าให้เป็นเจ้าสาวเด็กของเขา”

“เจ้าสาวเด็กคืออะไรหรือ” ไป๋จีไม่เข้าใจ

“ก็คือตอนที่เจ้ายังเด็ก เขามีหน้าที่เลี้ยงดูเจ้า หลังจากเจ้าโตขึ้นก็จะให้เจ้าเป็นข้ารับใช้ของเขา เจ้าต้องปรนนิบัติเขา อืม หลับนอนกับเขา จากนั้นก็ให้กำเนิดลูกหลานจิ้งจอกแก่เขา”

มู่หนานจืออธิบายความหมายของ ‘เจ้าสาวเด็ก’ อย่างละเอียด

ด้วยคำอธิบายที่เข้าใจได้ง่าย ไป๋จีจึงเข้าใจในทันที มันหันกลับไปมองสวี่ชีอัน สีหน้าดูไม่ค่อยยินดี

แค่ก…โดนดูถูกเสียแล้ว…สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของนางจิ้งจอก

อย่างที่คาด นางจิ้งจอกคงไม่เข้าใจเสน่ห์ของฆ้องเงินผู้นี้

ขณะที่พูดคุยกันอยู่ หลี่หลิงซู่ก็กลับมาเสียก่อน เขาเหยียบกระบี่บินร่อนลงมาในลาน

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” สวี่ชีอันถาม

“หมดหนทางเยียวยารักษาแล้วจริงๆ เดิมทีมันเป็นเพียงไข้หวัด หากทานยาเร็วกว่านี้ อาการป่วยคงหายสนิทอย่างรวดเร็ว แต่ผู้เฒ่าคนนั้นเลือกไปที่ศาลเจ้า…”

หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า

“ภรรยาของเขาก็ดื่มน้ำยันต์ไปหลายวัน อาการป่วยจึงหนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างมากก็มีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่สองวัน โชคดีที่แม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอ แต่อวัยวะภายในยังไม่เหนื่อยอ่อน ข้าเลยให้ยาขับความหนาวและยาเสริมปราณ จึงหยุดยั้งอาการป่วยได้ในที่สุด หลังจากนี้หากดูแลตัวเองอย่างดี กินอาหารเสริม ไม่ถึงสิบวันก็ฟื้นตัว”

แถมก่อนหน้านี้สวี่ชีอันก็มอบเงินราชการให้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้

หลี่หลิงซู่กล่าวต่อ

“เมื่อครู่ข้าไปเดินวนรอบเขตอำเภอแล้วสอบถามเรื่องหนึ่งมา ขุนนางปกครองอำเภอของอำเภอเซิ่งอี้มีชื่อเสียงในเรื่องให้ทานแล้วล่อลวงคนยากจนไปฆ่าทิ้ง แล้วใช้ศีรษะของพวกเขามาแสร้งว่าเป็นของผู้ลี้ภัยไปร้องขอรางวัลจากราชสำนัก และขอเงินกับอาหารเพื่อสงเคราะห์ผู้ประสบภัยโดยให้เหตุผลว่าผู้ลี้ภัยสร้างความวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยเห็นขอทานในเขตอำเภอเซิ่งอี้ ประชาชนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตในหมู่บ้านนอกเขตอำเภอได้ก็ไม่กล้าเข้าไปเช่นกัน”

ผู้ลี้ภัยคือบุคคลที่ไม่มีสำมะโนครัว หรือเพราะก่ออาชญากรรม ไม่ก็เลี่ยงภาษีจึงถูกถอนรากถอนโคนและต้องระหกระเหินไปทั่ว

คนเหล่านี้มักจะเลือกทำเรื่องผิดกฎหมายเพราะไม่มีที่ดินทำมาหากิน เช่น ขโมย ค้ามนุษย์และอื่นๆ

แต่ก็มีคนที่เลือกจะทำงานหนักเช่นกัน

ในยุคไท่ผิง ผู้ลี้ภัยมีจำนวนน้อยจึงไม่มีอะไรต้องกังวล

หากเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงขึ้น ประชาชนจะกลายเป็นผู้ลี้ภัยเพราะไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้ ทว่าเดี๋ยวนี้ผู้ลี้ภัยในต้าฟ่งสร้างความวุ่นวายหนักมาก ในพื้นที่ที่มั่งคั่งยังดี แต่ในพื้นที่ที่ยากจน การก่อจลาจลของผู้ลี้ภัยนั้นน่ากลัวมาก

นี่คือเหตุผลที่จักรพรรดิหย่งซิ่งถูกบีบให้บริจาคเงิน อันที่จริงสถานการณ์เลวร้ายเกินไปแล้ว

ยากนักที่พ่อจากไปแล้วลูกจะได้หัวเราะ เป็นผลให้เขาพบกับ ‘ภัยพิบัติเย็น’ ที่หนึ่งร้อยปีจะพบหนึ่งครั้ง บวกกับสถานการณ์ยุ่งเหยิงที่อดึตจักรพรรดิทิ้งไว้ให้อีก…

สีหน้าสวี่ชีอันเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว”

เขาเหลือบมองเทพบุตรและเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ากำลังเหน็บแนมข้าอย่างนุ่มนวล การช่วยคนเป็นมาตรการที่ไม่เพียงพอ อันที่จริงมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว”

แน่นอนว่าหลี่หลิงซู่ไม่ยอมรับ เขาหัวเราะพลางพูดว่า “เป็นการเตือน การเตือน…”

ผ่านไปพักหนึ่ง เทพบุตรก็ถอนหายใจ “สถานการณ์ของต้าฟ่งเลวร้ายมากแล้ว และจะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีและปล่อยให้ภัยพิบัติดำเนินต่อไป ถึงตอนนั้น การจลาจลในพื้นที่ต่างๆ ก็เป็นเรื่องของเวลา”

ในประวัติศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่ากบฏชาวนา…สวี่ชีอันขบคิดอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น หากภัยพิบัติไม่สามารถบรรเทาได้ ถึงตอนนั้นสวี่ผิงเฟิงคงโบกมือและตะโกนให้กำลังใจ ข้าเกรงว่ากลุ่มอิทธิพลในยุทธภพจำนวนมากจะขานรับ

พวกเขาคงคิดว่าการล้มล้างราชสำนักที่เน่าเฟะเป็นทางออกเดียวสำหรับทุกคน เช่นเดียวกับในปีนั้นที่ต้าโจวยังไม่สูญสิ้น แล้วเหล่าวีรบุรุษลุกฮือขึ้น

เวลานี้เอง เหมียวโหย่วฟางเดินเข้ามาจากนอกลาน ในมือถือตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่ง คนสามคนและสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัวที่มีประสาทรับกลิ่นเฉียบคมได้กลิ่นเลือดฉุนกึก

‘ปึง!’

เหมียวโหย่วฟางเดินข้ามลานมา วางตะกร้าลงตรงหน้าทุกคน แล้วเท้าเอวพร้อมกับหัวเราะ

“ภารกิจสำเร็จลุล่วง!”

สวี่ชีอันยื่นศีรษะไปมอง ในตะกร้าเต็มไปด้วยศีรษะคน แต่ละคนดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าหวาดกลัวแข็งค้าง

“เจ็ดหัวหรือ”

เขาขมวดคิ้ว อันธพาลที่อยู่ในลานเวลานั้นมีเพียงสี่คนเท่านั้น

เหมียวโหย่วฟางร้อง ‘อ้อ’ ออกมาและพูดว่า “ข้าสังหารขุนนางปกครองอำเภอ รองหัวหน้านายอำเภอและยังมีผู้ช่วยนายอำเภอด้วย”

ภายในวิหารเงียบสนิท หลี่หลิงซู่อ้าปากกว้าง “เจ้าสังหารขุนนางปกครองอำเภอกับรองหัวหน้านายอำเภอทำไม”

“พวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก”

เหมียวโหย่วฟางแสดงสีหน้าว่า ‘ข้าเป็นชาวยุทธ์’ พร้อมกับกอดอกและกล่าวว่า

“แม่ลูกคู่นี้กล้ากดขี่ประชาชนและขืนใจคนดีอย่างไม่ยำเกรง ทว่าผู้มีอำนาจกลับไม่สนใจ แสดงว่าต้องมีคนคอยหนุนหลังเป็นแน่ หลังจากสอบปากคำพวกสุนัขรับใช้สองสามคน ปรากฏว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับขุนนางปกครองอำเภอและรองหัวหน้านายอำเภอ

“ข้าไปสืบต่อ ให้ตายสิ ผู้ช่วยนายอำเภอก็เป็นคนใจดำอำมหิต ทำเรื่องไม่ดีมาทุกรูปแบบ ข้าจึงบุกเข้าไปในที่ว่าการอำเภอและกำจัดพวกมันทุกคน”

‘ประสิทธิภาพเฉียบแหลมมาก’ หลี่หลิงซู่กับสวี่ชีอันมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร

สวี่ชีอันบีบนวดระหว่างคิ้วและเอ่ยว่า “เอาล่ะ วางหัวคนไว้ที่นี่แล้วไม่ต้องกังวลไป ถือเสียว่าเป็นคำเตือนจากผู้ใต้บังคับบัญชาในที่ว่าการอำเภอ”

เมื่อพูดจบ เขาก็หยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาและอธิบายสถานการณ์ให้ฮว๋ายชิ่งฟังโดยสังเขป

หมายเลขหนึ่ง ‘ข้าเข้าใจแล้ว’

สวี่ชีอันโล่งใจ เหมียวโหย่วฟางกวาดล้างระดับสูงในที่ว่าการอำเภอไป นั่นต้องทำให้ผู้คนตื่นตระหนกแน่ เขาจึงรายงานเรื่องนี้ให้ฮว๋ายชิ่งทราบโดยเร็วที่สุดเพื่อให้นางแจ้งราชสำนัก

ราชสำนักสามารถจัดหาขุนนางปกครองอำเภอคนใหม่ขึ้นมาได้ในทันทีเพื่อให้สถานการณ์โดยรวมมั่นคง

คนกลุ่มหนึ่งกลับไปที่อำเภอเซิ่งอี้และหาโรงเตี๊ยมสำหรับพัก ภายในห้อง สวี่ชีอันเชิญเจดีย์พุทธะและขอให้ถ่าหลิงปลดผนึกกระจกเทพ

“สิ่งนี้สามารถส่องผ่านจิ่วโจวได้ ประสิทธิภาพก็ยอดเยี่ยม ถือเป็นไพ่ตายสำหรับสงครามข่าวกรอง”

สวี่ชีอันพินิจกระจกเทพฮุ่นเทียนในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับเอ่ยชม

มู่หนานจือเอนกายอยู่ตรงถังเก็บน้ำ กวนน้ำดอกไม้ในถังแล้วหันมามอง

“รากบัวเก้าสีใกล้สุกงอมแล้ว”

สวี่ชีอันถือ ‘กระจกเทพฮุ่นเทียน’ เดินไปข้างๆ ถังเก็บน้ำแล้วจ้องมอง ในดินเลนตื้นๆ รากบัวเก้าสีเติบโตขึ้นจนยาวเท่าแขนของมนุษย์

“นี่ก็สุกงอมแล้วไม่ใช่หรือ” สวี่ชีอันบอก

“ยัง อีกสิบวันถึงจะพอดี” เทพดอกไม้ที่กลับชาติมาเกิดเอ่ยอย่างจริงใจ

นางเชิดคางขึ้นอย่างภูมิใจและกล่าวว่า “รัตนะชั้นเลิศเช่นนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ไม่มีสอง หากไม่มีพลังปราณที่ข้าสะสมมาคอยกระตุ้นนะ หึๆ!”

นางจ้องมองสวี่ชีอัน ราวกับกำลังรอเขาชมเชยและเยินยอ

“ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

สวี่ชีอันบีบคางของนางแล้วเชิดหน้านางขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง